เริ่มธุรกิจเงินล้าน....จากชีวิตที่ติดลบ ของคนหนึ่งกับลูกเล็กๆอีก 2 ตอนที่ 2

เริ่มธุรกิจเงินล้าน....จากชีวิตที่ติดลบ ของคนหนึ่งกับลูกเล็กๆอีก 2 ตอนที่ 2

พอดีช่วงนั้นในเมืองเค้ากำลังจะสร้างตึก 3 ชั้น กำลังเปิดจอง เราอยากได้ไว้ให้ลูก เพราะทำเลดีอยู่ในเมือง และด้านหลังทำอพาทเม้นต์ อยู่ใกล้ศาลากลางจังหวัดแค่ 50 เมตร ทำเลดีมากๆ เราอยากได้มาก ก็เลยขอจองก่อน ทำสัญญาจอง 6 หมื่น เราได้ใบจองแล้วเอาไปถ่ายเอกสารแปะไว้ข้างโต๊ะคอม ที่ข้างที่นอน เราภูมิใจมาก มันเป็นสมบัติชิ้นแรกของเรา เค้าให้เวลา 3 เดือนจากวันจองให้วางดาวน์อีก 6 แสน เราเลยอัดโฆษณาให้เยอะขึ้น คนเข้าเว็บเราเยอะขึ้น ขายของได้มากขึ้น เรายอมนอนตี 4 ตื่น 6 โมง บางครั้งหลับคากองของ ตกใจตื่นก็แพ็คของต่อ ทำอย่างนี้ 3 เดือน ช่วงนั้นเรากินอยู่อย่างประหยัด 3 คนใช้เงินไม่เกิน 100 บาท/วัน ขนาดรองเท้าขาดแล้ว เรายังใส่เลย พอดีไปเจอลูกค้าที่เคยซื้อของที่ร้านก็ถามว่าปิดร้านแล้วเหรอ ตอนนี้ทำอะไร ทำไมใส่รองเท้าขาด ทิ้งไปได้แล้วล่ะ เราก็อายน่ะ แต่เราต้องประหยัด ไม่ซื้ออะไรทั้งนั้น แค่ค่ากินอย่างเดียว

3 เดือน เรามีเงิน 6 แสนบาท ทำสัญญาจ่ายดาวน์ตึก 3 ชั้น 2 คูหา ราคา 6 ล้านบาท วันที่เราเอาเงินไปจ่ายดาวน์เราขับรถมอไซต์ ใส่เสื้อขาดตรงแขนไป เราไม่อายใคร คนที่ห้องนั้นมองเราตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย เราก็ไม่สนใจ เราเปลี่ยนจากใบจองเป็นใบสัญญามาแปะที่เดิม หลังจากวันนี้ เราน็อคไปเลย ป่วยเพราะพักผ่อนน้อย เป็นอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ เลยตัดสินใจรับเด็กมาช่วยงาน เราต้องเริ่มผ่อนค่างวดกับโครงการเดือนละ 60,000 จนกว่าถึงกำหนดแล้วแสร็จ ช่วงนั้นเราทำงานหนักมาก และไม่ได้ดูแลตัวเองเลย ทั้งโทรม ทั้งดำ และอ้วน เราอยู่บ้านเช่าเก่าๆ รถมอไชต์คันเก่า

ในที่สุดเราแยกออกมาได้ 1 ปี สามีก็ขอหย่า เราก็ไปหย่าให้ เค้าก็แค่ถามว่าเธอตัดสินใจเองน่ะ ที่จะเอาลูกไว้ เราบอกว่าใช่ แล้วไม่เอาค่าเลี้ยงดูด้วย ขออย่างเดียวคือช่วยเซ็นต์ยินยอมให้ลูกเปลี่ยนเป็นนามสกุลเราด้วย เค้าก็เซ็นต์ให้และบอกว่าถ้าเลี้ยงไม่ไหวก็เอาไปให้แม่เค้าน่ะ และไม่ถามด้วยว่าเราทำอะไร ทำงานอะไร เพราะเราไม่ใช่คนที่นี่และไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จักเราอยู่แล้ว เรามีเพื่อนที่สนิทแค่คนเดียวที่ไปมาหาสู่ คอยโทรมาถามว่ากินข้างหรือยัง

ณ. วันนี้ 1 ปี กับ 10 เดือน ตึกของเราเสร็จแล้ว เราโอนสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว จ่ายเงินสด วันที่โอนเราขับรถฟอร์จูนเนอร์ป้ายแดงที่ซื้อด้วยเงินสด พร้อมลูกทั้ง 2 คนไปด้วย วันที่ 16 ที่ผ่านมาเราย้ายเข้าอยู่โดยมีพนักงานทั้งหมด 6 คน กับแม่บ้าน 1 คน ช่วยกันย้ายของ จัดของ เปิดเป็นบริษัทนำเข้าเครื่องสำอางค์จากเกาหลี ห้องหนึ่งเปิดเป็นออฟฟิศ อีกห้องหนึ่งโชว์เครื่องสำอางค์ มีสินค้ามากว่า 400 รายการแสดงอยู่ วันที่เราตกแต่งที่ตึกคนผ่านไปมา คงไปบอกอดีตสามีว่าเราเห็นเราที่ตึกนี้ บางคนก็เข้ามาถามเราก็บอกว่าของเรา เราซื้อเอง และอดีตสามีก็มาหาเราที่นี่ และถามว่าซื้อตึกเหรอ เราบอกว่าใช่ รถก็ของเรา เราซื้อด้วยตัวเอง เค้าก็หงอไปเลย คงจะอายเพื่อนๆ ด้วยที่เรามาได้ถึงขั้นนี้ ทุกวันนี้เค้ามาทำงานเค้าต้องผ่านหน้าตึกของเรา เพราะอยู่ห่างกันแค่ 300 เมตรเอง เราทั้งภูมิใจและสะใจเลย เค้าหงอไปเลย เราใช้เวลา 3 เดือน สำหรับลดน้ำหนัก 15 กก. ใช้เครื่องสำอางค์ดีๆ ทานวิตมินและอาหารที่มีประโยชน์ทำให้เรากับมาดูดีอีกครั้ง ทุกวันนี้เราแต่งตัวสวย ต้อนรับลูกค้าที่เข้าร้าน เดินเข้า-ออกออฟฟิศ เราเดินเข้าธนาคารผู้จัดการธนาคารยังไหว้เราเลย จากผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก เดี๋ยวนี้คนในตลาดเริ่มพูดถึงเรา เราไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนเอง เดินเข้าไปส่งถึงห้องเลย เดินเคียงข้างลูกแบบว่าลูกไม่ต้องอายใครอีกแล้ว จากที่เมื่อก่อนส่งแค่หน้าโรงเรียนแล้วปล่อยให้ลูกเดินเข้าประตูโรงเรียนเดินไปที่ห้องเอง เราต้องคอยแอบมองลูกอยู่นอกรั้ว เวลามีกิจกรรมอะไร เราก็ต้องให้ลูกสละสิทธิ์เพราะไม่อยากให้ใครเห็นหน้าและกลัวลูกอายเพื่อน และยังต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องโต๊ะจีน เรื่องเสื้อผ้า แต่งหน้าลูกอีก

