สอนลูกให้รู้จักเก็บเงินตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า

สอนลูกให้รู้จักเก็บเงินตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า สอนลูกวัยรุ่นเก็บเงินวันนี้ ก่อนเป็นผู้ใหญ่ถังแตกในวันหน้า
การบริหารเงินอาจดูไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในโลกโลกาภิวัฒน์ก็มีตัวอย่างของคนถังแตก เป็นหนี้บัตรเครดิตจนชีวิตล้มละลายจำนวนมาก แถมบางคนยังมีดีกรีด้านการศึกษาสูงลิบลิ่วอีกต่างหาก ดังนั้น การฉีดวัคซีนทางการเงินให้ลูกเสียตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับคนเป็นพ่อแม่ในยุคนี้

แต่จะเริ่มต้นอย่างไร เรามีแนวทางดี ๆ มาฝากกันค่ะ เริ่มจาก

1. ศึกษาพฤติกรรมการใช้เงินของลูก

มีหลายสิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการบริหารจัดการเงินของลูกวัยรุ่นเพื่อจะได้นำมาพัฒนาปรับปรุงต่อไปนั้น ยกตัวอย่างเช่น



- เขามีเป้าหมายทางการเงินหรือไม่
- เขามีบัญชีเงินฝากส่วนตัวหรือไม่ ถ้ามี เขานำสมุดบัญชีเงินฝากไปอัปเดตบ่อยเพียงใด
- เขามีความละเอียดรอบคอบในการใช้เงินมากน้อยแค่ไหน เช่น เวลาซื้อของแล้วได้เงินทอน เขาได้ตรวจนับเงินทอนจากพ่อค้าทุกครั้งหรือไม่
- เขาเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการออมและการลงทุน หรือมีความสนใจบ้างหรือไม่
- พฤติกรรมการใช้เงินของลูกจัดว่าเป็นแบบใด เช่น เป็นคนมีแผนในการใช้จ่ายเงิน หรือถ้าเขามีเงินเมื่อไร เขาจะซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นต้น

เหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องทราบก่อนจะคุยกับลูก เพราะจะทำให้การคุยราบรื่นมากยิ่งขึ้น

2. ชวนลูกสร้างเป้าหมายในการออมเงิน

การกระตุ้นให้ลูกมีเป้าหมายทางการเงินตั้งแต่วัยรุ่นเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีในการเริ่มอุปนิสัยรักการออม เขาอาจเก็บออมเงินสำหรับไปซื้อของที่อยากได้ คอร์สที่อยากเรียน ไปเที่ยวในประเทศที่อยากไป หรือเก็บเงินไว้สำหรับเรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้น การช่วยเหลือที่พ่อแม่ทำได้อาจเริ่มต้นจากการสอนการวางแผนทางการเงิน เช่น ตั้งเป้าของยอดเงินที่ต้องการ (เริ่มต้นอาจเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก เพื่อที่เด็กจะได้มีแรงจูงใจ) จากนั้นก็มาคุยกันว่า เงินที่ลูกจะเก็บสะสมนั้นจะมาจากทางใดได้บ้าง เช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รับจ้างทำงานพิเศษ เก็บจากเงินค่าขนมที่พ่อแม่ให้ ฯลฯ

จากนั้นพ่อแม่อาจกระตุ้นลูกเพิ่มเติมด้วยการหาภาพที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจของลูก ๆ มาแปะไว้ในจุดที่ลูกสามารถมองเห็นได้ เช่น ถ้าลูกอยากเก็บเงินเพื่อไปเปิดประสบการณ์ต่างประเทศ ก็อาจหาภาพสวย ๆ ของประเทศที่ลูกอยากไปมาติดเอาไว้ เป็นต้น หรือถ้าลูกอยากไปเรียนเทนนิส ก็อาจหาภาพของนักเทนนิสชื่อดังมาติดก็ได้เช่นกัน และจะดียิ่งขึ้นหากพ่อแม่เขียนข้อความดี ๆ ให้กำลังใจลูกไว้บนภาพเหล่านั้นด้วย

3. สอนลูกถึง "ความต้องการกับความจำเป็น"

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมสอนก็คือ ความแตกต่างของคำสองคำนี้ เพราะเด็กมักแยกแยะสองสิ่งนี้ได้ยาก เขาจะมองว่าสิ่งที่เขาต้องการคือสิ่งที่จำเป็นไปเสียทุกครั้ง แต่นั่นก็เพราะเขาเป็นเด็ก ซึ่งพ่อแม่สามารถแก้ไขได้โดยการหาคนต้นแบบในเรื่องของการประหยัด อดออม มาเป็นตัวอย่างในการสอน หรือหากมีคนที่ลูกชื่นชอบ และเป็นคนเก่งในการบริหารเงิน ก็หยิบชีวิตของคนเหล่านั้นมายกตัวอย่างให้ลูกฟัง

4. ให้ลูกมีส่วนร่วมในการบริหารเงินของครอบครัว

แม้ว่าบางครอบครัวอาจมองว่า การให้ลูกเข้ามารับทราบฐานะทางการเงินของครอบครัวเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่ในกรณีที่พ่อแม่อยากสอนให้ลูกรู้จักบริหารจัดการ จะลองทำดูก็ไม่เสียหายอะไร คุณอาจให้ลูกลองบริหารงบสำหรับซื้อของชำเข้าบ้านในแต่ละสัปดาห์ หรือบริหารงบสำหรับทริปพักผ่อนประจำปีของครอบครัว

5. เรียนรู้เทคนิคทางการเงินใหม่ ๆ ร่วมกับลูก

หนังสือ และข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้เป็นอีกหนึ่งผู้ช่วยที่ดีสำหรับพ่อแม่ลูกในการเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ พ่อแม่อาจใช้เวลาที่อยู่กับลูกศึกษาหนังสือเหล่านี้ เผื่อจะได้เทคนิคดี ๆ นำไปปรับใช้กับครอบครัวในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก parentingteens.about.com
ที่มา manager.co.th






แนะวิธืเก็บเงินเพื่อการลงทุน

แนะวิธืเก็บเงินเพื่อการลงทุน
เก็บตังค์ : จะลงทุนทั้งที มีอะไรบ้าง?แนะ 3 ปัจจัยสำคัญที่ผู้คิดจะลงทุนต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ เพราะหากพลาดไป มีแต่เจ็บตัว!
สวัสดีผู้อ่านเดลินิวส์ออนไลน์ ขอต้อนรับเข้าสู่พื้นที่คอลัมน์น้องใหม่ “เก็บตังค์” คอลัมน์ที่จะพานักลงทุนมือใหม่ไปเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการการเงินอย่างมีสติและครบครันด้วยข้อมูล เพื่อใช้เป็นแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ที่ครอบครองอยู่ ก่อนก้าวสู่ถังเงินถังทองดั่งใจปรารถนา เริ่มตอนแรกกับ ประเภทการลงทุนที่ควรรู้



ก่อนจะไปสำรวจข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนแต่ละประเภท มี สิ่งสำคัญที่นักลงทุนมือใหม่ต้องคำนึง นั่นคือ เป้าหมายการลงทุน, วัตถุประสงค์ของการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

3 ปัจจัยนี้สำคัญมากที่ผู้คิดจะลงทุนต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ เพราะหากลงทุนผิดพลาดไป มีแต่เจ็บตัว!!

สำหรับการลงทุนมีอยู่กว่าสิบประเภท แต่ละประเภทมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์ thaifinancialadvisor.com ระบุไว้น่าสนใจ ดังนี้

เงินสด การลงทุนประเภทนี้มี ข้อดีตรง หยิบง่ายใช้คลอง แต่ข้อเสียคือ เงินไม่งอกเงย จัดเก็บลำบาก และเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม

เงินฝาก (ออมทรัพย์/ประจำ) มีข้อดีที่ธนาคารทำการจัดเก็บให้เป็นระบบ สามารถเบิกถอนได้สะดวก ได้ผลตอบแทนแน่นอน ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ มีจำนวนเงินน้อยก็ฝากได้ แต่ข้อเสียคือ ผลตอบแทนต่ำ มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เมื่อครบรอบการฝากเงิน และความเสี่ยงการล้มของสถาบันการเงิน เสียภาษีดอกเบี้ย 15% ในรายที่ฝากประจำ

ตั๋วแลกเงินและบัตรเงินฝาก (B/E, NCD) ข้อดี ดอกเบี้ยสูงและมีความมั่นคง เนื่องจากธนาคารเป็นผู้ออกหรือค้ำประกันให้ เสียภาษีดอกเบี้ย 15% ข้อเสีย สภาพคล่องต่ำ เพราะต้องฝาก 1 ปีขึ้นไป และหากต้องการใช้เงินก่อนจำเป็นต้องขายลดราคา

ทองคำ ข้อดีเห็นชัดคือมีทรัพย์สินอยู่ในมือ ซื้อง่ายขายคล่อง เป็นหลักทรัพย์ที่ทั่วโลกยอมรับ ในกรณีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ทองคำจะเป็นแหล่งพักเงินอย่างดี ทำให้ราคาขยับสูงขึ้น และในช่วงอัตราเงินเฟ้อสูง ราคาทองก็จะสูงตาม ข้อเสีย เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม

พันธบัตร มีข้อดีที่ความมั่นคง เนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้ออก โดยทั่วไปให้ดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารและรับรองดอกเบี้ยในระยะเวลาที่ยาวกว่า สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ ข้อเสีย ใช้เงินลงทุนมาก สภาพคล่องต่ำ ถ้าต้องการขายก่อนครบกำหนดสัญญา จะมีความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนของราคาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เพราะถ้าหากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเพิ่มขึ้น พันธบัตรที่ออกในช่วงก่อนหน้าราคาจะลดลง อีกทั้งตลาดพันธบัตรไม่ได้เป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพ ถ้าต้องการใช้เงินเร็วๆ หรือก่อนครบกำหนดจะขายไม่ได้ราคา และต้องเสียภาษี 15%

หุ้นกู้ ข้อดีคือดอกเบี้ยสูง ข้อเสียคือ ใช้เงินลงทุนมาก สภาพคล่องต่ำ มีความเสี่ยงในเรื่องการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย เพราะเป็นลักษณะการกู้ยืมที่ไม่มีหลักประกัน มีความผันผวนของราคาหากต้องการขายออกก่อนครบกำหนด ตลาดหุ้นกู้ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบริษัทที่มีพื้นฐานอ่อนจะไม่ค่อยมีการซื้อขาย ทำให้ขายไม่ได้ราคา หรือไม่มีผู้รับซื้อนั่นเอง

กองทุนตราสารหนี้ ข้อดีคือมีการบริหารผ่านมืออาชีพ มีเงินน้อยก็สามารถลงทุนได้ ซื้อขายหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลาผ่านเคาเตอร์ธนาคารหรือตู้เอทีเอ็ม ข้อเสีย คือมีความเสี่ยงในเรื่องราคาที่ผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริหาร ค่าโฆษณา และจ่ายภาษี 10% สำหรับเงินปันผล

ประเภทการลงทุน ยังไม่หมดเท่านี้ โปรดติดตามต่อสัปดาห์หน้า

นายประตู
ที่มา เดลินิวส์






ศิลปะสร้างอาชีพใส่ลายเพ้นท์สี นาฬิกาไม้เก่า สร้างงานทำเงิน

ศิลปะสร้างอาชีพใส่ลายเพ้นท์สี นาฬิกาไม้เก่า สร้างงานทำเงิน
ชิ้นงานที่ทำมาจากไม้เก่าเป็นสินค้าของแต่งบ้านที่มีความคลาสสิกสวยงามในตัว ยังเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ซึ่งก็มีหลายคนที่นำวัสดุไม้เก่ามาสร้างสรรค์เป็นงานออกมาหลากหลายประเภท อยู่ที่ไอเดียและความคิดของผู้ทำ อย่างสองพี่น้องตระกูล “แผ่นผา” ก็สร้างสรรค์ทำนาฬิกาจากไม้เก่า อีกทั้งยังใส่งานด้านศิลปะการเพนท์ลงไปผสมผสานจนเกิดความสวยงาม เป็น ’นาฬิกาไม้เก่าเพนท์ลวดลาย“ สร้างรายได้เป็น ’ช่องทางทำกิน“ ที่ดี



ราเชน และ ชลธิชา แผ่นผา สองพี่น้อง ช่วยกันทำผลงาน “นาฬิกาไม้เก่าเพนท์ลวดลาย” ขาย ภายใต้ชื่อแบรนด์ “Dek Dam Design” โดยชลธิชาหรือแอมเล่าว่า ตนเองและพี่ชายนั้นหลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้เริ่มจับธุรกิจตัวนี้ ต่างคนต่างเข้าทำงานประจำ โดยพี่ชายทำงานอยู่ที่โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ส่วนตัวเองก็เป็นเซลส์ขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ หลังจากที่ทำงานประจำอยู่ได้ประมาณปีกว่า ๆ พี่ชายก็ชวนให้ทำธุรกิจที่เป็นของตัวเอง ก็เห็นดีด้วยจึงออกจากงานประจำมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยเปิดร้านขายปาท่องโก๋ และร้านข้าวต้มปลา ซึ่งก็ถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี แต่ก็มีปัญหาเรื่องของทำเลที่ไม่ดีนัก เมื่อขายอยู่ได้ระยะหนึ่งก็ตัดสินใจหยุด และมองหางานอาชีพอื่นมาทำแทน จนที่สุดก็ได้มาจับธุรกิจการทำนาฬิกาจากไม้ออกจำหน่าย

“เริ่มมาจากการที่เราเป็นคนที่ชอบทำงานประเภทนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ทำไว้เป็นของขวัญให้เพื่อนบ้าง ให้รุ่นพี่บ้าง ตอนนั้นเราเริ่มทำนาฬิกาจากไม้อัด เอามาเพนท์วาดลวดลาย และก็พัฒนาใส่แผ่นอะคริลิกเข้าไป เพื่อความสวยงามและมีมูลค่ามากขึ้น หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่ชลบุรีกับพี่ชาย และพบว่าที่นั่นมีวัสดุไม้เก่าอยู่เยอะ จึงเกิดความคิดที่จะนำไม้เก่ามาทำเป็นนาฬิกา ทำให้ดูมีคุณค่ามากขึ้น ที่สำคัญเราต้องการเจาะกลุ่มคนที่ชอบแต่งบ้านด้วย”

