กลยุทธ์ทางการตลาดของช่อง 3:DOUBLE Positioning

กลยุทธ์ทางการตลาดของช่อง 3:DOUBLE Positioning
หากย้อนไปสักสี่ห้าปีก่อน

แล้วลองถามกันดูว่า..

ถ้าให้นึกถึง "สถานีข่าว"

เราจะนึกถึงทีวีช่องไหน?

คำตอบคงอาจจะหลากหลาย

แต่หนึ่งในช่องที่ไม่น่าจะมีคนนึกถึงเท่าใดนัก น่าจะเป็นช่อง 3

เพราะช่อง 3 น่าจะเท่ากับช่องบันเทิง

เป็นช่องที่ต่อสู้คู่คี่กับช่อง 7 ในการครองแชมป์บันเทิง

ซึ่งก็หมายถึงชิงแชมป์สถานีทีวี

(ในเชิงรายได้จากเม็ดเงินโฆษณา ซึ่งหลักๆ มาจากละครหลังข่าว และสารพัดรายการบันเทิงล้อมหน้าล้อมหลังนั่นล่ะ)

ทว่าหลายปีที่ผ่านมา เหตุบ้านการเมืองที่เกิดขึ้น ทำให้ความสนใจติดตามข้อมูลข่าวสารของคนในสังคมเปลี่ยนไป เอื้อให้เกิดรายการประเภทข่าวและสาระ มากกว่าที่เคยๆ มา

เป็นโอกาสให้หลายช่อง เพิ่มรายการข่าวลงไปในผังอย่างเข้มข้น

จนทำไปทำมา ทุกช่องทีวีของไทยในยุคนี้ ต่างมีสัดส่วนรายการข่าวเพิ่มขึ้นจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัด


แต่ช่องที่ทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นขวัญใจสถานีข่าวในใจคนไทยหลายคนไปแล้ว เห็นทีต้องยกให้ "ช่อง 3"

ช่อง 3 แบรนดิ้งกลุ่มรายการข่าวของตัวเองว่า 'ครอบครัวข่าว 3'

เริ่มใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2547 เกิดจากแนวคิดของ นายวิบูลย์ ลีรัตนขจร ผู้บริหารบริษัทในเครือเซิร์ช

เข้าใจทุกข่าว เข้าถึงทุกคน ... เป็นสโลแกนประจำ

และมี "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" เป็นหัวหน้าครอบครัว

รวมเข้ากับดาราข่าวท่านอื่นๆ อีกเพียบ ผ่านรายการขาวมากมายที่กระจายตัวอยู่ทั่วผังทั้งวันธรรมดาและเสาร์อาทิตย์

เมื่อรวมเข้ากับการเดินสายจัดกิจกรรม-คอนเสิร์ต เข้าถึงพี่น้องประชาชนทั่วทุกภาคในประเทศไทย (จริงๆ ไปถึงเพื่อนบ้านรอบๆ ไทยด้วย)

ยิ่งทำให้ได้ใจ ได้คะแนนนิยมไปอีก แต่เด็ดขาดที่สุด คือการเล่นบทบาทเชิงรุก ในสถานการณ์วิกฤต

ช่อง 3 กลายเป็นศูนย์กลางในการระดมความช่วยเหลือ รวมถึงลงไปทั้งช่วย ทั้งรายงานในพื้นที่อย่างแข็งขัน เป็นที่พึ่งให้กับพี่น้องประชาชน ไปอีกหน้าที่หนึ่งซะแล้ว

ทั้งหมด ทำให้ช่อง 3 ก้าวสู่การเป็นสถานีข่าวในใจคนไทยได้สำเร็จ ภายในไม่ถึง 10 ปี

ซึ่งในแง่ของช่องบันเทิง ก็ทำได้ไม่แพ้กัน กลายเป็นว่า เด่นทั้งสอง มิเป็นรองใคร ได้อย่างน่าสนใจ

ปัจจัยความสำเร็จของช่อง 3 คืออะไร??

บทวิเคราะห์

ตามปรกติสถานีทีวีก็มักจะมี Positioning ในใจผู้ชม โดยที่คนดูทีวีก็อาจไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นละครหลังข่าวก็ต้องช่อง 3 หรือช่อง 7 เท่านั้น ละครต่อให้มันส์และติดตลาดขนาดไหนถ้าไม่อยู่สองช่องนี้ก็มีเรตติ้งไม่สูงมากนัก ถ้าเป็นละครธรรมดาอาจไม่มีเรตติ้งเสียด้วยซ้ำ

ขณะที่ละครธรรมดาหากอยู่ช่อง 3 หรือช่อง 7 มีเรตติ้งแน่นอน

กระทั่งละครหลังข่าวของช่อง 3 และช่อง 7 ก็ต้องแยกแยะกันอีก เพราะช่อง 7 นั้นเรตติ้งสูงกว่าช่อง 3 เนื่องจากเครือข่ายของช่อง 7 ก็เหมือนกับเครือข่ายเอไอเอส ไปได้ไกลกว่า ส่วนช่อง 3 เหมือนเครือข่ายดีแทค สัญญาณคมชัดก็จริงแต่ไปได้ไม่ไกล กว่าจะพัฒนาสัญญาณให้ดูกันได้ทั้งประเทศ ช่อง 7 ก็อยู่ในใจผู้ชมต่างจังหวัดไปแล้ว