1 ปีกับ 10 เดือนกับรายได้ 12 ล้าน ด้วยความพยายามอย่างไม่ย้อท้อ ด้วยความมุมานะ ด้วยความเสียสละเวลาแทนที่จะได้นั่งเล่นกับลูก ได้ป้อนข้าว ป้อนขนม หลังจากลูกกลับมาจากโรงเรียน ได้ถามลูกว่าวันนี้เรียนอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง สนุกมั้ย ได้กอด ได้หอมแก้มลูก แทนที่จะได้นอนกอดลูก ได้นอนกล่อมลูกให้หลับ ต้องปล่อยให้ลูกเข้านอนเอง ลูกเราติดให้เรากล่อมและตบเบาๆ ที่ก้นเวลานอน และต้องเล่านิทานก่อนนอน เราต้องทำแบบนี้มาตลอด เรานอนกับลูกทุกคืน ช่วงที่เราทำงานหนัก เราต้องหา CD นิทานไว้ให้ลูกฟังก่อนนอน เค้าจะเดินเข้ามานอนกันเอง หลังจากนั้นเราจะเข้ามาปิด บางครั้งเข้าไปเจอพี่นอนกอดน้อง เราก็ร้องไห้สงสารลูก แต่เราก็ต้องอดทน เราไม่มีเวลาแม้แต่จะกล่อมให้ลูกหลับแล้วค่อยออกมาทำงาน ตอนนี้เราทำกับข้าวให้ลูก ลูกก็ไม่กินบอกว่าไม่เคยกิน กินไม่เป็น เพราะตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาลูกเรากินแต่ข้าวกล่อง อาหารซ้ำๆ เดิมๆ แทบทุกวัน ทำให้ลูกไม่ชินกับของใหม่ๆ เราเสียดายวันเวลานั้นเกือบ 2 ปี ที่เราต้องปล่อยให้ลูกดูแลกันเอง ลูกคนเล็กพูดชัดตอนไหนเรายังไม่รู้เลย

ทุกวันนี้เรานอนเที่ยงคืน ตื่น 7 โมง เราเริ่มดูแลตัวเองขึ้น พาพ่อ แม่มาอยู่ด้วย ซื้ออัลเมล่าให้พ่อขับไปซื้อกับข้าว บางวันก็รับ-ส่งลูกแทนเรา ให้แม่แต่งตัวสวยๆ ต้อนรับลูกค้าที่ออฟฟิศ ตอนเย็นไปหาอาหารอร่อยๆ ทาน หรือไม่ก็พาลูกไปสวนสาธารณะ พ่อ กับแม่ก็ออกกำลังกายอยู่ใกล้ๆ ชีวิตเราตอนนี้มีความสุขมาก ตอนกลางคืนเราจะเล่านิทาน และกล่อมลูกหลับก่อนแล้วออกมาทำงานต่อที่หน้าห้องนอน

หวังว่าเรื่องของเราคงเป็นแนวทางหรือกำลังใจในการเริ่มต้นใหม่ของใครหลายๆ คน ขอให้จำไว้อย่างเดียวว่า
“ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้” แล้วคุณจะเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และซื่อสัตย์ต่อลูกค้า นึกถึงใจเค้าใจเรา อย่ามุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง และที่สำคัญก่อนจะทำอะไร ต้องคิดให้รอบคอบ แต่ถ้าคิดจะทำแล้ว ต้องทำให้เต็มที่ ถ้าล้มเหลวไม่ประสบความสำเร็จ ก็อย่าท้อถอย คิดว่าไว้ เราได้ทำเต็มที่แล้ว มันไม่ได้จริงๆ เราทำสุดความสามารถแล้ว แล้วคุณจะไม่เสียใจ คุณจะมีกำลังใจในการเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้าล้มเหลว แล้วคุณบอกว่าเราน้าจะทำแบบนั้น หรือเราน้าจะทำแบบนี้ ถ้าเราทำแบบนี้แล้ว คงไม่เป็นยังงี้ ถ้าคุณคิดแบบนี้คุณจะเสียใจนาน ไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป และเมื่อได้มาแล้ว จงรักษาสิ่งที่ได้มาให้ดีที่สุด วันนี้ขึ้นได้ สักวันอาจจะหล่นได้เหมือนกัน แล้ววันที่คุณร่วงหล่นมาจะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก
ที่มา สนุก.คอม

อ่านตอนที่ 1







เริ่มธุรกิจเงินล้าน....จากชีวิตที่ติดลบ ของคนหนึ่งกับลูกเล็กๆอีก 2 (ตอนที่1 )

เริ่มธุรกิจเงินล้าน....จากชีวิตที่ติดลบ ของคนหนึ่งกับลูกเล็กๆอีก 2 (ตอนที่1 )
ขออนุญาตนำเรื่องนี้มาลง เนื่องจากที่ได้อ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มากสำหรับใครที่เริ่มรู้สึกท้อแท้กับชีวิต ชีวิตของคุณและการที่คุณนำมาบอกเล่าสู่กันฟังนั้นเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากจริงๆ ที่มา http://webboard.money.sanook.com/forum/?topic=3582987
เห็นด้วยอยางยิ่งค่ะ กับประโยคที่ว่า

“ทำไมได้” “มีคนทำเยอะแล้ว” หรือ “ไม่มีลูกค้าหรอก” เพราะเราเองก็เคยเจอคำพูดแบบนั้นเหมือนกัน และก็ไม่เชื่อคำพูดแบบนั้น จนทำให้ชีวิตมีวันนี้ ขอเล่าประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ท่านอื่นๆ ที่กำลังคิดเริ่มต้นธุรกิจ หรือชีวิตใหม่น่ะค่ะ

ปัจจุบันเราอายุ 36 ค่ะ เป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน บ้านเราฐานะปานกลาง เราเรียนจบ ป. ตรี สาขาคอมพิวเตอร์ธุระกิจ มีชีวิตแบบคุณหนู หลังจากที่เรียนจบก็ทำงาน บริษัทต่างชาติในนิคมอุตสาหกรรมที่ระยอง มีชีวิตที่ดีมาตลอด จนมาแต่งงาน มีลูกคนโตเป็นผู้ชาย พอลูก 1 ขวบก็ลาออกจากงานมาอยู่กับแฟนที่ต่างจังหวัด แฟนเป็นข้าราชการทหาร ซึ่งไม่เคยช่วยเหลือเรื่องเงินทอง หรืองานบ้าน ไม่ช่วยอะไรเลย เราทั้งเลี้ยงลูก ดูแลร้าน ทำงานบ้าน แฟนกินกับนอนเท่านั้น ขนาดเราจะออกมาขึ้นรถทัวร์เพื่อมาซื้อเสื้อผ้าที่ กทม. เรายังต้องขับรถมอไซต์ออกมาคนเดียวตอนตี 1 ระยะทางกว่า 5 กม. กับถนนที่เป็นป่า ไม่มีไฟทาง ลองคิดดูว่าน่ากลัวขนาดไหน ทั้งที่เค้ามีรถยนต์ แต่ไม่ยอมมาส่งบอกว่าง่วงนอน

เราแต่งงาน 6 ปีถึงได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่งแล้วก็แยกกันอยู่มาตลอด พอมาอยู่ด้วยกันเราถึงรู้ว่าแฟนเราเล่นการพนัน และมีหนี้เยอะ เราก็ตามเช็ด ตามล้างให้ตลอด จนสุดท้ายเรายื่นคำขาดว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะเงินเก็บเราหมดแล้ว เราต้องไปกู้มาแล้ว สุดท้ายเราไปกู้มา 1.5 แสน เพราะเราไม่ชอบเวลามีคนมาทวงหนี้ เค้าก็บอกว่าจะช่วยเราผ่อน สุดท้ายเราต้องผ่อนคนเดียว เพราะเค้าเหลือเงินเดือนแค่ 5 พันกว่าบาท ใช้คนเดียวก็ไม่พอแล้ว