เมื่อมีความคิดที่จะนำไม้เก่ามาทำเป็นนาฬิกา จึงต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในงานไม้เพิ่ม โดยค่าอุปกรณ์ที่ลงทุนไปก็อยู่ที่ประมาณ 13,000 บาท
ส่วนเรื่องการวาดรูป การเพนท์ลวดลายต่าง ๆ นั้น แอมบอกว่า ตนเองนั้นก็ไม่ได้จบมาทางด้านศิลปะ แต่เป็นคนที่ชอบวาดภาพมาตั้งแต่เด็กและเคยเรียนรู้ทางด้านศิลปะมาตั้งแต่ตอนเด็ก ก็พอจะมีพื้นฐานด้านศิลปะอยู่บ้าง ตอนมาทำงานตัวนี้ก็มาฝึกหัดวาดด้วยตัวเองอยู่หลายเดือนเหมือนกัน กว่าที่ผลงานจะออกมาสู่ตลาดได้ ซึ่งหลังจากที่ทำชิ้นงานจนลงตัวแล้ว ก็เริ่มนำออกจำหน่ายที่ถนนคนเดินแหลมแท่น ชลบุรี ก็ได้รับการตอบรับดีมาก แต่ตลาดที่ขายนั้นก็มีลูกค้าหลากกลุ่ม ที่เป็นนัก ศึกษาที่ทุนน้อยก็มี จึงปรับให้สินค้ามีความหลากหลายมากขึ้น โดยใช้วัสดุไม้เอ็มดีเอฟ (MDF) มาทำด้วย เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้านักศึกษา โดยรูปแบบลวดลายก็มีหลากหลาย ถ้าเป็นงานไม้เก่า ก็มีลายไทย กราฟิก ดอกไม้ ภาพวิว เป็นต้น แต่ถ้าเป็นงานไม้เอ็มดีเอฟ ก็จะทำตามออร์เดอร์ลูกค้า เช่น ภาพล้อเลียน ภาพเหมือน เป็นต้น
วัสดุอุปกรณ์การทำ หลัก ๆ ก็มี ไม้เก่า (ไม้ฝาบ้าน ไม้เนื้อแข็ง), แผ่น อะคริลิก หนาประมาณ 3-5 มิลลิเมตร, หมุดเหล็ก, แล็กเกอร์, อุปกรณ์วาดรูป, สีอะคริลิก, พู่กัน และเครื่องมืองานไม้ เลื่อย กระดาษทราย ปั๊มลม เครื่องยิงตะปู เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ...เริ่มจากขัดวัสดุไม้เก่าที่ต้องการจะนำมาทำ แล้วเริ่มจากการทำกรอบก่อน โดยใช้ไม้หนาประมาณ 0.5-1 นิ้ว มาทำการตัดเข้ามุม ให้มุมมีขนาด 45 องศา 4 ท่อน จากนั้นก็นำมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ยึดติดด้วยกาวลาเท็กซ์ และยิงตะปูย้ำเพื่อความแน่นหนาอีกรอบ เมื่อได้กรอบไม้แล้วก็เลือกไม้ที่จะนำมาทำเป็นด้านหน้า โดยเลือกไม้หนาประมาณ 1 เซนติเมตร หน้ากว้างก็ต้องเลือกที่กว้างเท่า ๆ กัน นำไม้ที่มาวางลงบนกรอบไม้ที่เตรียมไว้ วัดให้พอดีกับกรอบ ใช้ดินสอขีดส่วนที่เกินไว้แล้วตัดตามที่ขีด แล้วก็ติดลงบนกรอบไม้ ใช้ตะปูยิงยึดติดให้แน่นหนา
ขั้นต่อไปใช้กระดาษทรายทำการขัดพื้นผิวและขอบเพื่อลบเอาเสี้ยนไม้ออกให้เรียบร้อย แล้วก็ทำการลงสีรองพื้นด้วยสีขาวประมาณ 2 รอบ (ถ้าต้องการที่จะทำเป็นชิ้นงานที่มีสีพื้นเป็นพื้นไม้นั้นเลย ก็ไม่ต้องลงสีพื้น) จากนั้นก็เพนท์หรือวาดลวดลายตามที่ออกแบบไว้ เมื่อวาดลวดลายเรียบร้อยแล้วก็ใช้เทคนิคทำให้งานดูเก่าคลาสสิกโดยการใช้กระดาษทรายขัดไปบนภาพที่วาดไว้ตามจุดที่ต้องการให้ดูลงตัว งานก็จะออกมาดูสวยงามคลาสสิกมากขึ้น เมื่อวาดรูปลงลวดลายเรียบ ร้อยก็นำไปพ่นเคลือบด้วยแล็กเกอร์เพื่อให้เกิดความเงาสวยงามมากขึ้น และยังเป็นการทำให้ภาพอยู่ทนนานอีกด้วย

ส่วนสุดท้าย ก็เป็นการเจาะรูตรงจุดที่มาร์คไว้สำหรับใส่นาฬิกา ให้ใช้กาวยึดติดเครื่องนาฬิกากับแผ่นไม้ให้แน่นเพื่อป้องกันนาฬิกาหมุน จากนั้นก็ใส่เข็มให้เรียบร้อย แล้วก็เจาะขอบให้พอดีกับแผ่นอะคริลิก นำแผ่นอะคริลิกมาติดยึดด้วยหมุดเหล็กให้ติดแน่นกับตัวนาฬิกาไม้ ติดที่แขวนไว้ด้านหลัง เท่านี้ก็เรียบร้อย
ชิ้นงาน “นาฬิกาไม้เก่าเพนท์ลวดลาย” ของพี่น้องคู่นี้ มี 3 ไซซ์ 3 ขนาด คือ...S ขนาด 20x20 เซนติเมตร ราคา 450 บาท, M ขนาด 30x30 เซนติเมตร ราคา 850 บาท, L ขนาด 30x40 เซนติเมตร ราคา 1,100 บาท ถ้าเป็นงานนาฬิกาไม้เอ็มดีเอฟ มีราคาอยู่ที่ 350-590-690 บาท นอกจากนั้น ยังรับทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ตามออร์เดอร์ลูกค้าอีกด้วย

สนใจงาน ’นาฬิกาไม้เก่าเพนท์ลวดลาย” ผลงานของราเชนและชลธิชา เข้าไปดูผลงานได้ที่ facebook.com/ Dek Dam Design หากต้องการสอบถามสั่งทำตามออร์เดอร์ไปใช้ตกแต่ง หรือจำหน่ายต่อเป็น ’ช่องทางทำกิน“ อีกสเต็ปหนึ่ง ก็สามารถติดต่อได้ทางอีเมล amp_ticha@hotmail.com หรือทางโทรศัพท์ที่ โทร. 08-3497-3196.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์
ที่มา เดลินิวส์







ธุรกิจให้ต้นไม้ของชำร่วย-ของขวัญ ทำเงินแบบสวยๆงามๆรักธรรมชาติ

ธุรกิจให้ต้นไม้ของชำร่วย-ของขวัญ ทำเงินแบบสวยๆงามๆรักธรรมชาติ
สินค้างานประดิษฐ์ประเภท “ของที่ระลึก-ของชำร่วย” มีการต่อยอดพัฒนาออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง อาจเพราะตลาดสินค้าประเภทนี้เป็นตลาดที่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงดัดแปลงสินค้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับยุคสมัยและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดของลูกค้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรสินค้าประเภทนี้ก็ยังจัดว่าเป็นสินค้าที่มีผู้สนใจมาก และวันนี้ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างมานำเสนอ วันนี้มาดูการทำ-การขาย ’ต้นไม้ของชำร่วย“

“สุภาภรณ์ วิทโยภาส” ทำงานไอเดียแนวอีโคสีเขียว “ต้นไม้ของชำร่วย” จำหน่าย เจ้าตัวเล่าว่า เดิมทีมีอาชีพรับผลิตถุงผ้า, ถุงหูกระต่าย, ผ้ากันเปื้อน, ผ้าปิดตา, กระเป๋าเหรียญ และต้นไม้ของชำร่วยเล็ก ๆ ในกระถางรูปแบบต่าง ๆให้กับลูกค้า ต่อมาจึงคิดว่าถ้าสามารถนำสินค้ามาดัดแปลงประยุกต์ปรับให้เข้ากัน ก็น่าจะช่วยเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าภายในร้านได้มากขึ้น ประกอบกับมองว่าปัจจุบันกระแสอีโคหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติกำลังเป็นที่สนใจ จึงทดลองประดิษฐ์และดัดแปลง จนออกมาเป็นสินค้าในรูปแบบอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้ยี่ห้อสินค้าที่ลูกค้ารู้จักดีในชื่อ “ร้านพอใจคุณ” หรือ “Porjaikhun Shop”


“เรามองว่าเรามีวัสดุหรือสินค้าที่เป็นของเดิมอยู่แล้ว หากนำมาพัฒนาดัดแปลงให้มีลักษณะเป็นของชำร่วยในรูปแบบของเรา และสามารถที่จะนำวัสดุเดิมที่เรามีอยู่มาต่อยอดได้ ก็น่าจะช่วยทำให้สินค้ามีรูปแบบที่หลากหลายเพิ่มขึ้น” สุภาภรณ์กล่าว

สินค้าที่ผลิตขึ้นมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับภาชนะ และลักษณะของต้นไม้ที่ใช้ในชิ้นงาน ภาชนะก็มีอาทิ ตะกร้า, ถุงผ้า, ถุงกระสอบ, ขวดพลาสติก ฯลฯ ซึ่งสามารถที่จะนำวัสดุเหลือใช้มาปรับประยุกต์ใช้ให้เกิดเป็นชิ้นงานต่อยอดออกไปได้ตลอด ส่วนต้นไม้นั้น ที่ลูกค้านิยมสั่งทำเป็นของชำร่วยมีอยู่ 3 ประเภทคือ ผักสวนครัว ไม้มงคล และต้นข้าว

สุภาภรณ์บอกว่า ลูกค้าที่มาสั่งทำชิ้นงานส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าคู่รัก-คู่แต่งงาน โดยต้นไม้ส่วนใหญ่ที่กลุ่มนี้เลือกมักจะเป็นผักสวนครัวกับต้นข้าว โดยผักสวนครัวที่ลูกค้านิยมนั้นมักจะเป็นผักที่มีชื่อที่ฟังแล้วเป็นมงคล หรือไม่ก็เป็นผักสวนครัวที่มีทรงหรือรูปแบบของใบที่สวยงาม อาทิ ต้นสะระแหน่, ต้นแมงลัก, โหระพา รวมถึงต้นข้าว ส่วนลูกค้าอีกกลุ่มคือลูกค้ากลุ่มบริษัทห้างร้าน ซึ่งก็จะนิยมชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา และมักจะเลือกใช้เฉพาะไม้มงคล

ช่องทางการจำหน่ายนั้น สุภาภรณ์กล่าวว่า ขณะนี้ใช้ช่องทางการขายผ่านเว็บไซต์และเฟซบุ๊กเป็นหลัก โดยจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.porjaikhun.lnwshop.com และ www.facebook.com/porjaikhun ซึ่งการจำหน่ายผ่านช่องทางนี้ ข้อดีคือต้นทุนน้อย และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอด แต่มีหลักสำคัญคือ ต้องพยายามทำให้ชื่อสินค้าหรือประเภทของสินค้าเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้า โดยอาจใช้วิธีการสร้างคำหรือชื่อสินค้าที่สะดุดตา เพื่อที่เวลาลูกค้าค้นหาจากอินเทอร์เน็ตก็จะทำให้ชื่อสินค้าปรากฏอยู่ในลำดับต้น ซึ่งมีผลต่อการเปิดเข้าชมหน้าร้านออนไลน์

นอกจากนี้ ก็ควรจะทราบด้วยว่าลูกค้าในกลุ่มสินค้าของเรานั้นมีพฤติ กรรมหรือมีลักษณะการใช้งานอย่างไร เพื่อที่จะทำให้การจำหน่ายหรือโฆษณาผ่านทางเว็บไซต์มีประสิทธิภาพ ตรงจุดตรงใจกับความต้องการของลูกค้าเร็วขึ้น

ทุนเบื้องต้นอาชีพลักษณะนี้ ใช้ประมาณ 20,000 บาท ขณะที่ทุนวัสดุต่าง ๆ อยู่ที่ประมาณ 60% จากราคาขาย โดยราคาสินค้าของสุภาภรณ์มีตั้งแต่ชิ้นละ 10 บาท ไปจนถึง 40 บาท ขึ้นอยู่กับขนาด ภาชนะ และต้นไม้ที่ใช้

วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ ถุงผ้า, ผ้ากระสอบ, ริบบิ้น, ดินพร้อมปลูก, หินสีสำหรับประดับตกแต่ง, กาบมะพร้าวฉีกฝอย, กระถางพลาสติกหรือขวดนมใช้แล้ว, กรรไกร, เข็มกับด้าย, ต้นไม้สำหรับปลูก และวัสดุตกแต่งอื่น ๆ ตามต้องการ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการเตรียมต้นไม้ที่จะปลูก ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นคนกำหนดหรือเลือกต้นไม้ที่ต้องการมาให้ เมื่อเลือกต้นไม้ได้แล้วก็นำต้นไม้มาดัดตกแต่งให้ได้พุ่ม หรือตัดใบที่ไม่สวยออก จากนั้นทำการเตรียมดินสำหรับปลูกใส่ลงกระถางพลาสติกหรือภาชนะที่เตรียมไว้ ทำการจัดวางต้นไม้ใส่ลงไปในภาชนะ ปรับหน้าดินในกระถาง

จากนั้นก็นำมาจัดเรียงลงถุงผ้า หรืออาจใช้ผ้ากระสอบรัดรอบภาชนะปลูก แล้วจึงใช้ริบบิ้นพันโดยรอบ นำหินสีมาโรยใส่เพื่อเพิ่มความสวยงาม เป็นอันเสร็จขั้นตอนหลัก ๆ ในการทำ

“สำหรับต้นไม้ที่ใช้ปลูกนั้น ระยะเวลาการปลูกไม่เท่ากัน ก่อนที่จะส่งให้ลูกค้าจะต้องทำการปลูกไว้ก่อน โดยหากเป็นต้นข้าว ให้เพาะเมล็ดข้าวไว้ล่วงหน้าก่อนประมาณ 1 สัปดาห์ จะได้ต้นข้าวที่มีความสูงขนาดพอดี ไม่สูงหรือเตี้ยเกินไป หากเป็นผักสวนครัวก็ใช้ระยะเวลาเตรียมปลูกไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่หากเป็นไม้ประดับก็จะใช้เวลานานมากกว่านั้น ซึ่งหากต้องการเพิ่มความรวดเร็วก็อาจใช้วิธีไปเลือกซื้อไม้ประดับสำเร็จรูปมาใช้ก็ได้ แต่ก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเล็กน้อย” สุภาภรณ์อธิบายแนะนำถึงการเตรียมต้นไม้สำหรับนำมาใช้จัดลงชิ้นงาน ’ต้นไม้ของชำร่วย“

ใครสนใจชิ้นงานลักษณะนี้ ต้องการติดต่อกับกรณีตัวอย่าง ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้ ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6335-3541 หรือทางอีเมล porjaikhun@gmail.com หรือหากอยากจะชมสินค้าก็สามารถเปิดเข้าไปดูได้ตามเว็บไซต์ที่ระบุไว้แต่ต้น ทั้งนี้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่เกี่ยวกับของชำร่วย ที่ตอกย้ำว่าตลาดตรงนี้ยังไม่ตัน...

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ เรื่อง - ภาพ
ที่มาเดลินิวส์






สร้างธุรกิจใส่ไอเดียทำ“พวงกุญแจน่ารักๆ”เพิ่ม ไฟฉาย จุดขายเพิ่ม

สร้างธุรกิจใส่ไอเดียทำ“พวงกุญแจน่ารักๆ”เพิ่ม ไฟฉาย จุดขายเพิ่ม
พวงกุญแจถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าใช้งานที่ขายได้เรื่อย ๆ บางคนก็ซื้อเป็นของขวัญของฝากด้วย โดยสินค้าชนิดนี้ก็มีอยู่หลากหลายแบบ แตกต่างกันไปตามแต่จะคิดประดิษฐ์กัน ซึ่งแม้ตลาดพวงกุญแจจะมีคู่แข่งอยู่แล้วไม่น้อย แต่หากคิดทำพวงกุญแจออกมาสู่ตลาดโดยสร้างสรรค์ให้มีเอกลักษณ์แตกต่างจากรายอื่นได้ ช่องทางทำเงินก็ย่อมจะมี อย่างเช่น “พวงกุญแจไฟฉาย” ที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...