ดังนั้น ไม่น่าแปลกที่เรตติ้งช่อง 3 จะพ่ายแพ้ช่อง 7 อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าละครเรื่องนั้นจะดังทั้งบ้านทั้งเมืองอย่างไรก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดดูช่อง 7 เป็นหลัก

ช่องอื่นๆ ต่างหา Positioning ของตนโดยไม่ชนกับช่อง 7 และช่อง 3 ที่เป็นผู้นำ เช่น ครั้งหนึ่งช่อง 5 กะจะวางตำแหน่งเป็นช่องเกมโชว์ ซึ่งก็ไปได้ดีช่วงหนึ่ง ถึงจะไม่ชัดนักก็ตาม เพราะทุกวันนี้เกมโชว์ก็อยู่ช่อง 5 มากกว่าช่องอื่น เพียงแต่ช่องอื่นก็มี ถึงจะไม่มากเท่าแต่อาจจะดังกว่า ทำให้ช่อง 5 ไม่สามารถเคลมได้ว่าเป็นเบอร์หนึ่งเกมโชว์

ช่อง 9 เป็นช่อง Edutainment

และไอทีวีในอดีตเป็นช่องข่าวเพราะเน้นข่าวตลอดทั้งวัน

การล่มสลายของไอทีวีจึงเท่ากับเป็นการล่มสลายของช่องข่าวอีกด้วย

TPBS ที่มาแทนที่ไอทีวีก็ไม่เหมือนไอทีวี บุคลากรข่าวของไอทีวีกระจัดกระจายตามช่องต่างๆ

ช่องสามนั้นเห็นโอกาสของการเป็นช่องข่าวแทนที่ไอทีวี เพราะในระยะหลังข่าวทวีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายก็ยิ่งทำให้ประชาชนต้องเสพข่าวสารอย่างต่อเนื่อง

ข่าวนั้นเหมือนกันโดยเฉพาะข่าวทีวี ฉีกออกจากกันไม่ได้มากนักหรอก ที่สร้างความแตกต่างก็คือผู้เล่าข่าว หรือผู้ประกาศข่าว

ก็เหมือนสโมสรรีล มาดริด นั่นเอง

หากจะสร้างช่องข่าวสักช่องหนึ่งก็ต้องชิงตัวบุคลากรข่าวที่อยู่เบื้องหน้ามาอยู่กับช่องตัวให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีชื่อเสียง เพราะคนดังเท่านั้นที่จะสามารถดึงดูดให้คนมาดูได้

เมื่อมีผู้ประกาศและนักเล่าข่าวชื่อดังมาอยู่ด้วยแล้ว ก็ต้องดูแลให้ดี สร้าง Business Model ที่จะทำให้คนเก่งกินดีอยู่ดีและทำงานร่วมกันได้

เพิ่มเวลาข่าวให้มากที่สุด โดยไม่ทำให้เวลาบันเทิงลดลง

ช่อง 3 สร้างแบรนด์ครอบครัวข่าวได้ดีและแข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อเกิดภาวะวิกฤตแล้วเป็นช่องที่ทำ CSR ได้ดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะน้ำท่วม มีการจัดองค์กรกระจายงานอย่างดี รับบริจาคและช่วยเหลือประชาชนได้ดีกว่าหน่วยงานของรัฐบาลเองเสียอีก

และไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือเพียงครั้งคราวเท่านั้น เมื่อเกิดภัยพิบัติใดก็ตาม ช่อง 3กลายเป็นหน่วยงานแรกที่พี่น้องประชาชนนึกถึงทั้งในแง่ความช่วยเหลือและการบริจาคเงิน

ในช่วงน้ำท่วมนี้ ครอบครัวข่าวลดละคร(ส่วนหนึ่งเพราะละครถ่ายไม่ได้) และเพิ่มช่วงทั้งสรยุทธและข่าว 3 มิติ แพร่ข่าวน้ำท่วมเป็นหลัก ข่าวอื่นเป็นรอง แม้น้ำลด ช่อง 7 กลับสู่ช่วงละครปรกติ ช่อง 3 ก็ไม่ลดช่วงข่าวแต่อย่างใดจนถึงสิ้นปี 2554 ค่อยว่ากันอีกที

ทำให้ช่อง 3 กลายเป็นช่องข่าวอันดับหนึ่งในใจคนไทย

โดยไม่ได้ทิ้งความเป็นช่องบันเทิง

เท่ากับเป็นช่องเดียวที่มี Double Positioning

ทั้งข่าวและบันเทิง

ยากหาช่องใดเสมอเหมือน
ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

ไม่มีความคิดเห็น:

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์