พอช่วงหลังพอร้านเราขายของไม่ดี เพราะร้านเปิดใหม่เยอะมาก และมีเปิดท้ายทุกวัน เราเปิดร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก สุดท้ายเรากับสามีก็ทะเลาะกัน วันที่เราจำไปจนตายคือวันหนึ่ง แฟนบอกว่าจะไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด เราบอกว่าเราไม่มีเงินเลย นมลูกก็จะหมด เค้าบอกว่าไม่มีเหมือนกัน แล้วขึ้นรถไปเลย วันนั้นเราขายของไม่ได้เลย ไปกดเงินตาม ATM ที่มีอยู่ได้เงินมา 300 ซื้อนมให้ลูกแล้ว เหลือเงิน 30 บาท ว่าจะไปซื้อข้าวสักกล่องกินกัน 3 คน พอดีลูกคนโตร้องซื้อขนม เราซื้อขนมให้คนละ 10 บาท เหลือเงิน 10 บาท ก็ซื้อผงซักฟอก หมดเงิน เกิดมาในชีวิตไม่เคยเจอเลย ไม่มีเงินติดบ้านแม้แต่บาทเดียว ดีที่ที่บ้านเหลือข้าวประมาณ 1 จานกับไข่ 1 ฟอง เอาทอดให้ลูกกิน ลูกกินอิ่มแล้ว เราก็กินที่เหลือ นั่งซักผ้าไป ร้องไหไป เราไม่โทรไปขอเงินทางบ้านด้วย กลัวพ่อ แม่จะเสียใจที่ส่งเสียให้เราเรียนแล้ว ทำงานดีๆ แล้ว ลาออกมา ถ้าเค้ารู้ว่าเรากำลังลำบาก เค้าคงเสียใจมาก ก็เลยโทรไปหาพี่ชาย เพราะเค้ายืมเงินเราไปประมาณ 2 แสน เค้าบอกว่าพี่ไม่มี ถ้ามีจะค่อยๆ คืนให้ก็แล้วกัน เราน้ำตาตกเลย พี่ไม่มี แต่พี่กำลังจะถอยรถใหม่ให้เมีย เราเสียใจมาก พูดไม่ออกเลย

เรามองหน้าลูกแล้วกอดลูกนั่งร้อง ลูกสาวอายุ 2 ขวบ ถามว่าแม่ร้องทำไม แล้วเอามือเช็ดน้ำตาให้ เราบอกว่าแม่สัญญาว่าจะต้องให้ลูกอยู่อย่างสุขสบาย จะไม่ลำบากเหมือนแม่

เช้ามาเราติดป้ายเซ้งร้านเลย ประมาณ 10 วันเราเซ้งร้านได้ เราเอาเงินที่เซ้งร้านได้ปลดหนี้ก้อนนั้น เหลือเงินก้อนสุดท้าย 10,000 จะเอาไปทำอะไรได้ สามีก็ไม่ช่วยเหลือ สุดท้ายตัดสินใจ พาลูก 4 ขวบ กับ 2 ขวบ ย้ายออกมาจากบ้านพักของสามี เราทะเลาะกันใหญ่โต สุดท้ายเราบอกว่าพอแล้ว กับชีวิตแบบนี้ เราขอเลือกที่จะอยู่กับลูกโดยไม่มีเค้า เราเหนื่อย เราทนกับเค้ามา 10 ปีแล้ว เรามาเช่าบ้านอยู่ 3 คนแม่ลูก นอนคิดจะทำอะไรดี เรามีเสื้อผ้า กับที่นอน และคอม 1 เครื่อง รถมอไซต์เก่าๆ 1 คันกับเครื่องสำอางค์และผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักอยู่อย่างละนิดหน่อย เรามานั่งคิดว่าจะทำอะไรให้ได้เงินมากที่สุดและลงทุนน้อยที่สุด เงิน 10,000 ที่มีมาคือเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตเราแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่มีหนี้สินแล้วด้วย งานที่ต้องเลี้ยงลูกได้ด้วย เพราะคนเล็ก 2 ขวบ ยังไม่เข้าโรงเรียน ลูกหลับแล้ว เราต่อคอมไว้ให้ลูกดูหนัง เราก็เลยคิดว่า ถ้าเราขายของทางอินเตอร์เน็ตละ เรามีของอยู่แล้ว คอมก็มี โทรไปคุยกับเพื่อน เราก็เจอประโยคแบบเจ้าของกระทู้บอกเลย เราก็บอกคนตั้ง 60 ล้านคน จะไม่มีใครซื้อของร้านเราเลยเหรอ ไม่ต้องไม่เป็นแบบนั้น เช้ามาเราไปซื้อซิมเน็ตมาต่อกับคอม เริ่มหาข้อมูลเปิดร้านขายของทางอินเตอร์เน็ต

เราดำเนินการทุกอย่างเสร็จภายใน 1 วัน ลงรูป ลงสินค้า แล้วจะขายใคร ขายได้ยังไง ใครจะรู้จักเว็บเรา เราก็หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตต่อ ต้องลงโฆษณา google เราติดต่อไป เค้าคิดเดือนละ 9000 เราก็นอนคิดตั้งคืนเลย ถ้าเราลงโฆษณาไป เราก็เหลือเงินพันเดียว จะทำยังไงดี ถ้าขายไม่ได้เราต้องอดตาย เราเลยลองหาว่าสินค้าเราคู่แข่งมากน้อยยังไง สุดท้ายเราตัดสินใจลงโฆษณา เช้าไปโอนเงิน เหลือเงินพันเดียว 1 ชม. ผ่านไป เค้าโทรมาแจ้งว่าโฆษณาขึ้นแล้ว เรารีบกลับบ้านไปเช็คดู ขึ้นจริงๆ ด้วย ก็นั่งลุ้นว่าจะขายได้มั้ย พักใหญ่ๆ โทรศัพท์โทรเข้ามา รีบวิ่งไปรับ ลูกค้าโทรมา เราดีใจมาก เราอธิบายสินค้า ให้ข้อมูลกับลูกค้าเยอะที่สุดเท่าที่เรารู้ สุดท้ายวันแรกเราขายของได้ พันกว่าบาท ดีใจแทบตาย สรุปในเดือนแรก เราขายได้ แสนกว่าบาท เราดีใจมาก เดือนต่อไปเราอัดโฆษณาเป็นเดือนละ 20,000 เราขายได้ 300,000 เราดีใจมาก ตอนกลางวันรับโทรศัพท์ ลูกค้าซื้อหรือไม่ซื้อเค้าต้องโทรมาสอบถามข้อมูลก่อน เราก็ให้คำปรึกษากับลูกค้าทุกคน ตอนกลางวันรับโทรศัพท์กับเลี้ยงลูก พอตอนกลางคืนแพ็คของ
ที่มา สนุก.คอม

อ่านต่อ ตอนที่ 2






รวยเงินล้านด้วยเทคนิด ที่เรียกว่าความยาก(ตอนที่ 3)

รวยเงินล้านด้วยเทคนิด ที่เรียกว่าความยาก(ตอนที่ 3)
จากเด็กเกเร มาสู่วงการเสื้อผ้า จนมียอดขายหลายล้าน ตอนที่ 3 เทคนิคการขาย ด้วยความอยาก