โอ-ตติยะ จูฑะพุทธิ เจ้าของธุรกิจพวงกุญแจไฟฉาย ภายใต้แบรนด์ “AIKO” เล่าว่า ก่อนที่จะมาเริ่มจับธุรกิจทำพวงกุญแจไฟฉายอย่างจริงจังนั้น ทำงานประจำเป็นพนักงานกินเงินเดือนอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มีโอกาสได้เข้าทำงานกับบริษัทอีกแห่งหนึ่งที่เป็นของชาวอเมริกัน เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการผลิตพวงกุญแจ ซึ่งจากการที่ได้ทำงานที่บริษัทนี้ก็มีโอกาสได้เรียนรู้งานด้านการผลิตพวงกุญแจ และได้บินไปประเทศจีนเพื่อไปดูตลาดสำหรับสั่งซื้อวัสดุ แต่หลังจากทำงานอยู่กับบริษัทนี้ได้ระยะหนึ่งบริษัทก็ปิดตัวลง ก็เลยมีความคิดที่จะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่กล้าลงทุน เพราะคิดว่าตนเองยังไม่มีประสบการณ์ จึงยังไม่ได้ทำ และก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายในบริษัทอีกแห่งหนึ่ง

การทำงานขายนั้น ก็ต้องมานั่งเครียดเรื่องยอดขาย ภายหลังจึงอยากจะลองเสี่ยงทำธุรกิจเป็นของตัวเองดู ก็คิดว่าพวงกุญแจเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัด พอจะมีความรู้ มีประสบการณ์ และที่สำคัญก็รู้แหล่งที่จะจัดซื้อวัสดุอยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็เริ่มต้นธุรกิจ เริ่มแรกเป็นการนำเข้าพวงกุญแจสำเร็จรูป นำมาพิมพ์ชื่อลูกค้าลงบนพวงกุญแจ พอทำธุรกิจได้ระยะหนึ่งก็เห็นว่าพวงกุญแจนั้นส่วนหนึ่งมีการซื้อไปแจก ไปให้คนอื่นอีกทอด คนที่ได้ไปก็ไม่ค่อยได้นำไปใช้งานเป็นพวงกุญแจ จึงคิดว่าน่าจะทำให้พวงกุญแจดูมีคุณค่า และดูน่ารัก จึงคิดทำ “พวงกุญแจไฟฉาย” ขึ้นมา โดยเพิ่มฟังก์ชั่นให้พวงกุญแจ ด้วยการใส่ชุดหลอดไฟ LED เข้าไปในพวงกุญแจ และทำพวงกุญแจเป็นรูปตัวการ์ตูนต่าง ๆ ที่ดูน่ารัก

“แรก ๆ ที่ทำออกจำหน่ายก็ยังไม่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากนัก เนื่องจากตอนนั้นหลอด LED ยังไม่เป็นที่นิยมในบ้านเรามากนัก ทำให้ต้นทุนหลอดไฟสูง ราคาพวงกุญแจก็ต้องสูงตามไปด้วย แต่มาระยะหลัง ๆ ราคาหลอดไฟ LED ลดลง เราก็จำหน่ายพวงกุญแจไฟฉายในราคาที่ถูกลงได้ ทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากขึ้นเป็นลำดับ”

ขั้นตอนการทำชิ้นงานนั้น โอบอกว่า เนื่องจากทำเป็นจำนวนมาก ก็จะใช้วิธีการออกแบบและทำการเย็บตัวอย่างเป็นแบบขึ้นมา 1 ชิ้น แล้วนำไปจ้างกลุ่มแม่บ้านทำ ซึ่งค่าแรงก็จะตกอยู่ที่ราว ๆ ชิ้นละ 10-15 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย และจำนวนของชิ้นงานที่สั่งทำ (สำหรับผู้ที่คิดจะทำขายในจำนวนที่ไม่มาก ก็สามารถจะเย็บเองขายเองได้)”

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ “พวงกุญแจไฟฉาย” นั้น หลัก ๆ ก็มี ชุดไฟฉาย, ผ้าสักหลาด, อุปกรณ์ในการตัดเย็บ จำพวก เข็ม ด้าย กรรไกร, ห่วงพวงกุญแจ, ใยสังเคราะห์
“ชุดไฟฉายนั้นเรานำเข้าจากจีน ประกอบด้วยหลอดไฟ LED ขนาด 0.5 มิลลิเมตร และถ่านขนาด 4.5 โวลต์ ราคาก็ตกอยู่ที่ชุดละ 12-15 บาท แต่ถ้าไม่มีแหล่งที่จะนำเข้า ถ้าพอจะมีความรู้ด้านช่าง ก็สามารถไปซื้ออุปกรณ์พวกหลอดไฟ LED และถ่านไฟฉาย ได้ที่ย่านตลาดคลองถม แล้วนำมาประกอบทำเองก็ได้” โอกล่าวแนะนำ

สำหรับขั้นตอนการทำ “พวงกุญแจไฟฉาย” เริ่มจากทำการออกแบบรูปการ์ตูนที่ต้องการจะทำเป็นพวงกุญแจก่อน ซึ่งการออกแบบจะออกแบบบนคอมพิวเตอร์ หรือจะวาดแบบลงบนกระดาษก็ได้

“การออกแบบนั้นเราจะใช้วิธีการออกแบบลงบนคอมพิวเตอร์ เพราะว่าจะได้เห็นสีสันและสามารถเปลี่ยนแปลงเปรียบเทียบสีของชิ้นงานที่เราจะทำออกมาได้ง่ายขึ้น” โอกล่าวถึงวิธีการออกแบบในส่วนของเขา
หลังจากที่ออกแบบแล้ว ก็ตัดแพตเทิร์นตามแบบ แล้วนำแพตเทิร์นไปวางทาบบนผ้าสักหลาดเพื่อร่างแบบ เลือกสีผ้าตามที่ออกแบบไว้ จากนั้นก็ทำการตัดผ้าตามแบบที่ร่างไว้
ตัดผ้าตามแบบ 2 ชิ้น จากนั้นนำแบบผ้าทั้ง 2 ชิ้นมาเย็บประกบกัน เย็บให้เกือบรอบ แต่ให้เหลือช่องไว้พอประมาณเพื่อจะทำการยัดใยสังเคราะห์เข้าไปในช่องที่เว้นไว้ ยัดใย
สังเคราะห์ให้แน่นพอประมาณ แต่ไม่ให้พองหนาจนเกินไปนัก เมื่อยัดใยสังเคราะห์เรียบร้อยแล้ว ก็นำชุดไฟฉายใส่เข้าไปโดยให้ส่วนหัวของหลอดไฟ LED โผล่พ้นออกมาด้านนอกเล็กน้อย แล้วก็เย็บปิดช่องที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย จากนั้นจึงทำการตกแต่งใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงบนตัวการ์ตูนตุ๊กตา แล้วก็ใส่ห่วงพวงกุญแจเข้าไป ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

ขนาดของพวงกุญแจที่โอทำนั้น จะประมาณไม่เกิน 5x7 ซม. เพื่อให้พวงกุญแจไม่ใหญ่และไม่เล็กเกินไป ง่ายในการพกพา โดยราคาขายนั้น ราคาขายส่ง 300 ชิ้นขึ้นไปอยู่ที่ตัวละประมาณ 70-80 บาท และนอกจากพวงกุญแจไฟฉายที่เป็นตัวการ์ตูน-ตุ๊กตาผ้าสักหลาดแล้ว โอก็ยังมีสินค้าอีกหลากหลาย อาทิ พวงกุญแจที่เป็นแบบเคลือบเรซิ่น แม็กเน็ตรูปการ์ตูน แฟลชไดร์ฟรูปการ์ตูน ฯลฯ


’พวงกุญแจไฟฉาย“ นี้ โอ-ตติยะทั้งทำขายส่ง รับทำตามออร์เดอร์ลูกค้า รับสั่งทำไปใช้เป็นของชำร่วย โดยมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อสอบถามคือ โทร.08-9109-1471 หรือเข้าไปดูสินค้าได้ที่เว็บไซต์ www.i-style-product.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ จาก “พวงกุญแจ” ที่มีการสร้างจุดต่าง จนสร้างรายได้อย่างน่าพอใจ.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ รายงาน
ที่มา เดลินิวส์







สร้างธุรกิจเปลี่ยนตู้ปลาเป็นตอไม้ สร้างงานดีไซน์สู่ความแตกต่าง

สร้างธุรกิจเปลี่ยนตู้ปลาเป็นตอไม้ สร้างงานดีไซน์สู่ความแตกต่าง
ทราบกันดีว่า การแข่งขันทางธุรกิจ ความแปลกใหม่มักเป็นใบแจ้งเกิดให้กับสินค้าของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะถ้าเป็นรายเล็กๆ อย่างเอสเอ็มอี ที่มีทุนไม่มากนัก ไอเดียแปลกแหวกแนวยิ่งจำเป็นมากขึ้น เช่นเดียวกับ “ตู้ปลาตอไม้” ทำจากปูนซีเมนต์ สร้างดีไซน์ให้ตู้ปลาแตกต่างไม่ใช่แค่กระจกสี่เหลี่ยมอย่างที่เป็นมา ในขณะเดียวกัน ยังสามารถใช้งานได้จริง

ไพรัตน์ จันทร์กิ่งทอง เจ้าของผลงานตู้ปลาตอไม้ทำด้วยปูนซีเมนต์ เล่าว่า เขาและพ่อทำธุรกิจสินค้าปูนปั้นมาก่อนอยู่แล้ว เป็นลักษณะเลียนแบบธรรมชาติ อาทิ เสาบ้านเป็นทรงตอไม้ และซากไม้ ประกอบกับมีใจรักการเลี้ยงปลา มองว่า ตู้ปลาที่มีขายอยู่ทั่วไป ส่วนมากจะเป็นตู้กระจกสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ ยังขาดดีไซน์ หากนำความเชี่ยวชาญด้านปูนปั้นมาดัดแปลงทำเป็นตู้ปลาน่าจะเป็นสินค้าถูกใจคนรักการเลี้ยงปลา

ในด้านการออกแบบ เขาเลือกจำลองเป็นตอไม้ของต้นมะขาม เนื่องจากเปลือกต้นมะขามมีเสน่ห์อยู่ที่ผิวหยาบ ร่องลึก และตาไม้ที่เห็นชัด เมื่อแกะลายออกมาจะมีความสวยงาม โดดเด่นกว่าเปลือกไม้ของต้นอื่นๆ ส่วนด้านในฉาบผิวเรียบ เคลือบด้วยสารกันซึม ติดด้วยกระจกใสด้านหน้า ใช้ศิลปะการจัดสวนออกแบบบรรยากาศภายในให้คล้ายคลึงกับธรรมชาติ และติดตั้งไฟอีก 1 ดวงด้านบน และมีท่อออกซิเจนให้เป็นตู้ปลาสมบูรณ์แบบ

ไพรัตน์ เล่าต่อว่า หลังลองทำตู้ปลาตอไม้จากปูนเสร็จสมบูรณ์ ได้นำไปวางขายที่ร้านค้าของตัวเอง (SUN HAND MADE) ในสนามหลวง 2 โซนต้นไม้ ตั้งราคาขายอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 5,000 บาท แล้วแต่ขนาด กลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นชาวไทยที่รักการเลี้ยงปลาจริงๆ ส่วนคนทั่วไปจะติว่าราคาสูงเกินไป

“ตอนแรกที่นำไปวาง ผมจะติดป้ายว่า ตู้ปลาทำจากปูนปั้น ลูกค้าก็ไม่ค่อยสนใจมากนัก แต่พอเอาป้ายออก ลูกค้าที่เห็นครั้งแรกจะเข้าใจผิดว่า ทำมาจากไม้จริงๆ สนใจเข้ามาลองจับดู ทำให้เราได้มีโอกาสอธิบายถึงดีไซน์และแนวคิดของเราด้วย คนที่รักการเลี้ยงก็จะซื้อง่ายๆ เลย”

เจ้าของไอเดีย อธิบายอีกว่า แต่ละชิ้นใช้เวลาทำประมาณ 1 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่ขึ้นโครง แกะลายและลงสี หลังจากเสร็จต้องใส่น้ำทิ้งไว้อีก 1 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่า มีปัญหารั่วซึมหรือไม่ ส่วนขั้นตอนที่ยากที่สุดในการผลิต คือ การแกะลายเปลือกไม้ เนื่องจากมีความละเอียดสูง และต้องพยายามให้เหมือนจริงที่สุด ทั้งนี้ ได้จดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย และได้รับคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอป 3 ดาว ระดับประเทศ ประจำปี 2547 ด้วย

อย่างไรก็ตาม ไพรัตน์ ยอมรับว่า ไอเดียตู้ปลาตอไม้ครึ่งหนึ่งมาจากการนำผลงานของพ่อมาต่อยอด ดังนั้น จึงสร้างผลงานชิ้นใหม่เป็นแนวทางของตัวเองอย่างชัดเจน ด้วยการดีไซน์ตู้ปลาปูนปั้นเป็นทรงซากไม้ จากแรงบันดาลใจที่อยากจะแสดงจุดยืนในการต่อต้านการตัดไม้ทำลายธรรมชาติ
“ผมเคยพบบ้างคนที่ชอบความสวยงามของซากไม้ ถึงขนาดกับโค่นต้นไม้ แล้วเอาไปแช่ลงน้ำ เพื่อให้กลายเป็นซากไม้ รู้สึกว่า ทำไมคนเราต้องทำกันขนาดนั้น ผมจึงปั้นมาเป็นซากไม้ ให้เห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนธรรมชาติก็ได้ ถ้าชอบซากไม้ ปูนซีเมนต์ก็สามารถทำเลียบแบบได้เหมือน”

ทุกวันนี้ ตู้ปลาตอไม้ของไพรัตน์ มีช่องทางจำหน่ายอยู่ที่ร้านของเขา กับมีผู้รับไปขายยังตลาดนัดสวนจตุจักร สำหรับการออกแบบในอนาคตที่วางไว้ จะตอกย้ำจุดยืนเรื่องอนุรักษ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ปั้นรูปแขวน หรือเลื่อยติดเข้ากับตู้ปลา เป็นต้น นอกจากนั้น จะมีดีไซน์ไม่ใช่แค่เป็นเลียนแบบตอไม้เท่านั้น จะมีเลียนแบบของอื่นๆ อาทิ ต้นไผ่ , ท่อเหล็ก , ก้อนอิฐปูน เป็นต้น

* * *โทร.0-9827-4231 * * *
ที่มา manager.co.th






ธุรกิจ"พิกเกอร์" ตุ๊กตาไม้ขายไอเดีย 'การ์ตูน'

ธุรกิจ"พิกเกอร์" ตุ๊กตาไม้ขายไอเดีย 'การ์ตูน' 'ตุ๊กตาไม้ พิกเกอร์' สร้างความแตกต่างผลิตแนวการ์ตูน หน้าตายิ้มแย้ม พร้อมตกแต่งสีสันสดใส ปรับรูปแบบสามารถเป็นได้ทั้งของใช้และของโชว์ ชูจุดขายสารพัดประโยชน์ มุ่งหน้าจับตลาดตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ รุกใช้ช่องทางการจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าและการออกงานแฟร์ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย ปิ๊งไอเดียใหม่แปลงของเดิมเป็นของใช้มากขึ้น เล็๋งผลิตสินค้าให้เป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์

"เราผลิตสินค้าตุ๊กตาไม้ที่มีจุดเด่นต่างจากคนอื่นด้วยการสร้างให้ออกมาในรูปแบบตุ๊กตาไม้ที่เป็นแนวการ์ตูน ซึ่งตรงนี้ตุ๊กตาจะสามารถทำหน้าตายิ้มแย้ม และทำให้มีสีสันสดใสได้ นอกจากนี้สินค้าของเรายังมีความพิเศษตรงที่ไม่ว่าหางหรือหัวของสัตว์สามารถหมุนได้ เป็นการสร้างลูกเล่นใหม่ไม่ใช่เป็นแค่ตุ๊กตาแบบแข็งๆ" พฤษภารัตน์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็นไฮไลท์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าตุ๊กตาไม้ พิกเกอร์ กล่าวถึงแนวทางการสร้างความแตกต่างในการผลิตตุ๊กตาไม้ของบริษัทฯ



ส่วนการที่บริษัทฯ ต้องปรับสินค้าตุ๊กตาไม้ให้เป็นรูปแบบการ์ตูน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตแบบเหมือนของจริงในตลาดมีอยู่มาก บริษัทฯ จึงต้องการสร้างความแตกต่างจากตลาดด้วยการทำเป็นรูปแบบการ์ตูน นอกจากนี้ยังพบว่าสินค้าที่เป็นแนวการ์ตูนยังไม่มีผู้ผลิตมากนัก อีกทั้งสามารถจับกลุ่มเป้าหมายได้ตั้งแต่เด็กเล็กๆ จนถึงผู้ใหญ่

โดยต้นกำเนิดในการคิดทำสินค้าดังกล่าวเกิดจากหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้คิดไอเดีย และออกแบบสินค้าทั้งหมด และได้เข้าไปสอนกรรมวิธีการผลิตให้ชาวบ้านในตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ชาวบ้านเป็นผู้ผลิตสินค้าให้

เมื่อสามารจับทิศทางการผลิตสินค้าได้แล้ว ยังมีการพัฒนาสินค้าของบริษัทฯ ให้มีความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา จากเดิมที่ตุ๊กตาไม้เป็นแค่ของโชว์ได้อย่างเดียว ก็พัฒนาให้เป็นได้ทั้งของใช้และของโชว์ เพื่อให้สินค้ามีความหลากหลาย และใช้ได้มากขึ้น

โดยการพัฒนาสินค้าทุกรูปแบบจะดูจากของลูกค้า และแนวโน้ม(trend)ของตลาดเป็นหลัก เช่น ตลาดเน้นเรื่องสินค้าที่มีความคลาสสิคก็จะนำสินค้าที่ดูแล้วมีความคลาสสิคมาพัฒนาขยายมากขึ้น
"เราใช้เวลานานเหมือนกันกว่าที่สินค้าจะลงตัวทั้งหมด แต่เรายังคงพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสี คุณภาพ การดีไซน์ โดยเราจะดูเทรนด์ของตลาด อย่างปีหน้าเป็นปีไก่เราก็ออกสินค้าที่เป็นชุดไก่ออกมาเยอะ มีตั้งแต่แจกัน ที่ใส่กระดาษทิชชู ตู้จดหมาย กล่องใส่ของ ที่แขวนกุญแจ กล่อมนามบัตร กรอบรูป และของโชว์"

สำหรับตลาดสินค้าตุ๊กตาไม้ เนื่องจากสินค้าของบริษัทฯ ไม่ใช่สินค้าที่ทำไว้เพื่อโชว์อย่างเดียว ทำให้ตลาดยังคงไปได้ดี ปัจจุบันสินค้าของบริษัทฯ มีทั้งหมดกว่า 100 แบบ โดยบางแบบจะทำขึ้นมาเพื่อเป็นต้นแบบเท่านั้น ส่วนแบบไหนที่ขายดีจะผลิตปริมาณมากเพื่อออกจำหน่าย

นอกจากนี้ การที่ลูกค้าคนไทยนิยมการตกแต่งบ้านมากขึ้น ประกอบกับโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ มีปริมาณการขายที่มากขึ้น ส่งผลให้ทำตลาดไปได้อีกไกล และสินค้าของบริษัทฯ ยังเหมาะกับการซื้อเป็นของขวัญของฝากในช่วงเทศกาลอีกด้วย
ส่วนระดับราคาสินค้าเริ่มตั้งแต่ 80-2,000 กว่าบาท โดยสินค้าระดับราคาสูงส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ และเป็นสินค้าพรีเมี่ยมจริงๆ แต่บริษัทฯ ไม่ได้ผลิตออกมามากทเพียงตัวสองตัว หรือบางอย่างเป็นการรับทำตามคำสั่งซื้อ ทั้งนี้ ราคายังขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการประดิษฐ์ด้วย เช่น ไก่เป็นสินค้าที่มีราคาแพงเพราะทำยากที่สุด ส่วนกระรอก แมว จะมีราคาถูกกว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตมีประมาณ 2,000 ตัวต่อเดือน

สำหรับช่องทางการจำหน่ายส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในประเทศเป็นหลัก โดยส่งไปจำหน่ายยังห้างสรรพสินค้าต่างๆ เช่น เซน สยามดิสคัฟเวอร์รี่ เดอะมอลล์ บางกะปิ และเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ส่วนตลาดต่างประเทศส่งออกอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ต้องการจะจับตลาดต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจำหน่ายได้ราคาสูงกว่า

โดยช่องทางการเจาะตลาดต่างซาติที่ผ่านมา บริษัทฯ จะใช้วิธีการออกงานบิ๊ก (BIG) ของกรมส่งเสริมการส่งออก ซึ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมามีลูกค้าที่มางานให้ความสนใจพอสมควร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งสินค้าตัวอย่างไปให้กับทางประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกงและญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันยังไม่มียอดการสั่งซื้อกลับมา อีกทั้ง ได้ไปร่วมงานแฟร์กับกรมส่งเสริมการส่งออกที่ประเทศฮ่องกงและญี่ปุ่นด้วย
แม้ว่าตลาดต่างประเทศจะได้ราคาดีกว่าการจำหน่ายในประเทศ แต่บริษัทฯ ยังประสบปัญหาการกดราคาของผู้ซื้อ จึงไม่สามารถจำหน่ายให้ได้ เพราะเป็นสินค้าที่ผลิตด้วยมือทุกขั้นตอน
สำหรับพัฒนาการต่อไปของสินค้า คงจะมีการเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้าและนำสินค้าที่มีอยู่มาพัฒนาเป็นของใช้มากขึ้น เช่น สินค้าตระกูลแมว ตระกูลกระรอก ฯลฯ เพราะสินค้าบางอย่างที่ผลิตมาแล่วแต่ยังไม่ลงตัว และบางตัวยังไม่ได้พัฒนาให้หลากหลาย และมีประโยชน์ใช้สอยเท่าที่ควร นอกจากนี้ คาดว่าต่อไปคงจะมีการพัฒนาสินค้าให้เป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ด้วย

ส่วนคู่แข่งทางตรงในปัจจุบัน ยังน้อยเพราะไม่ค่อยมีผู้ประกอบการที่ทำสินค้าเป็นแนวการ์ตูนเช่นเดียวกับบริษัทฯ แต่จะมีคู่แข่งทางอ้อมซึ่งจำหน่ายสินค้าประเภทไม้เหมือนกัน เช่น งานไม้กลึง และไม้แกะสลักต่างๆ ซึ่งมีผู้ผลิตมาก

* * * * * *
สนใจธุรกิจติดต่อโทร.0-5386-5173, www.enhighlight.com
ขอขอบคุณที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์








สร้างรายได้เสริมเงินล้านด้วยขนมแบบไทยๆกับเครื่องทำลูกชุป


สร้างรายได้เสริมเงินล้านด้วยขนมแบบไทยๆกับเครื่องทำ“ลูกชุบไฮเทค”..ขนมไทยใส่เทคโนโลยี
เมื่อคิดถึง “ขนมไทย” เสน่ห์เป็นทั้งอาหารปากและอาหารตา แต่เนื่องจากกรรมวิธีที่ต้องอาศัยทั้งเวลาและฝีมือทำให้ขนมไทยหลายชนิดผลิตออกมาไม่เพียงพอต่อความต้องการมาวันนี้ผู้ผลิตขนมไทยที่คลุกคลีอยู่ในวงการมายาวนาน ได้สร้างเครื่องมือช่วยผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด

สุรศิลป์ ธนะสังข์ เจ้าของตำรับ “ขนมลูกชุบ” ขนมไทย จากการปั้นมือเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี ซึ่งเขาเล่าถึงความเป็นมาของธุรกิจครอบครัวว่า เริ่มต้นมาจากอุตสาหกรรมครอบครัว เริ่มตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ทำขนมลูกชุบมาเป็นรายได้เสริม เมื่อกิจการดีขึ้นมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจึงขยายโรงงานให้กับตนเอง จนวันนี้ขยายธุรกิจและขยายตลาดภายในประเทศ ดังนั้นกำลังการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะทุกวันนี้เมื่อลูกค้าเพิ่มการผลิตย่อมเพิ่มเท่าตัว จึงต้องคิดประดิษฐ์เครื่องผลิตทำลูกชุบใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อย่อเวลาการผลิตให้สั้นแต่คงไว้ซึ่งประสิทธิภาพที่ดีมีมาตรฐาน ทั้งด้านรสชาติและตัววัตถุดิบ



“ผมเรียนศิลปะจึงได้รู้จักวิธีการทำพิมพ์มือและประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่ต่อมาการทำพิมพ์มือก็ยังช้าอยู่จึงมีความคิดที่จะใช้เครื่องจักรเข้ามาใช้แทนแรงงานคนจึงได้เกิดมาเป็นเครื่องปั้มพิมพ์ขึ้นมา สำหรับเครื่องนี้จะเป็นลักษณะเครื่องที่ใช้แรงมอเตอร์ที่มีระบบคอนโทนไฟสามสาย โดยมีกำหนดระยะเวลาความเร็ว”

“ในการกวนถั่วแต่ละครั้งนิดเดียว ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง เราจึงทำขึ้นมาเพื่อเป็นการทุนแรงด้วย จุดเด่นตรงนี้ก็คือว่าเราจะมีการประหยัดทั้งแรงงานและเวลาในการทำในแต่ละครั้งและมีปริมาณที่มากและจะมีความสะอาดกว่าแบบเก่าที่จะต้องให้มือปั้นในการทำแต่ละครั้ง นอกจากเครื่องผลิตลูกชุบแล้วยังผลิตเครื่องที่กลึงออกมาเป็นเม็ดขนุนเพื่อให้ครบวงจรที่เป็นอัตโนมัติ เครื่องนี้ผมทำมาได้เกือบ 20 ปีแล้วยังไม่เคยเห็นใครใช้มาก่อนเลย”

สำหรับช่องทางการจำหน่ายจะเน้นไปจองพื้นที่ขายที่ตลาดนัดหรือหน้าโรงเรียนต่างๆ โดยขนมใช้สูตรและมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด

เพียงแต่เมื่อขายให้เด็ก การออกแบบรูปแบบขนมต้องมีความแปลกใหม่มากขึ้นกว่าเดิม เช่น ขนมลูกชุบที่ขายทั่วไปแต่ดั้งเดิมจะเป็นรูปผลไม้รูปพริก แต่เพิ่มรูปแบบให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

“เมื่อกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กเราก็เริ่มทำเป็นการ์ตูนบ้าง รูปสัตว์บ้าง เพื่อให้เกิดความน่ารับประทานและเด็กๆ เค้าก็จะชอบด้วย เพิ่มสีสันความแปลกใหม่ที่แตกต่างจากผู้ขายรายอื่นๆ”

เป้าหมายในอนาคตจะพัฒนาขนมไทยให้เป็นอุตสาหกรรม ทั้งนี้ มีลูกค้าสนใจมาติดต่อเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงค์โปร์ อีกทั้ง เปิดโอกาสให้กับผู้สนใจได้ที่จะนำเครื่องนี้ไปเปิดเป็นธุรกิจของตนเองด้วย โดยเครื่องพิมพ์มือนี้สนนราคาจะอยู่ที่ 8,000 บาท เครื่องกวนถั่วอีกราคา 24,000 บาท และถ้าต้องการเครื่องพิมพ์อัตโนมัติและเครื่องกวนถั่วราคาก็จะอยู่ที่ 50,000 บาท ขณะนี้มีคนที่สนใจซื้อไปใช้แล้วทั้งในและต่างประเทศ โดยมีบริการสอนวิธีการใช้งานเป็นภายในหนึ่งวัน

ติดต่อได้ที่ โทร. 02-943-4700 ,09-001-8565
ที่มา manager.co.th







สร้างธุรกิจเงินล้านกับการทำเขาสัตว์เทียม

สร้างธุรกิจเงินล้านกับการทำเขาสัตว์เทียม

"นายไม้" กลุ่มผู้ผลิตไม้แกะสลัก หันเอาดีผลิตเขาสัตว์ปลอมรายแรกของไทยที่เปิดตัวเป็นทางการ ประกาศสร้างความต่างจาก "หน้าปาด" ในอดีต สู่ "หัว" ที่เหมือนจริง ถึง 20 แบบ ตั้งเป้าพัฒนาต่อยอดเป็นเฟอร์นิเจอร์เล็งไอเดียดีไซน์จากเมืองนอก พร้อมจับมือตัวแทนจำหน่ายรุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ เตรียมรับงบฯ จากสภาพัฒน์ฯ เพิ่มกำลังการผลิต มั่นใจเขาสัตว์ปลอมจะช่วยลดการล่าสัตว์และเป็นทางเลือกของนักสะสม

กฤษตฤณ ศิริชุมแสง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มประดิษฐ์กรรมทำเทียมเขาสัตว์ นายไม้ จากจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจเขาสัตว์ปลอมว่า เนื่องจากความชอบสะสมเขาสัตว์ หัวสัตว์ และความชอบของการตกแต่งบ้าน ทำให้เกิดแนวคิดการทำเขาสัตว์ปลอมขึ้นมา ซึ่งเมื่อได้พบกับเพื่อนที่มีความรู้เกี่ยวกับการทำเรซิน จึงเกิดความคิดที่จะทำเขาสัตว์ปลอมโดยใช้เรซินเป็นส่วนประกอบ

แต่กว่าจะออกมาเป็นสินค้าเหล่านี้ได้ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเกือบ 1 ปี โดยก่อนหน้านี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ประดิษฐ์กรรมทำเทียมเขาสัตว์ นายไม้ เริ่มจากการผลิตสินค้าเกี่ยวกับงานไม้แกะสลักอยู่ประมาณ 2-3 ปี แต่ทำตลาดสู้กับจังหวัดทางภาคเหนือไม่ได้ ซึ่งอนาคตคาดว่าคงจะเลิกผลิตเพราะต้นทุนสูงขึ้น

สำหรับสินค้าเขาสัตว์ปลอมของนายไม้มี 2 ประเภท คือ เขาสัตว์ และหัวสัตว์ ทุกชนิดเพื่อไว้สำหรับตกแต่งบ้าน และของตกแต่งบ้านประเภทโคมไฟต่างๆ อาทิ โคมไฟแขวน โคมไฟติดผนัง โคมไฟตั้งโต๊ะ ปัจจุบันนายไม้สามารถผลิตสินค้าได้ทั้งหมด 20 แบบ

ส่วนในอนาคตจะมีการพัฒนาให้ออกมาเป็นรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ เช่น ชุดเก้าอี้นั่งที่ทำจากเขาสัตว์อย่างกวางมูสซึ่งมีเขาขนาดใหญ่สามารถนำมาทำเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ได้ โดยได้แนวทางการพัฒนาสินค้าดังกล่าวมาจากต่างประเทศ แต่สินค้าของต่างประเทศเป็นเขาสัตว์ของจริง เพราะสามารถล่าได้อย่างถูกกฎหมาย



แม้ว่านายไม้จะไม่ใช่รายแรกที่เข้ามาทำตลาด แต่ถือเป็นรายแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการซึ่งสินค้าของนายไม้เป็นเขาสัตว์ปลอมแต่ทำได้เหมือนกับเขาสัตว์จริงถึง 100% จึงส่งผลให้การทำตลาดเขาสัตว์ของ"นายไม้"ยังอยู่ในระดับที่ดี

"เราไม่ใช่เจ้าแรกที่ ทำสมัยก่อนเมื่อสิบ-ยี่สิบปีก่อน สินค้าพวกนี้มีขายอยู่ตามชายแดน ซึ่งคนขายมักจะหลอกคนซื้อว่าเป็นของจริงและจะมีแต่เฉพาะส่วนเขาของสัตว์เท่านั้น ส่วนหัวกะโหลกไม่สามารถทำได้เพราะมีเทคนิคค่อนข้างซับซ้อน สินค้าตามชายแดนไม่ค่อยมีความสวยงามไม่มีรายละเอียด เพราะสินค้าเหล่านี้จะสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับต้นแบบด้วย ถ้าเรามีของจริง ต้นแบบดี สินค้าจะสวย ถ้าเราหาของจริงได้เยอะเราจะมีแบบเยอะ"

กฤษตฤณกล่าวต่อว่า "นายไม้" มีต้นแบบถึง 100 กว่าแบบ ซึ่งถือว่าไม่น้อย มีทั้งหัวเสือ กระทิง กวาง ละมั่ง ฯลฯ โดยต้นแบบทั้งหมดมาจากการสะสมของตนเองและเพื่อนๆ

สำหรับขั้นตอนการผลิตเขาสัตว์ปลอม เริ่มจากการหาเขาสัตว์จริงเพื่อใช้เป็นต้นแบบ จากนั้นนำมาทำบล๊อกด้วยยาง เมื่อได้บล็อกจึงเทเรซินลงไป แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ส่วนผสมที่ใช้ในการทำช่วงหัวกะโหลก จะต้องใช้เรซินผสมกับผงแคลเซียม หลังจากแกะออกจากบล็อกนำมาขัดเพื่อเก็บรายละเอียดและลงสี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หากผู้ทำไม่มีความชำนาญ การถอดบล็อกจะกลายเป็นเรื่องยาก ดังนั้นงานเขาสัตว์ปลอมในสมัยก่อนจึงเป็นแค่เพียงงานหน้าปาด คือ มีเพียงเขากับบางส่วนเสี้ยวของใบหน้า เท่านั้น
ด้านกลุ่มเป้าหมาย ที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เขาสัตว์ปลอม ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ชอบการตกแต่งบ้านในลักษณะของสไตล์ล็อคโฮม คันทรี หรือรีสอร์ท ซึ่งจากการออกงานสู้แล้วรวยในครั้งที่ผ่านพบว่า กลุ่มเป้าหมายได้เริ่มขยายตัวไปยังกลุ่มผู้หญิงมากขึ้น เพราะเดิมผู้หญิงไม่กล้าที่จะซื้อเขาสัตว์จริง แต่กล้าซื้อของปลอม

ซึ่งระดับราคาสินค้าของนายไม้ อยู่ที่หลักร้อยจนถึงประมาณเจ็ดพันบาท หรือแค่เพียง 10% ของของจริงเท่านั้น และยังไม่ผิดกฎหมาย เช่น ปัจจุบันหัวกระทิงของจริง ราคา 30,000-40,0000 บาท แต่ถ้าทำจากเรซินประมาณ 3,000-4,000 บาท

นอกจากการพัฒนาสินค้าให้หลากหลายขึ้นแล้ว การสร้างการยอมรับเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งนายไม้เป็นโอทอป 5 ดาวของจังหวัดกาญจนบุรี และในไม่ช้าจะเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าเดิมที่ผลิตได้วันละ 10 ชิ้นต่อคนงาน 20-30 คน โดยขณะนี้กำลังรองบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เข้ามาช่วยสนับสนุนในเรื่องเครื่องมือ