ผมไม่รอช้า รีบหาช่างเย็บผ้า และซื้อหนังสือแฟชั่นมาเปิดแล้ว หาแบบที่ชอบ แล้วก็ให้ช่างทำแบบ ตัดเย็บ โดยเริ่มทำทีละน้อยก่อน เพื่อลองตลาด สีละ 3ตัว ทำ 5สี มีสามแบบ รวมทั้งหมด 45ตัว
อาทิตย์ต่อมา ผมเริ่มวางขายผลงานผม ….ปรากฎว่า ผมขายดีมาก ขายหมด ^^ แถมหมดก่อน6โมงเช้าอีก (นั้นแหละทำให้ผมได้ข้อคิดว่า การที่เราจะลงทุนทำอะไรเราควรศึกษาตลาดให้ดีเสียก่อน ความใจร้อนอาจจะพาความล้มเหลวมาได้ แต่ความล้มเหลวจะผ่านไปได้ ถ้าเรามีใจที่สู้และยอมรับความผิดพลาดของตนเอง)


แต่แต่ สงครามยังไม่จบ หลังจากนั้นเสื้อผ้าแฟชั่นผมก็ขายดีมาเรื่อยๆ แต่แฟชั่นนี่ไปไวมากกกก ผ่านไปมีกี่เดือน มีสิ้นค้าจีนเริ่มเข้ามา แม่เจ้า ยอดขายผมเริ่มไม่ดีอีกแล้ว >_< ทำไงดีละ จากที่ขายหมด การเป็นเหลือ 5 ตัว หนักเข้า เหลือ 40 ตัว ขายได้ 5 ตัว ความท้อแท้เริ่มเข้ามา หลายๆคนที่ผมรู้จักเริ่มหายไปจากตลาด เพราะไปไม่ไหว ตอนนั้นน้องสาวเริ่มเข้ามาช่วยกันทำ โดยหุ้นกัน ครึ่งๆ วันที่ขายไม่ดี ได้แต่นั่งคุยกะพี่ตรงข้าม คุยกะลูกค้าเล่น มองหน้าน้องสาวมองถนนเป็น ชั่วโมง สุดท้าย ไม่ไหว คิดว่าเอาว่ะ ไปจีนเลยละกัน

ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่า เค้าขายเสื้อผ้าเมืองไหน เอาเข้าประเทศยังไง แต่ผมคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียนิ เลยยืมเงินคุณพ่อ คุณแม่ ไปจีนกัน โดยไปกัน สามคนเพราะเราไม่รู้จะเอาของมาทางไหน ก็คิดได้แต่ทางเครื่อง และรู้จุดหมายของเรา คือเมืองกวางเจา แค่นั้น เราก็บินไปเลย (ก่อนไปผมได้ติดต่อลูกเพื่อนคุณแม่ที่เค้าพูดจีนได้ไว้ก่อนแล้ว) พอถึงกวางเจา เราก็ไปเดินหาซื้อของกัน ของที่นั้นราคาไม่แพงเลย (สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีคนไปกัน) เย็บเป็นตัวแล้วตกตัวละ 60บาท พอรู้ราคา ตาเริ่มวาว เพราะเมืองไทยขายกันที่ส่งตัวละ 160 บาท กำไรเละ 100บาท ผมเพิ่งรู้ว่าเสื้อผ้าที่กวางเจา ตัวละ 12 หยวน พอส่งของไปขายที่ เซ็นเจิ้น จะขายตัวละ 25หยวน พอไปถึงฮ่องกงจะขาย 40หยวน ตกตัวละ 200บาท แต่ที่แปลกคือคนไทยไปแค่ เซ็นเจิ้น กะฮ่องกง กลับเหมามาซะเยอะ แล้วบอกว่าถูกมาก แต่หารู้ไหม จริงๆ เค้าหลอกฟันไปหลายต่อแล้ว

เอาละ พอกลับมาถึงเมืองไทย โดนขนกันมา3กระเป๋า ผมจำได้เลยว่าเอามาขายวันแรก ผมยังตกใจเลย คนแย่งยังกะแจกฟรี ขายวันเดียว ได้ค่าตั๋วเครื่องบินพร้อมกำไร เลย เอาละซิครับ เส้นทางบินของผมเริ่มไปได้ดี หลังจากเริ่มบินไปครั้งที่ 2 กำลังจะออกจากสนามบิน ผม ผม โดนเรียกครับ ผมโดนจับข้อหานำของไม่เสียภาษีเข้าประเทศ นาทีนั้นเครียดซิครับ แต่ด้วยความที่ผมพูดเก่ง (เวลาเราโดนจับห้ามดุห้ามด่า ให้พูดดีดีครับแล้วจะรอด) ผมก็คุยเรื่องที่ผมขนของโดยเสนอให้ส่วยแทน กระเป๋าละ 2500 วันนั้นมา 3กระเป๋า ก็ 7500 นาทีนั้นเสี่ยงมากครับ ว่าจะได้หรือไม่ได้ …..

ข้อสรุปในวันนั้นคือ OK และนั้นคือการ เอาของเลี่ยงภาษีครั้งแรกของผม เมื่อ 7ปีก่อน แต่หลังจากนั้น ผมก็ได้เจอกับบริษัทรับขนส่งถูกกฎหมาย ที่รับเอาของเข้าจากจีนมาไทย ในราคากิโลละ 80 บาท (ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เท่าไหร่แล้วนะครับ )แต่ระยะเวลาการเดินทางนี่ซิ ที่มีปัญหาคือ มันค่อนข้างนาน แต่สั่งแต่ละครั้งต้องมีจำนวน แต่ผมต้องยอม ไม่งั้นไม่รู้จะทำไง เลยเอาว่ะ ไปจีนใหม่ สั่งของเยอะขึ้น แต่เมื่อของเยอะขึ้น แล้วจะทำไง ดีละ จะขายยังไง ขายใคร ต้องอย่าลืมว่าแฟชั่นเปลี่ยนเร็ว ใครมาช้า ก็จะกลายเป็นของเก่าในทันที เมื่อเก่าแล้ว เค้าก็จะไม่ซื้อกัน

และแล้วมันก็มา ….เสื้อผ้า พันกว่าตัว มาถึงบ้าน เอาไงละทีนี้ จะขายยังไง พันกว่าตัว เพราะถึงแม้ผมจะมีแผงเล็กๆ แต่ก็ใช่ว่าจะระบายพันตัวได้เพียงวันเดียว และแล้วผมก็คิดว่า ยอมให้เค้าตัดไปขายดีกว่า สมัยก่อนการขายที่สวน จะมีพวกประตูน้ำมาตัดเสื้อผ้า ไปขายส่งต่อ โดยตัดกันที่ส่วนลด 20 บาทต่อตัว

ผมไม่รอช้า หยิบเสื้อผ้า แบบละ1ตัว ใส่ถุง จำได้ดีเลยว่า ผมเดินตั้งแต่กรุงทองไปยังตึกใบหยกแล้วเดินไปถึงตึกอินทราข้างหลัง ผมเดินไปทุกชั้น เดินเข้าไปหาทุกร้าน ยกมือไหว้เค้า แล้ว บอกว่าพี่ผมมีของมาเสนอ เป็นเส้อผ้านำเข้า ถ้าใครไม่สนใจผมก็จะทิ้งเบอร์ไว้ ส่วนใหญ่ เค้ามักไม่สนใจ เพราะเห็นว่าเป็นเด็ก และคิดว่าของที่ผมเอามามันขายไม่ได้ เวลาผ่านไปเร็วยังกะโกหก ผ่านไป จนบ่าย ผมขายไม่ได้ซักตัว นาทีนั้น ผมว่าผมแย่ไม่แพ้ใครแน่ๆ มันอาจจะไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ แต่ผมก็ไม่อยากจะเสียไปและจบลงแบบนี้ แต่ทางออกของผมก็ยังพอมีคือไปขายที่แผง แต่ถ้าแฟชั่นเหมือนผมมาเมือ่ไหร่ ผมอาจจะขายไม่ได้เลย เนื่องจากผมเช่าแผงขายจะขายได้แค่วันเดียวคือวันเสาร์เท่านั้น และช่วงเวลาแค่ เที่ยงคืนถึง 7โมงเช้า

…… แต่ผมไม่ท้อครับ ผมเดินกลับไปใหม่ คราวนี้ เค้าไปคุยกับเค้านานขึ้น บอกว่าถึงเห็นผมเป็นเด็กก็จริง แต่ผมไม่คิดจะโกงไม่คิดจะหลอกขายของเด็ดขาย ผมเข้าไปยืนยัน และขอเสนอขายอย่างจริงจัง (ผมอยากให้คนที่ล้มลองลุกแล้วเดินต่อไปจนสุดครับ ชีวิตไม่สิ้นหวังจริงๆ) และผมเริ่มใช้เทคนิคความ อยาก เป็นครั้งแรก ผมบอกว่ามีร้านนั้นร้านนี้เริ่มขอจองของผมแล้วนะ แล้วบอกว่าแต่ของที่ผมเอามา ขายดีมาก หมดแล้วหมดเลย เอามาแต่ละแบบไม่ซ้ำกัน ถ้าชอบผมจะตัดให้หมดเลย ไม่เอาไปขายใครอีก และที่สำคัญถ้าใครจองแล้ว ผมจะไม่เอาไปขายใครด้วย ที่สำคัญต้องหยอดด้วยว่า ผมเห็นร้านพี่ขายดี ผมเลยรีบเอามาให้พี่จองคนแรกเลย ด้วยความ อยากได้ของมาขายทำยอด อยากจองคนแรก สุดท้าย เกือบทุกร้านที่ผมเข้าไปอีกที เค้าสั่งของกันหมดเพราะเห็นร้านนั้นเริ่มจองร้านตัวเองกลัวจะไม่มีเลยอยากได้ของมาทำยอดบ้าง แต่ละร้านเลยยอมตัดของผม จนหมด พันกว่าตัว เห็นไหมครับ ถ้าผมยอมแพ้แล้วเลือกเดินกลับบ้านไปนอนเปิดแอร์ แล้วนอนบ่นท้อๆ ผมอาจจะไม่ได้ รู้จักคนที่ยอมตัดของผม ผมอาจจะไม่ได้ขายของพันตัวได้ในวันเดียว ผมอาจจะไม่มีเงินใช้ลงทุนในคราต่อๆไป และสุดท้ายผม ก็คงได้แต่คิดว่าอยากรวย เมื่อไหร่จะรวยเสียที การขายครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ผมขายได้ แต่มันทำให้ผม มีคนรับซื้อของๆผม ตลอดเวลา และหลายเจ้าๆ จนทำให้ผมเริ่มมีเงินตั้งตัวได้ก้อนนึง แม้ไม่มาก แต่ผมก็ภูมิใจ

แต่ๆ เรื่องยังไม่จบนะซิครับ เพราะของจีนเริ่มซา คนไทยไปเองได้ง่ายขึ้น ไปกันเยอะขึ้น ของเริ่มตัดราคากันเอง แล้วจะทำไงดีละ ผมจะแก้ไขยังไง ติดตามในตอนต่อไปนะครับ ^^

ที่มาจากคุณ : ikhong [pantip.com]

อ่านต่อ ตอนที่ 1 , ตอนที่ 2 , ตอนที่ 3






รวยเงินล้านด้วยเทคนิด ที่เรียกว่าความยาก(ตอนที่ 2)

รวยเงินล้านด้วยเทคนิด ที่เรียกว่าความยาก(ตอนที่ 2)
จากเด็กเกเร มาสู่วงการเสื้อผ้า จนมียอดขายหลายล้าน ตอนที่ 2 เทคนิคการขาย ด้วยความอยาก
อออสวัสดีครับเพื่อนๆ มาถึงตอนที่2แล้ว ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้มานะครับ และกิ๊ฟที่มากมาย ก่อนจะเริ่มตอนที่2 เพื่อนๆรู้สึกอะไรไหมครับ ว่าผมกำลังสอนเทคนิคการขายให้ทุกๆท่านอยู่ ผมสอนมาติดๆกัน 2กระทู้ (หลายท่าน งง ว่าสอนตอนไหนหว่า) ผมเลยทดลองให้เพื่อนๆเห็นภาพและผ่านประสบการณ์จริงเลยครับ โดยเรื่องที่ผมจะสอนเทคนิคการขายนี้ชื่อว่า ความ “อยาก “ งง ใช่ไหมว่าความอยากมันเกี่ยวอะไร คือ ย้อนกลับไปนะครับ ผมเคยพิมพ์ไว้ที่กระทู้แรก ว่าผมเขียนไปแล้ว30% นั้นคือความจริงครับ ผมเขียนไว้แล้ว แต่ แต่ ทำไมผมไม่เอามาลง ณ วันนั้นเลย เพื่อนๆรู้สึกไหม …..


นั้นไงครับ คือ ผมทำให้เพื่อนๆ “อยาก” ไงครับ ทำให้เพื่อนๆอยากได้ ถ้าเปรียบกระทู้ผมคือสินค้า ณ วันนั้น มีแต่คนเฝ้ารอซื้อมันเยอะมาก แม้แต่ตอนนี้ ก็ยังอยากได้อยู่ เพราะผมแกล้งลงช้าหน่อย เพื่อนๆจะอยากอ่านมันมากขึ้น และมันจะมีค่ามากขึ้นในทันที
หลักการ ทำให้ อยาก นั้นทั่วโลกใช้กันหมด ลองนึกดีดี ใครใช้เก่งที่สุด …… APPLE ไงครับ ทำไม เค้าปล่อยแต่ข่าว เรื่อง iphone มาเรื่อยๆ ทั้งๆที่ไม่มีใครเคยเห็น ปล่อยจนเราเริ่มอยากได้ และที่สำคัญ พอวันเปิดตัว ผมถามครับ มีใครเคยได้ไปลองจับเล่นในวันงานบ้าง นอกจาก CEO บริษัท เค้าแค่ขึ้นบนเวที แล้วบอกว่ามันดีอย่างโน้น อย่างนี้ แล้วคุณอยากได้ไหม …อาจจะมีคนบอกว่ายังไม่อยากมาก(แต่ก็มีบางส่วนอยากได้แล้ว 555) แล้วผมถามว่าเค้าขายเลยตอนนั้นไหม เค้าไม่ขายครับ เค้าให้เรารอ จนอยากได้สุด แล้วเค้าก็ปล่อยหลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์หลังจากวันเปิดตัว พอปล่อยเสร็จ จะมีคนแย่งซื้อทันที เพราะความ อยาก พอมีคนแย่งซื้อเยอะ เค้าทำไงละครับ ถ้าเป็นคุณๆ คงจะรีบผลิตออกมาขาย ให้เยอะที่สุดใช่ไหม แต่ไม่ใช่ APPLE เพราะเค้าจะทำให้ตัวเค้าเองผลิตไม่ทัน(ผมว่าเป็นเทคนิคเค้านะครับ)พอขายดีดีอยู่ ก็จะมาบอกว่าของขาดตลาด (ทั้งๆที่ซุ่มทำกันมาเป็นล้านเครื่อง) แล้วคนที่ยังไม่ได้ก็จะยิ่งอยากได้อีก เทคนิคนี้จะทำให้สิ้นค้าเค้าก็จะไม่มีวันตก ไปนานมากๆ และขายได้ตลอดเวลา เพราะจะมีแต่คน อยากได้ อยากได้ และจะเลิกขาดตลาดก็ตอนเครื่องใหม่จะออก (ประมาณ2-3เดือนก่อนเครื่องใหม่มา อยู่ๆก็ไม่ขาดซะงั้น555) นี่ไงครับ พลังความอยาก เพื่อนๆลองเอาไป ปรับใช้ในการขายของแต่ละคนนะครับ