ส่วนการทำตลาดในไทย นายไม้จะใช้ระบบตัวแทนจำหน่ายซึ่งขณะนี้เริ่มมีการติดต่อมาแล้ว โดยเป็นคนที่ขายเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้ว ส่วนตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ยังไม่มีการทำ แต่มีผู้ที่มาติดต่อเป็นตัวแทนจำหน่าย แต่คงต้องให้ศึกษาการส่งออกจากไทย และนำเข้าต่างประเทศก่อน เพราะสินค้าเหมือนจริงมาก อาจจะเป็นอุปสรรค เพราะผู้ติดต่อส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีเขาสัตว์จริงจำหน่ายอยู่ เช่น แคนาดา สวีเดน ฯลฯ เป็นต้น

ในเรื่องค่านิยมการชอบสะสมของจริงของคนไทยถือว่า ช่วยหลังเริ่มหายไป เพราะเขาสัตว์จริงเริ่มหายาก และราคาแพง จึงนับว่าเป็นเวลาเหมาะสมในการหาสินค้าอื่นมาทดแทน

"เรามาทำอย่างนี้ ถือเป็นการร่วมอนุรักษ์ทางหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยเกิดการล่า เพราะคนที่อยากได้ก็จะหาซื้อตรงนี้แทนไม่ต้องไปซื้อของจริง" กฤษตฤณ กล่าวทิ้งท้าย

สนใจติดต่อ โทร. 01-777-4848 หรือ (034) 513-512
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์






ธุรกิจสปาน้องหมา นวดแผนโบราณสุนัข ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการ

ธุรกิจสปาน้องหมา นวดแผนโบราณสุนัข ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการ
SMEs TODAY - ปัจจุบันกระแสความนิยมในธุรกิจสปาไม่ได้เกิดขึ้นกับคนเท่านั้น แต่ยังขยายผลไปถึงสัตว์เลี้ยงสี่ขา จนเกิดเป็นธุรกิจที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการ เช่น โรงแรมสุนัข รีสอร์ต และสปาสุนัข กระทั่งนวดแผนโบราณสุนัขของ “อนุพันธ์ บุญชื่น”

ในวงการซื้อ-ขายสุนัขแบบออนไลน์ หลายคนย่อมรู้จัก www.dog2home.com โดยมี อนุพันธ์ บุญชื่น เป็นเว็บมาสเตอร์จากการคลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานาน เขาพบว่าปัญหาของสุนัขส่วนใหญ่โดยเฉพาะในสังคมเมืองมักมีปัญหาเรื่องความเครียดจากการถูกขังในกรงแคบๆ เป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดอาการทางจิตประสาทรวมถึงปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อตึง ทำให้สุนัขเห่าตลอดเวลา เป็นการรบกวนเพื่อนบ้าน


อนุพันธ์จึงคิดที่จะนำศาสตร์เรื่องการนวดแผนไทยมาใช้บำบัด โดยเริ่มศึกษาจากการนวดแผนไทยสำหรับคนและนำมาทดลองใช้กับสุนัขขณะเดียวกัน ก็มีการนำสมุนไพรไทยมาปรับใช้ โดยคิดค้นและพัฒนาส่วนผสมต่างๆ จนสามารถใช้ได้กับสุนัขทุกสายพันธุ์ ซึ่งปรากฏว่ามีเสียงตอบรับอย่างกว้างขวางตั้งแต่ชาวบ้านจนถึงระดับไฮโซและดารามาใช้บริการกลายเป็นกระแสแฟชั่นโดยไม่ตั้งใจ

“คำว่านวดสุนัขตอนนั้นถ้าผมพูดคนจะหัวเราะหมดเลย เพื่อนก็บอกให้เลิกเถอะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่ผมไม่เลิก ผมคิดว่าสิ่งที่คิดค้นขึ้นมาน่าจะทำเป็นธุรกิจได้ เลยเปิดให้บริการเว็บไซต์ เป็นนวดแผนโบราณเดลิเวอรี่ มีการบริการถึงบ้าน”

ค่าใช้จ่ายในการนวดแต่ละครั้งสำหรับสุนัขพันธุ์เล็ก 350 บาท พันธุ์ใหญ่ 450 บาท หรือคอร์สละ 2,000 –2,500 บาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยทีเดียวปัจจุบันธุรกิจนวดสุนัขกำลังมาแรงจนน่าตกใจมีทั้งการนวดสุนัขสูตรอินโดนีเซีย บ้างก็มีการนวดแบบญี่ปุ่น ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนไม่น้อย อนุพันธุ์มองว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและไม่กลัวการมีคู่แข่ง เพราะคู่แข่งเหล่านี้จะทำหน้าที่ช่วยกันประชาสัมพันธ์และพัฒนาตลาดด้านนี้ให้เป็นที่ยอมรับของคนเลี้ยงสุนัขมากยิ่งขึ้น
“ต่อไปผมจะเขียนตำราเรื่องการนวดสุนัขออกมา เพราะอยากถ่ายทอดให้คนรู้จักมากขึ้นรวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้กับสุนัข เช่น น้ำในนวดกล้ามเนื้อสุนัข แชมพูสมุนไพรสุนัข สมุนไพรไล่เห็บ หมัด และสร้างแบรนด์ที่เป็นศูนย์รวมสมุนไพรสำหรับสุนัขแบบครบวงจร ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน”

อนุพันธุ์ให้ความเห็นว่า ธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขก็เปรียบได้กับธุรกิจคาร์แคร์ ซึ่งคนที่ใช้รถไม่นิยมล้างรถเอง เช่นเดียวกับคนเลี้ยงสุนัขที่ต้องหันไปใช้บริการเพ็ทแคร์ซึ่งมีความชำนาญมากกว่า การนวดแผนโบราณสุนัขจึงเป็นความแปลกใหม่ที่ชวนคนรักสุนัขอยากลิ้มลอง

“ถ้าอยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ อย่าต่อแถวคนอื่น ต้องสร้างแถวใหม่ สร้างความต่าง” เขาสรุปทิ้งท้าย

ที่มา manager.co.th








ธุรกิจยอดขายร้อยล้านต่อปี สยามแบรนด์จาก “แมส” สู่ “ดีไซน์”

ธุรกิจยอดขายร้อยล้านต่อปี สยามแบรนด์จาก “แมส” สู่ “ดีไซน์”
"ถ้าเป็น 5 ปีที่แล้ว ขายดีมาก ปีๆหนึ่งยอดขายเป็นร้อยล้าน ส่งออกรองเท้าเดือนละ 1-2 ตู้ เป็นปกติโดยไม่ต้องออกแฟร์ ออร์เดอร์มาถึงปาก การผลิตไม่ต้องคิดมาก ทำหน้าที่เหมือนคนก็อปปี้ ผลิตตามแบบที่ลูกค้าสั่งมา แต่ 3 ปีที่แล้ว ออร์เดอร์หายไป 70% และลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็นศูนย์ไปแล้ว"

คำบอกเล่าของ จินาวรรณ เฮอร์มานน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแบรนด์ เอนเตอร์ไพร์ส จำกัด สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเอสเอ็มอีไทย ซึ่งอันที่จริงก็ไม่เฉพาะแต่เอสเอ็มอี หากแต่ลามไปถ้วนหน้า ทั้งโรงงานน้อยใหญ่ที่แข่งขันโดยใช้ "ต้นทุนค่าแรง" เป็นหลัก
2-3 ปีมานี้ จินาวรรณ และ สมบวร สุวังกูร -คู่ชีวิต เห็นเพื่อนร่วมวงการหลายรายได้แต่มองตาปริบๆ ที่ออร์เดอร์ในมือถูกถ่ายเทไปที่จีน และเวียดนาม จำนวนไม่น้อยยอมเลิกกิจการ ปล่อยให้โรงงานร้าง ดีกว่าขาดทุนบาดเจ็บไปมากกว่านี้



สยามแบรนด์เอง ผ่านพ้นวิกฤตนั้นมาได้ ก็ต้อง "ปฏิวัติ" ครั้งใหญ่ในโรงงาน จากที่ผลิตตามออร์เดอร์จำนวนมากๆ เปลี่ยนมาเป็นการผลิต "จำนวนน้อย" แต่เน้นที่ "ดีไซน์" และ "มูลค่าเพิ่ม" อื่นๆเข้าไป ให้ต้องรสนิยมกลุ่มลูกค้าระดับบน

จากที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของ "ดีไซเนอร์" และ "ทีมวิจัยพัฒนา" (R&D) ก็ต้องเพิ่มอัตรากำลัง จาก 2 เป็น 20 ในทางกลับกัน พนักงานในโรงงานผลิต 150 ชีวิตต้องลดจำนวนลงเหลือ 1 ใน 3 และต้องปรับตัวจากที่ชำนาญเฉพาะงานรองเท้า มาเป็นการเพิ่มทักษะในการผลิตสินค้าแฟชั่นอื่นๆได้ด้วยทั้งกระเป๋า เข็มขัด โชคดีที่พื้นฐานของการเป็นช่างรองเท้านั้น อาศัยทักษะและความประณีตสูง เมื่อปรับมาผลิตสินค้าอื่นๆ จึงไม่เป็นการฝืนมากนัก

สยามแบรนด์อาจโชคดีกว่าเอสเอ็มอีรายอื่นที่ปรับตัวได้เร็ว เนื่องจากจินาวรรณมีพื้นฐานของศิลปะและการดีไซน์อยู่แล้วเป็นทุนเดิม สถานการณ์จึงค่อยๆกระเตื้องขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้มากนัก เพราะสินค้าแฟชั่นจากประเทศเล็กๆอย่างไทย ต้องขยันและทำการบ้านอย่างหนักในการแข่งขันกับสินค้าแฟชั่นในตลาดโลกที่มีผู้ทรงอิทธิพลอยู่แล้วอย่าง ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน อเมริกา หรือ จะดูฝั่งเอเชียก็มีผู้ประกาศจับจองตำแหน่งเจ้าแฟชั่นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี เซี่ยงไฮ้ หรือ อย่างอินเดียเอง วันดีคืนดีก็ปรับวัฒนธรรมขรึมขลัง คลาสสิกแบบแขกให้ร่วมสมัยมากขึ้น และอ้างถึงการเป็นดินแดนที่มากด้วยภูมิปัญญาผ้ามาช้านาน สร้างความชอบธรรมในการเป็นผู้นำแฟชั่นตะวันออก
ในเมื่อทุกประเทศต่างคิดเหมือนกันว่า ต้องขยับขึ้นตลาดบน และได้ปฏิบัติการแล้วโดยมิได้นัดหมาย เอสเอ็มทีไทยจะหาทางออกอย่างไร

ยุคเฟี่อง
หลังจากจบสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จินาวรรณยึดอาชีพเป็นแอร์โฮสเตสการบินไทยได้พักใหญ่ ก่อนมาทำตกแต่งภายใน (Interior Design) และทำร้านบูติกย่านสยามสแควร์ไปด้วยควบคู่ จินาวรรณจึงได้ลับฝีมือเรื่องการคิดคอนเซ็ปต์และการดีไซน์อยู่ไม่ขาด ภายหลังต้องวางมือจากกิจการอื่นๆไป และเทเวลามาช่วยกิจการผลิตรองเท้าของสามีอย่างเต็มตัว เพราะหุ้นส่วนเดิมประสงค์ที่จะแยกตัวออกไป

ด้วยภาษาอังกฤษที่แคล่วคล่อง เธอจึงรับหน้าที่ด้านมาร์เก็ตติ้ง กิจการดำเนินไปด้วยดี ลูกค้าล้วนเป็นสินค้าแบรนด์เนมที่ sub contract ออกมาให้ผลิต ซึ่งงานของผู้ผลิตแบบ OEM นี่ คือ ทำให้ได้คุณภาพตามที่ลูกค้ากำหนด ความยุ่งยาก และซับซ้อนในการผลิต อยู่ในขั้นตอนการเลือกซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนต่างๆ (supporting supplier) เช่น ส้นรองเท้า โรงฟอก โรงย้อม กระดุม อะไหล่ แต่หากได้ตามสเปคแล้ว งานทุกอย่างถือว่าฉลุย เพราะทางด้านลูกค้าเองจะมีเจ้าหน้าที่ประสานงานกับโรงงานอย่างใกล้ชิด แต่ละแบรนด์จะคุมคอนเซ็ปต์ ทำวิจัยต่างๆ เป็นฐานสนับสนุนให้การทำงานต่างๆง่ายขึ้น

กิจการเติบโตและขยับขยาย ออร์เดอร์หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับโรงงานรองเท้า เครื่องหนังอื่นๆ ที่กระจายอยู่ทั่วชานเมืองกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาคารพาณิชย์และหมู่บ้านจัดสรรหลายแห่ง ถูกดัดเป็นโรงผลิตขนาดย่อมๆ พอมีทุนมากหน่อยก็ขยับขยายสร้างโรงงานเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา โดยไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาเรืองรองจะเป็นแค่ชั่วครู่ชั่วยาม
ข้อเสียของเอสเอ็มทีไทย คือ สนใจแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า โดยไม่ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์อนาคตอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ทางการค้า หรือการปรับตัวของคู่แข่งที่ทำให้เกมการแข่งขันเปลี่ยนไป

ทั้งที่จริง นักวิชาการธุรกิจ เศรษฐกิจได้วิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าหลายปีแล้วว่า การได้เปรียบทางด้าน "ต้นทุน" ของไทยจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้า เพราะเมื่อใดก็ตามที่เจ้าของแบรนด์รองเท้า เสื้อผ้า อาหาร และอื่นๆ พบแหล่งผลิตที่ราคาถูกกว่าก็พร้อมจะย้ายไป ซึ่งสำหรับทศวรรษนี้ไม่มีใครเกินจีน เวียดนาม รวมถึงประเทศทางแถบอเมริกาใต้อีกหลายแห่ง

"ค่าแรงประเทศไทยไม่มีทางถูกลงกว่านี้ มีแต่จะสูงขึ้นๆ เราสู้กับจีนไม่ไหว จีนประเทศเดียวเท่ากับไทย 20 ประเทศ เขามี 20 กว่ามณฑล ขณะนี้มีแค่บางมณฑลเท่านั้นที่เข้าสู่การผลิตแบบอุตสาหกรรม แค่เราแข่งมณฑลเดียวก็อยู่ยากแล้ว แล้วลองนึกดูว่า ถ้าอีกหน่อยเขาขยายไปมณฑลอื่นๆด้วย จะทำยังไง" สมบวรบอกถึงความกังวลใจ

"ไม่ต้องอะไรมาก แค่ตอนนี้ อิตาลีที่เป็นผู้นำแฟชั่น ก็เข้าไปเปิดโรงงานที่จีนเองหลายแห่งแล้ว ก็ยิ่งผลิตสินค้าแฟชั่นได้ถูกมากๆ เรายิ่งต้องใช้ครีเอทีฟให้มาก และ ทำงานมากขึ้นกว่าเดิม " จินาวรรณที่ปัจจุบันควบงานทั้งดีไซเนอร์ และ มาร์เก็ตติ้งอธิบายเสริม

ปรับตัวสู้ศึก
สยามแบรนด์ได้ปรับการผลิตมาอย่างน้อย 3 ปี โดยเริ่มแรกอิงจากรสนิยมส่วนตัวของจินาวรรณ ที่สนุกกับการสรรหาเครื่องแต่งกายเก๋แหวกแนว เธอลงมือดีไซน์และรื้อการผลิตใหม่หมดด้วยตัวเอง

"โชคดีที่มีพนักงานเข้าใจ และเก่งๆทุกคน เราเทรนให้เขาผลิตสินค้าได้ทุกชนิด ช่วงแรกผู้ประกอบการต้องใจกว้าง ยอมให้มีการทดลอง ยอมให้มีของเสียเพื่อสร้างทักษะ ยกระดับแรงงานเพื่อที่เขาจะได้แข่งกับคนอื่นได้อนาคต ถ้าผู้ประกอบการไม่เข้าใจจุดนี้ ไม่ยอมมีต้นทุน แรงงานก็จะทำได้เท่าเดิม ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป แล้วสุดท้ายก็ไม่มีใครรอด"