เพิ่มเติม หลายๆบริษัท ก็ใช้วิธีนี้ เช่น โดนัทเจ้าหนึ่ง กับขนมปังกาแฟใส่เนย ใช้วิธีทำให้คนอยาก โดยให้คนต่อคิว ยาวๆไปหลายเดือน ทำให้คนที่แม้ไม่ได้สนใจ ก็เกิดอยากกินจนไปต่อแถว กะเค้าด้วย
ร้านส้มตำ ร้านอาหาร ชื่อดังบางร้าน จริงๆโต๊ะ โคตรว่าง แต่ต้องแกล้งให้คนเช็คโต๊ะช้าๆ เพื่อให้คน นั่งรอหน้าร้านนิดหน่อย ทำให้คนสนใจ ทำให้คนคิดว่าอร่อยมากๆ จนมีคนรอคิว ทำให้คน อยาก กิน
และเรื่องจริงอีกเรื่อง ในวงการเสื้อผ้า ร้านขายเสื้อผ้าบางร้านยอมจ้างหน้าม้า มาแย่งเสื้อ ของตัวเองทั้งๆที่ไม่สวยเลย แต่มารุมมั่วๆให้ดูคนซื้อเยอะ แม่ค้าต่างจังหวัดมาเห็นคนรุม ก็รุมซื้อกะเค้าบ้าง ไมได้ดูเลยว่าสวยไม่สวย แค่รุม สุดท้ายกลับบ้านมาพบว่าตัวเองซื้ออะไรมาเนี่ยะ เอาไปก็ขายไม่ได้ แต่เจอเค้าใช้ความ อยาก เค้าล่อ
เอาละ ผมสอนการขายไปแล้วนะครับ ง่ายไหมครับ ที่เหลือก็อยู่ที่คุณ ว่าคุณทำให้ลูกค้าคุณ อยากได้ ยังไงแค่นั้นเอง ยิ่งของคุณดี คุณทำให้เค้าอยากได้ เค้าซื้อคุณไป ของที่ได้ไปดี เค้าก็ยิ่งบอกต่อ เค้าพาใครมาคุณก็ทำให้คนต่อๆไปอยากได้ของๆคุณ เท่านี้ คุณก็ขายได้สบาย

เอาละ มาต่อที่เรื่องของผม นะครับ (ผมลืมบอกไปว่าผมไม่ได้เอาเงินเดือนจากคุณพ่อคุณแม่ ตั้งแต่ออกจากมหาลัยแล้วนะครับ ดังนั้นการค้าขายของผมเรียกว่าหาเลี้ยงตัวเองเลยครับ) ….. หลังจาก ที่ผมขายแย่มากเรียกว่าขายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมก็มาคิดว่าทำไมเราถึงขายไม่ได้เลย ผมเลยกลับไปทำการบ้านอีกครั้ง โดยการไม่ขายเสื้อผ้าในอาทิตย์ต่อมา ผมขอเสียไปหนึ่งวันเพื่อ ไปเดินดูตลาดว่าร้านที่ขายดีแต่ละร้าน เค้าขายอะไร ขายยังไง ขายแบบไหน จนผมได้ข้อคิดว่า ร้านที่ขายที่นั้น เค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่นกัน ไม่ใช่ขายเสื้อยืดสกรีน หรือโปโลเลย (สมัยก่อนสวนจตุจักรนี่เรียกว่าเป็น ตลาดแฟชั่นอันดับ1ของเมืองไทยเลย ดังนั้นเสื้อผ้าแฟชั่นทั่วประเทศ ส่วนใหญ่มาจากสวนจตุจักร) เสื้อผ้าแฟชั่นสมัยก่อน จะนิยมใส่เหมือนเสื้อกล้าม สายเดี่ยว มีปักนิดๆ เป็นผ้าป่านสีสด กลับจากได้ข้อมูล หลายๆคนคงคิดว่าผมจะ copy ทำของเหมือนร้านอื่นๆใช่ไหมครับ และจะได้ขายดีเหมือนเค้า ผิดครับ และนั้นคือความคิดที่ผิดมากๆ เพราะถ้าการที่เราทำอะไรเรามั่วแต่ไป ก๊อปเค้า ไปตามหลังเค้า ไม่ว่ายังไง คุณก็จะแพ้เค้าไปอยู่เรื่อยๆ (การที่เราทำอะไรแตกต่างกับเค้า จะดีมากลูกค้าจะสนใจมากๆ เพื่อนๆลองคิดดู ถ้าเราไปเสื้อผ้า ในโซนนั้นมีแต่ร้านขายเสื้อยืดสีขาวล้วนทุกร้าน แต่มัร้านนึงขายเสื้อยืดเหมือนกันแต่เป็นสีดำ และมีอีกหลายสี แถมมีเสื้อเชิ้ตด้วย เพื่อนๆคิดว่าร้านนั้นจะขายดีกว่า ร้านอื่นไหมครับ นี่ไงครับเราต้องรู้แนวแล้วหาความแตกต่างให้ต่างกับร้านอื่นให้ได้)

ที่มาจากคุณ : ikhong [pantip.com]

อ่านต่อ ตอนที่ 1 , ตอนที่ 2 , ตอนที่ 3





รวยเงินล้านด้วยเทคนิด ที่เรียกว่าความยาก(ตอนที่ 1)

รวยเงินล้านด้วยเทคนิด ที่เรียกว่าความยาก(ตอนที่ 1)
จากเด็กเกเร มาสู่วงการเสื้อผ้า จนมียอดขายหลายล้าน ตอนที่ 1 หาโอกาสให้ตัวเอง

สวัสดีครับ เพื่อนๆ หลังจากที่ มีเพื่อนหลายๆคนรอ เรื่องเล่าของผม ก่อนอื่นผมคงต้องกล่าวขอบคุณ เพื่อนๆ หลายๆคน ที่เข้ามาให้กำลังใจและปูเสื่อรอกันเยอะมาก ก่อนอื่นผมขอแยกเรื่องเล่าเป็นตอนๆไปนะครับ เพราะจะได้ เข้าใจได้ง่ายและไม่เยอะสำ หรับในการอ่านจนมากกันไป งั้นขอเริ่มเลยนะครับ

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้น ผมเพิ่งโดนไล่ออกจากมหาลัย ช่วงนั้นยอมรับว่าเคว้งไปเลย สำ หรับผม แต่ใจนึงก็ทำ ใจไว้แล้ว( ก็ตูไม่เคยเรียนอะไรเลยนิ) แต่ระหว่างนั้น ผมก็ได้ชอบผู้หญฺิงคนหนึ่ง (ซึ่งจุดเริ่มต้นการค้าของผมก็เกิดขึ้นตรงนี้แหละครับ)


เนื่องจากผมไปชอบเค้า แต่เค้าไม่สนใจผมเลย ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำ ไม จนกระทั้งมารู้ว่าผู้หญิงนี่ชอบผู้ชายที่มีความมั่นคง ความคิดเด็กๆที่เคยคิดว่าชอบคนที่เท่ เฮฮาไปวันๆ ก็จบลง

เอาว่ะ งั้นหาอะไรทำ ดีกว่า.... แต่ตรงนี้คงเป็นคำ ถามของหลายๆคนว่า เออ แล้วตูจะไปทำ อะไรดีละ บ้านก็ไม่ได้มีกิจการอะไร ผมก็คิดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ เพาะเห็ด เปิดร้านขายน้ำ ปั่น ร้านเช่าการ์ตูน คิดไปคิดมา ก็ยังคิดไม่ออก จน มีวันหนึ่ง ผมได้ไปเดินสวนจตุจักร ได้ไปซื้อเสื้อร้านนึง เค้าพูดขึ้นมาว่า ตัวนี้ขายดีมากเลย ขายหมดตั้งแต่เช้า นี่เพิ่งเอามาเพิ่ม ซึ่งตอนที่ผมไป เวลา 7-8โมงเช้า (ในใจผมก็คิดว่านี่จะมาหลอกตูหรอฟร่ะ นี่มันเช้ามาก) เลยตัดสินใจ ถามเค้าว่าพี่จะหมดได้ไง นี่มันเช้ามาก เค้าก็บอกว่า นี่น้องไม่รู้หรอ ว่าเค้ามีตลาดเช้า ขายได้วันหนึ่งเป็นแสนๆ

โอ้วววว คำ ว่าแสนคำ เดียวก้องหูไปตลอดทางเดิน แล้วเราจะทำ ไงละให้เข้ามาทำ ตรงนี้ ขายแบบนี้ได้ ระหว่างเดิน ผมก็ตัดสินใจในใจดังๆ ว่าเอาว่ะ ไปเป็นลูกจ้างเค้าก่อนดิ จะได้ดูดความรู้ (ตรงนี้ผมอยากให้หลายๆคน ลองเดินตามผมนะครับ การที่เราจะลงทุนทำ อะไรซักอย่าง ผมว่าเราต้องลงไปทำไปลุยก่อนว่าดีไม่ดี วิธีที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ คือ ไปเป็นลูกน้องเค้า แต่ต้องไปเป็นลูกน้องร้านที่ขายดีดีนะครับ เราจะได้ความรู้เยอะๆ ไม่เสียค่าลงทุน แถมได้ตัง ได้ความรู้ เห็นไหม ง่ายๆ )


พอกำลังจะตัดสินใจไปเป็นลูกน้องเค้า ก็บังเอิญ ญาติผมเปิดร้านขายเสื้อผ้า ขายดีมาก ขายส่งที่สวนจตุจักร เราก็เลย ไปเป็นลูกน้องเค้าครับ (ตอนหลัง ญาติคนนี้ทะเลาะกับผมตัดขาดญาติไป ผมไม่ขอเล่านะครับว่าเพราะอะไร) วันแรก ไปพร้อมความอาย ไม่กล้า แต่ลูกค้าก็เข้ามาซื้อเรื่อยๆ ขายไปขายมา ผมดันชอบ และสนุกกับงานนี้มากๆ จบวันนั้น ผมขายปลีกได้ 12,000 ได้ ซึ่งสำ หรับเด็กอย่างผม มันเยอะมากนะครับ เรียนรู้งานขายปลีกซักสองอาทิตย์ เค้าก็ให้มาขายส่งตอนเช้า เวลาตี 2

หลังจากรับสายว่าตี 2 ผมเชื่อว่ามีหลายๆคนอาจจะยอมแพ้ นอนต่อ ไม่ไป แต่เวลานั้น โอกาสที่เราจะได้รู้งานสำ คัญอยู่ตรงหน้า ผมเลือกไปครับ (ถ้าใครมีโอกาสเข้ามาอย่าปล่อยมันไปมันอาจจะไม่กลับมาเป็นหนที่สอง) วันแรกที่ผมต้องไปทำ งาน ผมตื่นเที่ยงคืน ไปนั่งรอที่ร้านก่อนญาติผมมา คืนนั้นอาจจะเป็นเพราะผมตื่นเต้นด้วยมั้งครับ เลยมาเช้า

เช้าเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่งที่สวนจตุจักร (เนื่องจากแต่ก่อนไม่มีแพตตินั่ม สวนจตุจักรเลยขายดีมาก) อยากบอกว่า คนเยอะมากก งานวันแรก ขายของหยิบของแทบไม่ทัน จบงาน พี่ชายบอกว่า ขายได้ สามหมื่นกว่า ผมฟังตอนนั้น อารมแบบว่า อยากขายเสื้อผ้าแล้ว ธุรกิจอะไร รายได้ดีขนาดนี้ พอเช้า`7โมง ผมไม่รอช้า เดินหาล็อคว่างทันที แต่ผมไม่มีเงินลงทุนมากนัก เลยต้องหาแค่แผงลอย แผงลอยคือล็อคว่างๆ ที่ร้านค้าไม่ได้เปิดขาย เค้าจะให้เราเช่าหน้าร้าน เช่าหน้าร้านคือ หาแผงมาเกาะราวประตูเหล็กที่ปิดอยู่ แล้วเกี่ยวขาย ค่าเช่าจะตกอยู่ประมาณ 1000-1500 การเช่าร้านผมยอมเดิน นานจนปวดขา เพียงเพื่อหาร้าน ที่ทำ เลดี

*** ตรงนี้ พ่อค้าแม่ค้าหลายคนเลือกความสบาย ไม่คิดถึงทำ เล ผมอยากจะบอกว่าการที่เรายอมเสียเวลานิดหน่อย หาทำ เลที่ดีที่สุด ต่อให้คุณขายของอะไรคุณก็จะขายง่าย คนจีนถือว่าทำ เลนี่ มีผลมากๆ เราจึงเห็นคนจีนรวยๆ ก่อนจะซื้อบ้านซื้อร้าน เค้าจะเข้ามาดูฮวงจุ้ย ก่อนเสมอ
อีกเรื่องเช่นกัน ผมจะเช่าร้านไม่เช่าแผงเลยก็ได้ แต่ผมเลือกไม่เช่า เพราะ ผมไม่เคยลงทุนด้านนี้มาก่อน ผมยอมไปช้าๆ แต่มั่นคง ดีกว่าไปเปิดร้านใหญ่ หรูหรา แต่อาจจะไปได้ไม่ดีเพราะผมไม่มีประสบการณ์ เด็กหลายคนที่เพิ่งเข้ามาวงการนี้เลือกเปิดร้าน โดยไม่มีความรู้ สุดท้ายก็พังไปหลายจนแถมติดหนี้ไปอีกหลายแสน

ผมก็พยายาม หาเบอร์โทรไป คัดร้านที่ทำ เล เท่านั้น โทรไปหาหลายเจ้าเค้าก็ ไม่ให้เช่าเพราะเค้ามีคนเช่าอยู่แล้ว แต่ผมดันไปตอนที่คนที่เช่าไม่มา ทำ ให้ผมนึกว่าไม่มีคนเช่า จน ผมเลิกคิดไปแล้ว และแล้ว ก็มีพี่คนนึงโทรกลับมา พี่คนนี้ชื่อพี่ไก่ พี่ไก่บอกผมว่า แผงที่ผมบอกสนใจ ให้เช่าได้แล้วนะเพราะคนเก่า เค้าไม่เอาแล้ว ผมดีใจแทบตัวลอย แผงเล็กๆ ของผมก็เกิดขึ้น ที่ โครงการ 18 เป็นแผงทางตรงติดกับร้านขายข้าวแกง ทำ เลตรงนี้ ดีเพราะเป็นทางหลักทางตรง แล้วก็ติดร้านข้าว ยังไงแม่ค้าพ่อค้าต้องเดินมากินข้าว แล้ว จะต้องเห็นของของผม แน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วหนทาง ก็ไม่ได้ง่ายแบบที่คิด เพราะอะไรนะหรอ