การพัฒนาฝีมือแรงงาน (Labor) ให้มีความปราณีต และมองงานผลิตให้เป็น "ศิลป" ที่ต้องรสนิยมผู้บริโภคเป็นสิ่งจำเป็น ในการกระเถิบห่างออกจากการผลิตสินค้าแมสของจีน
วัสดุที่มีสีสันทันสมัย พื้นผิวแปลกตา และกลิ่นไอของความเป็นตะวันออกถูกนำมาผสานกันเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าในตลาดโลก ซัพพลายเออร์ของสยามแบรนด์ยุคใหม่จึงต้องอาศัยความร่วมมือตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงโรงฟอกย้อมเครื่องหนังที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งคบค้ากันมาพักใหญ่ก็จะรู้ใจดีว่า จินาวรรณชอบวัสดุที่แปลกไม่ซ้ำใครหนังปลานิล หนังกิ้งก่า หนังขานกกระจอกเทศ หนังแตก หนังยับที่โรงงานอื่นปฏิเสธ กลับเป็นที่พออกพอใจของผู้ประกอบการรายนี้ เพราะวัสดุที่แตกต่างก็ทำให้ได้สินค้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ (unique) บางครั้งเมื่อนำมาผสมกับงานถักทอของพื้นบ้าน ก็ยิ่งทำให้ได้ชิ้นงานที่ไม่เหมือนใคร

ทั้งหมดนี้คือการสร้างความแตกต่างที่จินาวรรณและสมบวรบอกว่ามีเสียงตอบรับที่ดี ราคาจำหน่ายต่อหน่วยก็มากกว่าสมัยผลิตสินค้าแมส 3-4 เท่า แต่ความยากในกระบวนการผลิต (production process) ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เมื่อปรับรูปแบบการผลิต คิดดีไซน์ และสร้าง "แบรนด์" ของตนเองขึ้นมานั้น เท่ากับเป็นการเริ่มหนึ่งใหม่ จากที่ออร์เดอร์วิ่งเข้าปาก ก็ต้องวิ่งออกหาลูกค้า เสนอชิ้นงาน รอการพิจารณาของคณะกรรมการ ส่งข้อเสนอกลับมาปรับแต่งดีไซน์ ยื่นเสนอกลับไป กว่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจนั้นกินเวลามาก

"สินค้าแฟชั่นทำยาก ขั้นตอนยืดยาว แต่ดีตรงที่กำไรมากกว่า แต่ที่ยากกว่านั้นคือ เราต้องเปลี่ยนดีไซน์ให้เร็ว ต้อง dynamic ตลอดเวลา จะเอื่อยเฉื่อยเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ แรงงานก็ต้องพัฒนา เมื่อก่อนทำงานสบายแต่ทำเยอะ ตอนนี้ทำงานน้อย แต่เป็นงานยาก ทั้งตอกหนัง บุ พับเก็บ ฉ่ำลาย ต้องเป็น" สมบวรอธิบาย
ปัจจุบัน ดีไซน์จากสยามแบรนด์ได้ส่งออกไปหลายประเทศทั้งอังกฤษ อเมริกา สปน สวีเดน ตุรกี ออสเตรเลีย เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ป้อนให้กับแบรนด์ดังในประเทศไทยด้วย

"เราต้องครีเอทีฟให้มาก หลายคนอาจเริ่มจากการก็อปปี้ก่อน แต่ต้องก็อปให้เป็น รู้จักประยุกต์ ไม่ใช่ทำอย่างเครื่องซีร็อกซ์ ใช้ตาอย่างเดียว ต้องใช้สมองด้วย แล้วเมื่อวันหนึ่งชำนาญขึ้นก็ค่อยๆ พัฒนาแบบของตัวเองได้ เราจะไปทำเหมือนเขาเปี๊ยบทำไม ต้องทำให้หลากหลายสิ ไทยจะได้เจริญ เหมือนอิตาลี ดีไซเนอร์ทำตัวเป็นอาร์ติสท์ ก็จะขายของราคาแพงได้" จินาวรรณทั้งชักชวนและให้กำลังใจเพื่อนร่วมวงการ

กรุงเทพฯเมืองแฟชั่นความหวังอันเรืองรอง?
โอกาสดีมาเยือนมากขึ้น เมื่อปีนี้รัฐบาลประกาศโครงการ "กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น" ที่จัดงานใหญ่และประกาศให้โลกรับรู้ถึงความสามารถด้านดีไซน์ของคนไทย จินาวรรณเชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นการรับรู้ของผู้บริโภคได้มาก แต่ในฐานะผู้ประกอบการ เธอมองว่ายังขาดองค์ประกอบอีกมากที่จะทำให้ไทยแข่งขันได้ในระยะยาว

เธอวอนผ่านไปยังหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวกับ "โครงสร้างภาษี" "การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง" หรือ supporting industry ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าแฟชั่น ตลอดจนการรวมกลุ่ม "คลัสเตอร์" ให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยยกตัวอย่างถึงเคมีสำหรับการย้อมหนังอัตราภาษียังสูงมาก หรือการผลิตส้นรองเท้าคุณภาพดีที่ตรงตามสเป็คลูกค้านั้น บ่อยครั้งหาไม่ได้เลยในเมืองไทย ยังจำเป็นต้องนำเข้าจากอิตาลี ซึ่งโครงสร้างภาษีของการนำ "ชิ้นส่วน" เข้ามาประกอบนั้นสูงกว่า "รองเท้าสำเร็จรูป" ทำให้ผู้ผลิตรองเท้าของไทยเสียเปรียบการแข่งขันกับผู้นำเข้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายรองเท้าจากต่างประเทศ

ครั้นจะขึ้นพิมพ์ผลิตส้นเอง ก็เป็นเรื่องเกินกำลังของเอสเอ็มอีเล็กๆ ที่ต้องแบกภาระค่าพิมพ์ และปริมาณการผลิตไม่สูงมากพอตามหลักประหยัดต่อขนาด (economy of scale) ประเทศที่จะทำเช่นนั้นได้ ต้องอยู่ในฐานะศูนย์กลางซัพพลายเออร์อะไหล่เครื่องหนังและรองเท้า

จินาวรรณเล่าบรรยากาศที่เห็นในเมืองกวางเจา ที่นครการค้าแห่งนี้จะมีช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ที่ทั้งอาคารจะจำหน่ายเฉพาะอะไหล่รองเท้า ส้นมีนานาชนิด จะหาส้นแก้ว ส้นไม้ ส้นสแตนเลส หรือ ส้นสวมแหวนเพชรก็เลือกหาได้ที่นี่ อีกอาคารก็เพียบด้วยอะไหล่กระเป๋า ผู้ผลิตจากทั่วโลกสามารถเลือกช็อปปิ้งแบบชิ้นส่วนและอะไหล่นานาชนิดได้ การลงทุนขึ้นโมลด์หรือแม่พิมพ์จึงคุ้มค่าเหลียวมองประเทศไทย ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้ นึกแหล่งรวมอะไหล่เครื่องหนังและรองเท้าได้แค่ "ถนนเสือป่า" และ "ซอยสารภี" ย่านวงเวียนใหญ่ซึ่งการจราจรแน่นขนัด ร้านรวงแม้จะมีมากพอสมควร แต่ต้องเรียกว่าห่างชั้นกับกวางเจามากนัก

การปรับโครงสร้างภาษีสำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าแฟชั่น จึงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการแข่งขัน ก็ในเมื่อรัฐประกาศให้อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นทัพหน้าในการแข่งขันของประเทศแล้ว ก็ควรส่งเสริมให้ครบกระบวน ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าจีนคิดขยับขึ้นมาทำสินค้าแฟชั่นของตัวเองแข่งตลาดโลก ไทยก็จะพบกับความยากลำบากอีกครั้ง เพราะไม่มีเฟืองที่หนุนให้เดินหน้าได้เลย

200 ปี คลัสเตอร์อิตาลี

นอกเหนือจากการสนับสนุนจากภาครัฐแล้ว สองผู้บริหารของสยามแบรนด์ยังติดตามและสนใจแนวคิดเรื่อง "คลัสเตอร์" ซึ่งเชื่อว่า การรวมกลุ่มของผู้ประกอบการจะเป็นการเพิ่มพลังในการแข่งขัน ยกตัวอย่างเรื่องเดิมคือ "ส้นรองเท้า" คุณภาพดี เป็นเรื่องยากที่แต่ละโรงงานจะลงทุนเอง แต่หากรวมกลุ่มกัน และมีดีมานด์ที่มากพอ ก็อาจมีซัพพลายเออร์กล้าตัดสินใจเปิดแม่พิมพ์ใหม่ได้ง่ายขึ้น หรือ ในการลงทุนวิจัยพัฒนานั้น หลายๆโรงงานก็สามารถประสานความร่วมมือกันได้

ไม่ใช่เฉพาะด้านการผลิตเท่านั้น ในการทำตลาด ก็สามารถสร้างวัฒนธรรมแห่งการร่วมมือ (co-operation) เพื่อลดต้นทุนลงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ เพียงแต่ต้องมีการ "เคารพ" และ "ซื่อสัตย์" ต่อกัน ไม่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวเหนือประโยชน์ของกลุ่ม คือ ต้องตระหนักเสมอว่า มิใช่ต่างคนต่างแข่ง แต่ต้องทำเพื่อไปแข่งกับประเทศอื่น

"ผมดูจากอิตาลี คลัสเตอร์เขาเกิดโดยธรรมชาติ เขาผลิตรองเท้ามา 200 ปี สร้างจนเป็นวัฒนธรรมของการรวมพลัง ร่วมมือกัน จนวันนี้ หลายๆประเทศในยุโรปเองก็สู้ไม่ได้ หรือดูอย่าง ฮอลแลนด์ คลัสเตอร์ดอกไม้เขาก็ต้องใช้เวลาในการรวมกลุ่มขึ้นมา ผมก็มีความหวังว่าประเทศไทยจะทำอย่างนั้นได้"

เห็นระยะเวลาการเกิดคลัสเตอร์ที่แข็งแกร่งในต่างประเทศ หลายคนอาจท้อแท้ใจว่ากินระยะเวลาร่วมร้อยปี แต่สถานการณ์ขณะนี้ ดูเหมือนไทยจะรอไม่ได้ สมบวรกลับมองเห็นด้านดีของการที่มีตัวอย่างให้เห็นในโลกว่า ทำให้ไทยมีกรณีศึกษาเป็น "ทางลัด" ที่ใช้เวลาน้อยกว่าในการจัดตั้งคลัสเตอร์

สำคัญคือ ต้องขบโจทย์ให้แตกว่า การผลิตสินค้าแฟชั่นเกี่ยวข้องไปถึงการศึกษา "ศิลป" ของเยาวชนชั้นประถม การส่งเสริมเรื่องความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออกเป็นเรื่องที่ฝ่ายจัดการการศึกษาก็ต้องคิดให้ถึง
หรือการส่งเสริมให้เกิด "แรงบันดาลใจ" ในการออกแบบ และการ "สร้างการยอมรับ" ก็ล้วนเป็นการทำให้คนในชาติรู้จักศิลปะขึ้นมากขึ้น

ใครจะนึกว่าดีไซน์ของ "ตาไก่ และ เชือกร้อย" ที่ปรากฏอยู่ทั้งบนรองเท้าผ้าใบ กระเป๋า หรือ เสื้อผ้าต่างๆ นั้นมาจากการเพ่งพิศรอยตะปูบนผนัง และซี่รั้ว
"ดีไซเนอร์เมืองนอกเขามีเวลาพักผ่อน ไปซัมเมอร์เดินป่า ดูต้นไม้ ถ่ายรูปดอกไม้สวยๆ ถ่ายปีกแมงทับมา ก็เอามาทำเป็นคอลเลคชั่นปีกแมงทับ ทำทั้งลายผ้า ลายหนังเข้าชุดแล้วขายได้ทั่วโลก" จินาวรรณเล่าตามเรื่องที่ได้ยินได้อ่านมา

"สักวันหนึ่ง ถ้าผมมองกระเบื้องที่ทับซ้อนกันอย่างนี้ อาจเกิดเป็นไอเดียเอาหนังมาทับกัน เกิดเป็นดีไซน์ใหม่ขึ้นมาได้" สมบวรเอ่ยขึ้นขณะมองออกนอกหน้าต่างและสายตากระทบเข้ากับหลังคาอาคารอีกหลังที่อยู่ในรั้วเดียวกัน แต่คนไทยต้องเริ่มจากการยอมรับความคิดซึ่งกันและกันเองก่อน ไม่ใช่เอะอะก็ว่าแต่ของฝรั่งสวย พอรู้ว่าเป็นของไทย แล้วไม่สวย"

สองสามีภรรยาได้เริ่มลงมือแล้ว และพบว่า ดีไซน์ของคนไทยไม่ได้อับจนหนทางในตลาดโลก ถ้าผู้ประกอบการไทยมองเห็นปัญหา และสู้อย่างมีความหวัง ก็จะพบกับสีสันแห่งโลกแฟชั่นที่แท้จริง SIAM BRANDS Enterprise Co.,Ltd. 900/168 หมู่ 6 ถนนศรีนครินทร์ แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10260
ที่มา manager.co.th







แนะ 13 วิธีการออมเงินแบบง่ายๆใครๆก็ทำได้

แนะ 13 วิธีการออมเงินแบบง่ายๆใครๆก็ทำได้
ในเวลาปัจจุบัน เงินเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับคนทุกคน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากเราใช้ไปโดยไม่ยั้งคิดหรือฟุ้มเฟือย ปัจจัยชนิดนี้ก็จะหมดไปโดยฝากความลำบากไว้ให้กับเราในอนาคต ดังนั้นการออมเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ควรปลูกฝังการประหยัดเงินตั้งแต่อายุน้อยเพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเจ้าปีศาจที่ไม่เป็นที่ประสงค์ของคนทุกคนคือ ความจนกับความลำบาก นั้นเอง

วิธีการในการออมเงิน สามารถทำได้ดังนี้

1. ลงทุนซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในที่ที่พบเห็นบ่อยครั้ง เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ บนหัวเตียง ข้างรูปสุดที่รัก หรือแม้แต่หน้าห้องอาบน้ำ เป็นต้น เลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยจะได้ไม่ลืมใช้เงินอย่างฟุ้มเฟือยและหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ

2. หัดรู้จักคำว่า “ความจำเป็น” กับ “น่ารัก” เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน การซื้อโดยคำนึงแต่คำว่าน่ารักแล้วอยากได้อย่างเดียวนั้นไม่พอดังนั้นจึงควรคิดพิจารณาก่อนหยิบยื่นตรงแคชเชียร์ทุกครั้ง จะได้ไม่เสียใจเมื่อซื้อในภายหลัง เว้นแต่ว่าของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากได้จริงๆ เห็นสิ่งอื่นๆที่สวยกว่าเราไม่สนและเหมาะสมกับสภาพเงินที่มีก็สมควรซื่อได้เพื่อสนองความต้องการ

3. วิธีนี้สำหรับคนที่ชอบจดชอบเขียนคือทำ “แบบบันทึกรายรับรายจ่าย” อาจทำเป็นสมุดเล่มเล็กเพื่อพกพาไปได้ทุกที่ จ่ายอะไรไปก็จดไว้ ได้มายังไงก็จดไป พอครบกำหนดก็รวมรายรับรายจ่าย วิธีนี้สามารถตรวจต่อมความฟุ้มเฟือยของเราได้เป็นอย่างดี



4. หากรู้ตัวว่าต้องไปในที่ๆมีแต่ของฟุ้มเฟือย แพงหูฉีกจนแม้แต่เกิดใหม่ซักกี่ชาติก็ไม่สามารถหาตังค์มาซื้อได้ ให้ท่านยืนสงบนิ่งซักแป็บ แล้วเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋า จะได้ไม่ต้องพกให้เมื่อยกุงเกงแถมประหยัดอีกต่างหาก

5. ซื้อกระเป๋าที่มีช่องลับเยอะๆสำหรับพกไปเดินห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของสุรุ่ยสุร่าย เอาไว้ซ่อนเงินแล้วเวลาเกิดอยากได้อะไร พอเปิดกระเป๋าก็จะหาไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเสียเงิน ประหยัดแบบวัยรุ่นยุคใหม่ ได้ทั้งความเท่ ประหยัดและปลอดภัยจากมิจฉาชีพ (แต่ต้องไม่ซ่อนจนลืมที่ซ่อนนะ)

6. เอาเงินไปฝากธนาคารแบบฝากประจำ อันนี้เป็นวิธีที่หลายคนนิยม ปลอดภัยสุดๆเมื่อเม็ดเงินของคุณถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในตู้นิรภัยหนากว่าฟุต

7. ฝึกทำงานพิเศษ หารายได้ด้วยตนเองโดยไม่ง้อแบเงินขอพ่อแม่ให้ลำบากท่าน วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับนักศึกษาทั้งที่เรียนอยู่และจบทำงานแล้ว เพื่อฝึกให้เห็นถึงความลำบากของการหาเงินและคุณค่าของเงินที่หลายคนหลงลืมไป

8. ซื้อของลดราคา สามารถหาได้ง่ายตามศูนย์การค้าทั่วไป (แม้แต่คนเขียนยังชอบ)

9. เอาล่ะสิ วิธีนี้เหมาะกับแม่บ้านหัวไวหรืออนาคตนักคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ คิดเลขเร็วไง...เวลาซื้ออะไรก็รวมรายจ่ายไว้ในสมอง ใช้ประกอบกับข้อสองวิธีนี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เผลอๆโตขึ้นได้ติดอันดับกินเนสบุคด้านคิดเลขเร็ว

10. อย่าหลงคำโฆษณาชวนเชื่อจากปากโฆษกขี้โว (ขี้โม้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชอบชวนคุยและพวกที่ยิ่งคุยเข้าหูเราก็ยิ่งต้องระวังกันใหญ่

11. ฝากเงินไว้ที่เพื่อน นัดเวลาเอาเงินคืน ถือเป็น ATM เคลื่อนที่ไปในตัว แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ต่อเราจริงๆเดี๋ยว ATM จะกลายเป็นตู้หยอดเหรียญแทน (ให้แล้วไม่ได้คืนอะดิ)

12. อยู่ว่างๆร้องเพลง "คนมีตังค์" ดังๆ ได้ทั้งความสนุก สู้ชีวิต เผลอๆได้ (เศษ) ตังค์จริงๆด้วย

13.เรียนรู้กับหลักดำเนินชีวิตที่ในปัจจุบันกำลังนิยมมากคือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในข้อนี้สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ในหลวงของเราทรงย้ำเตือนคนไทยมากว่าหลายปี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ถวายเป็นความภักดีเพื่อพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย
ที่มา เด็กดี.คอม







เคล็ดลับการตลาดสำหรับเถ้าแก่มือใหม่ 4 วิธี

เคล็ดลับการตลาดสำหรับเถ้าแก่มือใหม่ 4 วิธี
มีรูปแบบทางการตลาด (Marketing Model) ที่เข้าใจได้ง่ายๆ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ในระดับของกิจการระดับSMEs อย่างไรได้บ้าง

"เถ้าแก่มือใหม่ที่เข้ามา ขอคำปรึกษาที่สถาบันฯ ส่วนมากแล้วมักจะเริ่มต้นกับคำถามประเภทฉันกำลังจะตั้งโรงงานไอศกรีมผมกำลัง สั่งเครื่องคั้นและบรรจุน้ำผลไม้ ผมและเพื่อนกำลังจะลงทุนทำอันโน้นทำอันนี้"

แต่เมื่อที่ปรึกษาธุรกิจตั้งคำถามลึกๆต่อไปว่า อะไรคือโอกาสของสินค้าและบริการดังกล่าว ใครเป็นผู้ซื้อตัวจริง ทำไมเขาจะต้องซื้อ เราจะขายที่เท่าไร คู่แข่งขายอยู่ที่เท่าไร ต้นทุนเราอยู่ที่ตรงไหน เราจะเลือกช่องทางขายที่ใดบ้าง ฯลฯ ยิ่งคำถามลึกลงไปเท่าไร เถ้าแก่รายนั้นที่ขาดการทำการบ้านที่ดีมาก่อนก็จะเริ่มไม่มั่นใจว่าเงินที่ จ่ายค่าเครื่องจักรไปแล้วนั้น ควรจะทำอย่างไรกันดี



บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการทำตลาดให้แก่สินค้านั้น เขาจะต้องเริ่มจากตลาด (Market Survey) เสียก่อนที่จะมาคำนึงถึงตัวสินค้า ในทางตรงกันข้ามผู้ประกอบการบ้านเราส่วนใหญ่จะเริ่มจากตัวสินค้าก่อน แล้วค่อยไปหาตลาด เช่น ในยุคของสินค้าเพื่อสุขภาพ (Green Product) เฟื่องฟู สินค้าประเภทที่ทำจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ พวกสมุนไพรต่างๆ กำลังเป็นที่นิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ฝ่ายวิจัย R&D ของบริษัทเหล่านี้จึงจะพัฒนาค้นคว้าในผลิตภัณฑ์ที่เป็นความต้องการของตลาด โดยค้นหาโจทย์ว่ามีโอกาสทางการตลาดอะไรบ้างสำหรับสินค้าหรือบริการนั้น มีส่วนใดในความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ทำไมลูกค้าจะมาซื้อของเรา เราจะมีจุดขายในตัวสินค้าของเราอย่างไรที่ลูกค้าให้ความสำคัญ นี่คือวิธีการที่จะสร้างแนวความคิดของสินค้า (Product Concept) ที่อยู่บนรากฐานความเป็นจริงทางการตลาด

เราลองมาดูกันว่ามีรูปแบบทางการตลาด (Marketing Model) ที่เข้าใจได้ง่ายๆ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในระดับของกิจการระดับSMEs อย่างไรได้บ้าง เพื่ออย่างน้อยช่วยให้เถ้าแก่มือใหม่ได้กลั่นกรองแนวคิดธุรกิจให้ตั้งอยู่บน พื้นฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดทางการตลาด


1. รู้ตลาด-รู้คู่แข่ง นี่คือโจทย์ข้อแรกที่ต้องคำนึงถึง ต้องมีความเข้าใจว่าประเภทสินค้า (Product Category) นี้ตลาดมีลักษณะอย่างไรบ้าง มีการเติบโตในแนวทางที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ลักษณะตลาดมีแบ่งเป็นส่วนๆProduct Category) นี้ ตลาดมีลักษณะอย่างไรบ้าง มีการเติบโตในแนวทางที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ลักษณะตลาดมีแบ่งเป็นส่วนๆ (Segmentation) อย่างไรบ้าง สินค้าเรามีคุณลักษณะที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่าคู่แข่ง อย่างไร จุดขาย (Selling Point) ที่เราจะเสนอนั้นกลุ่มเป้าหมายจะเห็นคุณค่ามากน้อยแค่ไหน


2. รู้จักลูกค้า เถ้าแก่มือใหม่ร้อยละ 90 เข้ามาด้วยความคิดเต็มหัวซึ่งเป็นเรื่องของตัวเองและสิ่งที่ตนเองจะทำ ในขณะที่ความเข้าใจต่อลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อของลูกค้ามีน้อยมาก เช่น ช่องทางการขายหลักของสินค้าประเภทนี้อยู่ที่ไหน อะไรคือสิ่งบันดาลใจ (Motive) ให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย คำตอบลักษณะนี้จะต้องถูกตรวจสอบเสียก่อน เพื่อให้เห็นภาพของกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน


3. รู้จักเลือกตลาด มีความเข้าใจผิดว่ายิ่งเลือกตลาดที่กว้างใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งจะทำให้มีโอกาสขายมากเท่านั้น ธุรกิจระดับ SMEs นั้นการเจาะจงส่วนของตลาดที่เฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ได้ชัดเจนเท่าไรจะยิ่งทำให้การใช้ทรัพยากรทางการตลาดได้ผลลัพธ์เต็มเม็ดเต็ม หน่วยมากเท่านั้น เช่น เรารู้ว่ามีผู้ที่ต้องการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองที่ให้รสชาติเข้มข้นกว่าในท้อง ตลาด เพราะเชื่อว่าจะได้คุณค่าของโปรตีน-แร่ธาตุสูงกว่า กลุ่มเป้าหมายของเราก็จะแคบเข้า เป็นลูกค้าที่ต้องการเครื่องดื่มที่เข้มข้นกว่าในตลาด คนกลุ่มนี้ก็จะเป็นผู้รักษาสุขภาพ ต้องการอาหารที่ดีมีประโยชน์ หรือต้องการซื้อให้คนในครอบครัวรับประทาน โอกาสทางตลาดของธุรกิจน้ำนมถั่วเหลืองที่มีกระบวนการผลิตที่ให้รสชาติเข้ม ข้นและยังคงรักษาโปรตีน-แร่ธาตุไว้ก็จะเกิดขึ้น


4. รู้วิธีการสื่อสาร (Key Message) เมื่อเราสามารถกำหนดตลาดได้ รู้ความต้องการของลูกค้าและเราตอบสนองได้ก็มาถึงการพัฒนาแนวคิด (Concept) ว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะรู้จักเราในภาพลักษณ์แบบใด โดยตั้งคำถามนำในลักษณะที่ว่า กลุ่มเป้าหมายจะได้ประโยชน์ (Product Attribute) อย่างไรบ้าง หรืออะไรคือความคาดหวังจากกลุ่มเป้าหมายต่อสินค้าของเรา คำอธิบายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเราแบบใดที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจได้ง่าย ที่สุด นอกจากนี้กลยุทธ์ประเภทปากต่อปาก (Buzz Marketing) ก็เป็นวิธีการสื่อสารที่ได้ผลโดยเฉพาะกับธุรกิจ SMEs ซึ่งเราจะต้องกำหนดกลุ่มคนที่จะเป็นผู้นำ (Referral) ในการเป็นกระบอกเสียงให้ผลิตภัณฑ์ของเรา เช่น การจัดตั้งชมรมผู้ดื่มน้ำนมถั่วเหลืองเพื่อสุขภาพในสถานที่ต่างๆ อาจเป็นโรงพยาบาล สวนสาธารณะ ฯลฯ

เคล็ดลับต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นอย่างย่อ-สั้น-กระชับ เพื่อให้เถ้าแก่มือใหม่ลองกลับไปคิดทบทวนว่าโครงการที่กำลังคิดอยู่นั้น สามารถตอบคำถามและนำมาปฏิบัติจริงได้มากน้อยอย่างไร
ที่ีมา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์







ธุรกิจงานเซลามิก สไตล์งานปั้นล้านนาสั่งใจให้'สงบ'ดั่ง'เซน'

ธุรกิจงานเซลามิก สไตล์งานปั้นล้านนาสั่งใจให้'สงบ'ดั่ง'เซน'
ความวิตกกังวลของผู้คนที่นับวันยิ่งสูงขึ้น ด้วยการแข่งขันที่มากมายในสังคมที่แออัด งานที่นำเอาแนวคิดจากหลักธรรมอาทิ "เซน" จึงอาจจะช่วยสร้างความสุขให้มาเยือนจิตใจได้อีกครั้ง

เป็นการจับตลาด "ที่ต้องการแสวงหาความสุขทางใจ" ซึ่งเปิดเผยโดยธนสรร เกษมสุข "สล่า" หรือ "ช่างปั้น" จากล้านนานำแนวคิดทำให้จิตใจ "เงียบสงบ" ดั่งวิถี "เซน" มานำเสนอในงานปั้น "หม้อ" และ "โอ่ง" ของเขา ซึ่งสามารถ "เสพ" หรือ "จับต้อง" ได้

ประธานกลุ่มสล่าหม้อล้านนาผู้นี้ประยุกต์งานตกแต่งด้วยหม้อแบบล้านนาให้ "เพิ่มมูลค่า" ด้วยการเพิ่มบรรยากาศในเรื่องของความสงบ ความมีสมาธิ จากทรงของหม้อ และสายน้ำที่รินไหล

"เราปั้นหม้อแบบหริภูชัยในช่วงเริ่มต้น ต่อมาก็ประยุกต์ให้เป็นเนื้อหินทรายลงดำ ถือว่าเราเป็นคนคิดเป็นเจ้าแรกของโลกก็ว่าได้ โดยสินค้าจะเหมือนหินทราย ซึ่งดินที่ใช้ปั้นจะมีอยู่ในท้องถิ่นซึ่งมีทรายเป็นส่วนผสมเยอะ พอมาทำเป็นเครื่องปั้นดินเผาเนื้อหินทรายแล้วลงสีดำจะดูเหมือนหินทรายมาก"

ซึ่งเขาได้นำเอาแนวแบบ "เซน" มาประยุกต์ใช้ในช่วงนั้นนั่นเอง สินค้าที่ปรากฏจึงเป็นหม้อหินทรายลงดำ "ทรงกลม" อันเป็นสัญลักษณ์ของ "เซน" ( ซึ่งธนสรรบอกว่าหมายถึงการมองความเป็นจริงรอบด้าน เน้นให้มีความสุขแบบเรียบง่ายโดยทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ทรงกลมหมายถึงการอยู่ได้ ปรับตัวได้ง่าย) มาผสมผสานกับลวดลายของล้านนา

"สไตล์การจัดสวนแบบเซน มีลักษณะเป็นน้ำ (ซึ่งไหลมาจากที่อื่น) ไหลเข้าไปในโอ่งปากกว้างๆ ทรงกลม จึงคิดว่าน่าจะมาปรับให้เป็นสินค้าในแนวเซน เป็นชุดเดียวกัน คือไม่ต้องมีน้ำที่ตกหรือไหลมาจากที่อื่น แต่ทำให้น้ำมันไหลเวียนอยู่ตรงนั้น เข้ากับแนวคิดของเซนที่ว่าเป็นการหาความสุขในสิ่งที่เรียบง่าย โดยเริ่มต้นจากภายในตัวของเราเองก่อน ซึ่งก็หมายถึงหม้อหรือโอ่งที่มีน้ำไหลเวียนอยู่ในนั้น"

งานปั้นของกลุ่มสล่าหม้อล้านนา มีขั้นตอนที่แตกต่างจากงานปั้นทั่วไปด้วยตรงที่เมื่อผสมดินในสูตรของตัวเองแล้วจะนำมาขึ้นรูปแล้วก็ปล่อยให้แห้งจึงค่อยนำไปเผา

"เรามีการผสมเนื้อดินแบบรากุของญี่ปุ่น ซึ่งรากุ เป็นดินชนิดหนึ่งจะมีการหดตัวและขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และไม่แตก มีการเผาเพิ่มอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว และทำให้เย็นได้โดยไม่แตก ในดินมีแร่เหล็กและออกไซด์ของเหล็กเยอะมันจะเผาได้สุก เราเอาจุดดีของแบบเดิมและสมัยใหม่มารวมกันและก็เอาจุดบกพร่องของทั้งสองแบบออกไป"



ปัจจุบันสินค้าของกลุ่มนี้มีมากมายหลายแบบ ที่เป็นน้ำพุมีอยู่ประมาณ 20 แบบ ซึ่งมีการออกแบบ เพิ่มใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ซึ่งในปีนี้จะออกแบบเพิ่มอีก 3 แบบ

โดยล่าสุด เป็นการผสมผสานรูปแบบของต้นกระบองเพชรที่เป็นต้นทรงกลมและมีหนาม กับลวดลายของศิลปะทางภาคเหนือเข้าด้วยกัน ทำให้ต้นกระบองเพชรมีลักษณะกลมแบบ "ป้อมอ้วน" น่ารักและดูไม่แข็งกระด้าง เพราะศิลปะทางภาคเหนือจะได้รับอิทธิพลมาจากพม่าค่อนข้างมาก ด้วยอาณาจักรล้านนากับพม่าทำสงครามและผลัดเปลี่ยนการเป็นเมืองขึ้นกันมาโดยตลอด ทำให้ช่างของแต่ละเมืองมีโอกาสถ่ายทอดฝีมือกัน

ธนสรรบอกว่าเขากำลังจะผสมผสานรูปแบบของสินค้าเพื่อให้เกิดประโยชน์ในสอยมากขึ้น เช่นทำให้เป็นแจกัน ซึ่งสามารถใส่เทียนก็ได้ หรือจะทำเกิดน้ำล้นขึ้นมาก็ได้ แต่รูปทรงของสินค้าจะเน้นเป็นงานศิลปะให้มากยิ่งขึ้น

สำหรับการแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ปัจจุบันธนสารใช้วิธีออกบูธ แต่จะแยกส่วนของการขายออกไปเพราะสินค้าของเขามีตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้ว

"สินค้าส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็นการส่งออก อีก 20% ขายในประเทศ เริ่มแรกตลาดต่างประเทศของเราอยู่ในเอเซีย แต่ปัจจุบันกระจายไปทั่ว เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าสินค้าของเราเป็นงานตกแต่งแนวใหม่ เมื่อก่อนเราทำเป็นหม้อที่ใช้สำหรับตกแต่งอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้เราขายแนวคิดเข้าไปด้วย"

เพราะสินค้าสำหรับงานตกแต่งก็เหมือนกับงานศิลปะทั่วๆ ไป ที่ต้องขายไอเดียของคนออกแบบ ซึ่งหากมี "แนวคิดดี" ก็ "ขายได้" ถ้าคิด "ไม่ดี" คนไม่ยอมรับก็ "ขายไม่ได้" อย่างไรก็ตามก็ต้องอาศัยความคิดและ "ทดลอง" ทำตามความคิดนั้นด้วย

ส่วนการแข่งขันนั้น ธนสรรว่า มีคน 2 กลุ่มในตลาดนี้คือ คนที่คิดเองและทำเอง ซึ่งเขาว่าคนกลุ่มนี้จะอยู่ในตลาดได้ยาวนาน ส่วนคนกลุ่มที่สองคือ คนที่เลียนแบบ คือไม่คิดเองแต่ไปเอาแบบคนอื่นมาทำ ซึ่งจะไม่สามารถทำตลาดได้ยาวนานนักเนื่องจากคิดเองไม่เป็นจึงจะพบทางตันหาแนวความคิดใหม่เองไม่ได้

"คนที่คิดเองในช่วงเริ่มต้นอาจจะยากแต่เมื่อผลงานได้รับความยอมรับ ก็จะมีแรงบันดาลใจและสามารถพัฒนาให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ"

กลุ่มสล่าหม้อล้านนา มีเป้าหมายที่จะยกระดับฝีมือ และสร้างงาน พร้อมกับสืบสานวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น ไปพร้อมๆ กัน คือให้ชาวบ้านมาฝึกงานฝีมือผลิตชิ้นงานที่สามารถสื่อสารความเป็นวัฒนธรรมล้านนาออกไปทั่วโลก

"คนในกลุ่มของเราส่วนมากจบการศึกษาแค่ประถม 6 มาช่วยกันทำสินค้าส่งออกซึ่งเป็นตลาดใหญ่และจะทำรายได้ให้พวกเรามาก ซึ่งตรงที่จะนำเงินมาพัฒนากลุ่มของเราได้ สินค้าของเรามีราคาขายค่อนข้างสูงเพราะเราจะเน้นขายความคิดฝีมือมากกว่า เราจะฝึกให้เด็กของเราเป็นคนคิดเองทำเองให้ได้ เพราะเขาต้องสามารถเลี้ยงตัวเองได้จนตายโดยไม่ต้องไปเลียนแบบคนอื่น"
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์






ไอเดียธุรกิจแบบแนวๆกับตู้ปลาบ้านทรงไทย

ไอเดียธุรกิจแบบแนวๆกับตู้ปลาบ้านทรงไทย ไอเดียไฉไลจากอดีตวิศวกร ผู้ผันตัวเองมาประกอบธุรกิจรับผลิตบ้านสัตว์เลี้ยง สร้างผลงานสุดเฉียบนำตู้เลี้ยงปลาธรรมดาๆ ประยุกต์ให้กลายเป็นตู้ปลาบ้านทรงไทย มีทั้งรูปแบบเรือนเดี่ยว และเรือนหมู่ ถูกใจทั้งชาวไทย และต่างประเทศ พร้อมนำเข้าประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์โอทอปเพิ่มช่องทางการตลาด

นายจิตรกร โอฬารรัตน์มณี อดีตวิศวกรบริษัทยักษ์แห่งหนึ่งของไทย คือ เจ้าของไอเดียตู้เลี้ยงปลาบ้านทรงไทย เขาเล่าว่า หลังจากลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ และเดินทางกลับบ้านเกิดที่ อ. ดอยสะเก็ต จ.เชียงใหม่ ความตั้งใจ คือ ทำธุรกิจเกี่ยวกับบ้านสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ใช้ชื่อแบรนด์ว่า “I’m Home” ซึ่งสื่อถึงความสุขของสัตว์เลี้ยงเมื่ออยู่ในบ้าน

ทั้งนี้ เริ่มแรกตั้งใจจะเน้นสร้างบ้านสุนัขเป็นหลัก แต่หลังลองทำบ้านสุนัขตัวต้นแบบออกสู่ตลาด ประสบปัญหาด้านการขนส่งเพราะสินค้ามีขนาดใหญ่ อีกทั้งในตลาดมีการแข่งขันสูง จึงปรับเปลี่ยนเป็นบ้านสำหรับสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กลง
“บ้านสัตว์ขนาดเล็ก ที่คิดจะทำ คือ นก และปลา จึงลองไปค้นข้อมูลในเว็บไซต์ ซึ่งในต่างประเทศ มีทำบ้านนกเยอะอยู่แล้ว ส่วนบ้านปลายังไม่มาก ผมจึงเลือกจะทำบ้านปลา ซึ่งไอเดียแรก ตั้งใจจะออกแบบให้แปลก ใหม่ไปเลย ก็เลยลองดูตู้เลี้ยงปลาไอเดียแปลกๆ ของเจ้าอื่นๆ ที่ทำก่อนนี้ เช่น บ้านปลาพาเหรด , บ้านปลาอะควอเรี่ยม ก็รู้สึกว่า เขาทำกันดีมากอยู่แล้ว ถ้าจะเป็นออกแบบไอเดียใหม่ก็คงทำดีสู้เขาไม่ได้ ผมเลยมองย้อนกลับมานึกถึงของไทยๆ ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่มีโอกาสสัมผัส นั่นคือ บ้านทรงไทย เพราะคนไทยเดี๋ยวนี้ แทบจะไม่มีโอกาสอยู่จริงแล้ว จึงลองทำตู้ทำเป็นแบบบ้านทรงไทย” นายจิตรกร เล่าถึงจุดกำเนิดสินค้า

ด้านการออกแบบ นายจิตรกร เล่าว่า เป็นการประยุกต์แบบจากบ้านทรงไทยแท้ๆ บวกกับจินตนาการส่วนตัว โดยต้องตัดรายละเอียดบางส่วนออกไป ด้วยข้อจำกัดทางการผลิต ส่วนวัสดุทำมาจากเศษไม้สัก เพราะเห็นว่า ไม้สักมีคุณสมบัติป้องกันปลวก และไม่ขึ้นรา อีกทั้งมีความสวยงามคงทน สำหรับผลงานชิ้นแรกทำออกมาเป็นแบบ “บ้านเรือนเดี่ยว” และนำไปเปิดตัวในงานแสดงสินค้าที่ระลึกของจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปลายปีที่แล้ว

ผลจากการออกงานดังกล่าว ได้รับตอบรับด้วยดี ทำให้มีออร์เดอร์สั่งสินค้าเข้ามาต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ เกิดเสียงสะท้อนจากลูกค้าว่า การนำส่วนตู้ปลาออกมาจากส่วนตัวบ้าน เพื่อเปลี่ยนน้ำ ทำไม่ยาก เพราะต้องดึงออกด้านข้าง นายจิตรกร จึงออกแบบใหม่ให้บ้านฯ สามารถถอดหลังคาออกได้ นอกจากนั้น ยังพัฒนาแบบใหม่ ๆ เป็นเรือนหมู่ 2 หลัง และ 3 หลัง ตามมาด้วย ออกแบบให้เป็นแบบบ้านทรงไทยประยุกต์รูปทรงตัว “L” และตัว “U”



เจ้าของไอเดีย เล่าต่อว่า ปัจจุบันตู้ปลาบ้านทรงไทย มีทั้งหมด 10 แบบ โดยแบบงานช่วงหลังจะเน้นเพิ่มลูกเล่นเข้าไป อาทิ ให้มีบ่อน้ำพุวนอยู่ในบริเวณรั้วบ้านทรงไทยด้วย เพื่อเสริมในด้านฮวงจุ้ยสำหรับลูกค้าที่จะซื้อไปตบแต่งบ้าน สำหรับราคาขายปลีกนั้น มีตั้งแต่ 2,000 – 8,000 บาท ทุกขั้นตอนการผลิตเป็นงานแฮนด์เมด ใช้เวลา 3- 7 วัน ต่อหนึ่งชิ้น กลุ่มลูกค้าเป้าหมายส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย , สิงคโปร์ เป็นต้น

ทั้งนี้ การพัฒนาสินค้าตัวนี้ ที่วางไว้ จะเน้นเพิ่มรายละเอียดความเหมือนจริงของตัวบ้านทรงไทยให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับขนาดแบบเรือนหมู่ให้เล็กลง เพื่อสะดวกในการหาที่วาง อีกทั้ง กำลังจะออกแบบตัวเรือนเดี่ยวให้มีขนาดเล็กลงมาอีก และจำหน่ายในราคาประมาณ 1,000 บาท เพื่อขยายตลาดในประเทศให้กว้างยิ่งขึ้น

นอกจากตู้ปลาบ้านทรงไทยแล้ว นายจิตรกร ยังออกสินค้าบ้านสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น สุนัข , แมว และนก โดยช่องทางการตลาดทุกวันนี้ สินค้าแบรนด์ “I’m Home”ยังไม่มีร้านเป็นของตัวเอง แต่จะเน้นออกบูทตามงานแฟร์เกี่ยวกับสัตว์น้ำต่างๆ เพื่อเปิดตัวสินค้า และรับออร์เดอร์หลังจบงาน โดยการสั่งสินค้า ลูกค้าต้องติดต่อเข้ามาโดยตรง หรือสั่งทางเว็บไซต์ www.iamhome2003.com นอกจากนั้น มีฝากขายในสวนจตุจักรด้วย

นายจิตรกร กล่าวทิ้งท้ายถึงแผนในอนาคต กำลังจะเปิดร้านของตัวเอง อยู่ริม ถ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นโชว์รูมแสดงสินค้า และเป็นสถานที่ติดต่อธุรกิจ โดยจะเน้นที่รับผลิตสินค้าตามออร์เดอร์ มากกว่าขายปลีกหน้าร้าน และในปีนี้ ได้นำตู้ปลาบ้านทรงไทย เข้าประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์โอทอป ในนามของอ. ดอกสะเก็ต ด้วย เชื่อว่า จะเป็นส่วนเสริมให้สินค้า มีช่องทางการตลาดมากยิ่งขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ

* * * สนใจสินค้าติดต่อได้ที่ (053) 338101 , 01-716 -8455 หรือ www.iamhome2003.com * * *
ที่มา manager.co.th







“Sound About” ธุรกิจแนวๆแฟชั่นเฮฟวีร็อก ไอเดียแสบกระแทกใจขาร็อค

“Sound About” ธุรกิจแนวๆแฟชั่นเฮฟวีร็อก ไอเดียแสบกระแทกใจขาร็อค
วัยรุ่น แฟชั่น และเสียงเพลง ไม่ว่ายุคไหนๆ ก็แยกกันไม่ออกสักที ร้าน Sound About จึงหยิบเอาความแตกต่างระหว่าง “ดนตรี” มาผสมผสานกับ “แฟชั่น” สร้างเครื่องแต่งกายเทรนด์ใหม่ในสไตล์โมเดิร์น รุกตลาดวัยรุ่นคลั่งดนตรี

หทัยรัตน์ โชคภิรมย์วงศา เจ้าของร้านเสื้อ “ซาวน์ อะเบาท์” (Sound About) เล่าถึงจุดเริ่มต้นของไอเดียเสื้อยืดลายเครื่องดนตรี และแนวเพลง แบรนด์ซาวน์ อะเบาท์ ว่า คิดโครงการร้านเสื้อสำหรับวัยรุ่นที่รักเสียงดนตรีไว้เป็นปีแล้ว แต่เริ่มลงมือทำเป็นจริงเป็นจังเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง เพราะเป็นช่วงปิดเทอมของเด็กวัยรุ่น น่าจะทำตลาดได้ดี อีกทั้งยังมองว่า คนไทย ดนตรี วัยรุ่น และเสื้อยืด เป็นของที่ขาดกันไม่ได้ ถ้านำดนตรีบวกเข้ากับแฟชั่นน่าจะไปกันได้ดี เลยหยิบเอา เครื่องดนตรี แนวเพลง เช่น แนวร็อค , เฮฟวี่ เป็นต้น มาออกแบบเป็นลายเสื้อและเครื่องประดับต่างๆ


ร้านซาวน์ อะเบาท์ ตั้งอยู่ที่ชั้น2 โรงหนังลิโด้ บรรยากาศภายในร้านโปร่งสบายๆ กับรูปแบบการตบแต่งเน้นโทนสีส้มสะดุดตา สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้าไปเยี่ยมชมสินค้าที่มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืด หมวก เข็มกลัดติดเสื้อ ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ สีสันของเครื่องประดับกับสไตล์การแต่งร้านก็ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

“ไม่ได้เน้นที่จะขายสินค้าเพียงอย่างเดียว ยังเน้นการสร้างบรรยากาศภายในร้านด้วย เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาชมสินค้าภายในร้านรู้สึกประทับใจ จะซื้อหรือไม่ซื้อไม่เป็นไร ขอให้มาแวะชมกันก็พอ แต่ลูกค้ากว่า 80% ที่เข้ามาก็จะซื้อสินค้ากลับไป เหตุที่ใช้สีส้มเพราะเป็นสีที่สดใสเหมาะกับวัยรุ่นบ้านเรา และเครื่องประดับต่างๆ ก็ทำมาจากอุปกรณ์ของดนตรีสามารถนำมาใช้เล่นกับเครื่องดนตรีได้จริง”


นอกจากสไตล์การแต่งร้านที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแล้ว สินค้าทุกชิ้นยังเน้นงานทำมือ ซึ่งออกแบบและทำเพียงชิ้นเดียว เพราะมีแนวคิดว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ชอบสินค้าที่ซ้ำๆ กัน และยุคนี้ตลาดคนทำเสื้อมีการแข่งขันสูง จึงต้องพยายามสร้างแบรนด์ให้มีจุดเด่นต่างจากคนอื่น เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้ซื้อ

“ลายเสื้อ รวมถึงสีสันของเสื้อผ้าทางร้านจะไม่จำกัดไอเดีย ไม่เน้น ชาย หรือ หญิง แต่จะเน้นเป็นเสื้อยืด สวมใส่สบาย มีคอเลคชั่นใหม่ๆ ออกมาทุกเดือน เปลี่ยนไปตามเทรนด์ของแฟชั่น ซึ่งจะออกแบบและคิดลายใหม่อยู่ตลอด ตอนนี้สีชมพูก็มาแรง และเร็วๆ นี้จะมีกระเป๋า เสื้อกล้าม ออกมาเป็นสินค้าตัวใหม่ เอาใจสาวกเสื้อกล้ามกัน ส่วนเครื่องประดับก็มีการดัดแปลงโดยการนำนอต อะไหล่เครื่องดนตรีมาทำเป็น สร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือ”


ราคาขายเสื้อยืด 390 บาท เสื้อคอโปโลราคา 400 บาท โดยเนื้อผ้าที่นำมาตัดเย็บเป็นผ้าฝ้าย 100% ซึ่งเจ้าของร้านการันตีว่าเป็นสุดยอดของผ้าฝ้ายเลยทีเดียว เพราะเลือกซื้อเองกับมือ ส่วนลายที่ฮิตสุด ในตอนนี้ก็จะเป็นลาย “หัวกะโหลกมีกีตาร์ไขว้กันอยู่ด้านล่าง” สีขาว สีดำ ซึ่งเป็นแนวค่อนข้างดุดันสักหน่อย เพราะแนวดนตรีพังค์กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นไทย ส่วนเครื่องประดับต่างๆ สนนราคาเริ่มต้นที่ 120 ถึง 350 บาท

ด้านการตลาด หทัยรัตน์ มองว่า อยากบุกเบิกตลาดในประเทศก่อน พยายามสร้างแบรนด์ซาวน์ อะเบาท์ให้แข็งแรง โดยร้านที่ “สยามสแควร์” ซึ่งเพิ่งเปิดได้ 2 เดือน ได้ผลตอบรับดีมาก กำไรสามารถคืนเงินลงทุนได้แล้ว ก้าวต่อไปมองไปที่ตลาดที่ญี่ปุ่น เพราะได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ และแม้ตอนแรกตั้งเป้าไว้ที่กลุ่มนักเล่นดนตรี แต่ทุกวันนี้ มีลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ส่วนมากจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-25 ปี ส่วนลูกค้ารุ่นใหญ่ อายุ 40 ขึ้นไปก็มีบ้าง ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนที่มีใจรักด้านดนตรี

“การเข้ามาทำธุรกิจนี้ เกิดเพราะแรงบันดาลใจของตัวเอง และทุกคนในครอบครัวที่รักดนตรีกันหมด เพราะเชื่อว่าดนตรีทำให้จิตใจของคนงดงาม ถ้าเด็กๆ วัยรุ่นรักในดนตรี ได้แสดงในสิ่งที่รักอย่างถูกต้อง เขาก็จะเติบโตเป็นคนที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต”

**สนใจติตต่อ โทร 01-824-6046**
ที่มา manager.co.th






คลังบทความของบล็อก

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์