ก็ผมไม่มีของไง ครับ ผมมีร้านแต่ไม่มีสินค้า (นั้นเป็นความคิดที่ผิด อาจจะทำ ให้เราพังได้เลย) ผมได้แผงวันเสาร์ วันอาทิตย์ผมเลย วิ่งลงไปโรงเกลือ เพื่อไปดูเสื้อผ้ามาขายก่อน สมัยนั้น เสื้อ อเบอร์คอมบี้ กำ ลังดัง ผมเลยขนแต่เสื้อพวกนั้นมาขาย เพราะคิดว่าน่าจะขายได้ เป็นเสื้อโปโล และเสื้อยืดผู้หญิง ลายน่ารักน่ารัก ราคาที่โรงเกลือ ขายถูกมาก ตัวละ 50 บาท ในหัวผมเริ่มคิดถึงกำไรแล้ว ผมว่าจะเอาไปขายส่งตัวละ ร้อย แต่วันขายจริง มันไม่ง่ายแบบนั้น ลูกค้าไม่สนเลย มีแต่มาจับแล้วก็ไม่ซื้อ แถมาต่อเหลือตัวละ ยี่สิบ แม่เจ้าาาา นี่อะไรกันนี่ สุดท้ายผมขายให้พี่ร้านตรงข้ามที่เค้าเห็นใจ อุดหนุน หนึ่งตัว 50 บาท กับ ขายขาดทุนให้ (25บาท)แม่ค้าคนนึงที่บอกว่า ถ้าลองเอาไปขายถ้าขายได้ จะมาเหมาหมด ที่ราคาตัวละ 90

น้ำ ตา เริ่มไหลริน ถ้าใครเป็นผม ผมว่า คงจะร้องไห้เหมือนกัน ใครมีโอกาสผ่านไปผ่านมาจะเห็นเด็กหนุ่มคนนึง ที่เอาเงินเก็บทั้งหมด มาลงทุนแต่ขายได้ 75 บาท วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมได้ข้อคิดว่า ถ้าวันนั้นผมยอมแพ้ ผมก็คงต้องแพ้ไปตลอดชีวิต แต่เพียงวันนั้น ผมกลับไปด้วยความท้อก็จริง แต่ผมก็พกความสงสัยกลับไปคิดว่าทำ ไม ผมถึงขายไม่ได้
ที่มาจากคุณ : ikhong [pantip.com]

อ่านต่อ ตอนที่ 1 , ตอนที่ 2 , ตอนที่ 3





รายได้กับความสุข

รายได้กับความสุข
การวัดความก้าวหน้าของการพัฒนาของประเทศ โดยใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP เป็นประเด็นที่ได้รับการถกเถียงมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเด็นที่ความเจริญทางเศรษฐกิจไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนาประเทศ รวมทั้งมีข้อเสนอให้มีการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) แทนการวัด GDP ซึ่งรัฐบาลของบางประเทศได้มีการจัดตั้งโครงการศึกษา “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness) เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เป็นต้น

คำถามที่น่าสนใจ คือ หากความสุขของประชาชนเป็นเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ แล้วการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสามารถสะท้อนเป้าหมายดังกล่าวได้หรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง รายได้มีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร


ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และความสุขอาจแบ่งได้เป็น 2 แนวคิดที่ขัดแย้งกัน คือ ระดับความสุขของประชาชนจะเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้ แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการวัด GDP ถกเถียงว่า ความร่ำรวยที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสุขของประชาชนเพิ่มขึ้นน้อยมาก และมองว่าความพยายามทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย

อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ของความสุขกับรายได้อาจมีความซับซ้อนหรือมีพลวัตรมากกว่าความสัมพันธ์เชิงเส้นทั้งสองแบบดังที่ได้กล่าวข้างต้น ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์บางทฤษฎีระบุถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นเส้นตรง กล่าวคือ ระดับของความสุขของประชาชนจะเพิ่มขึ้นตามระดับความมั่งคั่ง จากนั้นระดับของความสุขจะเริ่มมีระดับคงที่ ซึ่งโดยปกติเมื่อรายได้ประชาชาติต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 25,000 เหรียญต่อปีระดับความสุขจะเริ่มคงที่

รูปแบบของความสัมพันธ์ตามทฤษฎีดังกล่าว สะท้อนว่าความสุขของประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาหรือมีรายได้ต่อหัวต่ำมีความสัมพันธ์กับรายได้มากกว่าความสุขของประชาชนในประเทศที่ร่ำรวย หรือสามารถอธิบายได้ว่า คนยากจนจะมีพึงพอใจหรือความสุขเพิ่มขึ้นมากเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น แต่คนร่ำรวยจะมีความสุขเพิ่มขึ้นน้อยเมื่อรายได้เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันกับคนยากจน

หากพิจารณาผลการศึกษาเชิงประจักษ์ การศึกษาของบริษัทวิจัย Ipsos ที่ทำการสำรวจความเห็นจาก 19,000 คน ใน 24 ประเทศ ในปี 2554 พบว่า ประชาชนที่มีระดับความสุขสูงสุดไม่ได้อยู่ในประเทศที่ร่ำรวย แต่อยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง โดยเฉพาะอินโดนีเซีย อินเดีย และเม็กซิโก สำหรับคนในประเทศที่ร่ำรวยมีระดับความสุขแตกต่างกันไป เช่น ออสเตรเลียและอเมริกามีระดับความสุขสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แต่ประชาชนในประเทศยุโรปส่วนใหญ่มีความห่อเหี่ยวใจมากกว่าค่าเฉลี่ยของโลก

ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนผู้มีความสุข ผู้ตอบแบบสอบถามในเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และขยายตัวเร็วมีสัดส่วนผู้ที่ตอบว่า “มีความสุขมาก” สูงขึ้น เช่น ตุรกี เม็กซิโก อินเดีย เป็นต้น แต่ในบางประเทศ ประชาชนที่ตอบว่ามีความสุขมีสัดส่วนที่ลดลง เช่น อินโดนีเซีย บราซิล รัสเซีย เป็นต้น เช่นเดียวกับคนในประเทศร่ำรวยไม่ได้มองแง่ลบเป็นเหมือนกันทั้งหมด เช่น ผู้ตอบแบบสอบถามในญี่ปุ่นที่มีความสุขมีจำนวนมากขึ้น แม้ต้องประสบกับภัยพิบัติจากคลื่นยักษ์สึนามิและวิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

จากผลการสำรวจดังกล่าวอาจสะท้อนว่า ตัวเลขระดับความสุขของคนไม่ได้มีความสัมพันธ์มากนักกับระดับรายได้ แต่อาจมีความสัมพันธ์กับอัตราการเปลี่ยนแปลงของรายได้ โดยเฉพาะประชาชนในเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีระดับความสุขสูงกว่าประชาชนในประเทศร่ำรวย เนื่องจากเศรษฐกิจเกิดใหม่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง หรือหมายความว่าประชาชนมีรายได้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ประเทศร่ำรวยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำ และหลายประเทศประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ระดับความสุขยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เพราะระดับความสุขของประเทศที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกลับไม่ได้มีทิศทางเดียวกันทั้งหมด ซึ่งสะท้อนว่าระดับความสุขของประชาชนในแต่ละประเทศยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยที่แตกต่างกันตามบริบทของแต่ละประเทศอีกด้วย

การนำดัชนีวัดความสุขมวลรวมมาใช้ในการวัดระดับการพัฒนาประเทศแทนการใช้ GDP ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดมากขึ้น เพราะนอกเหนือจากการวัดความสุขแล้ว ประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่าที่จำเป็นต้องทราบ คือ ปัจจัยอะไรที่ทำให้ประชาชนมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้การวัด GDP ยังจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป เพราะรายได้น่าจะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อระดับความสุขของคนอยู่ในระดับหนึ่ง

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, http:// www.kriengsak.com
ที่มา เดลินิวส์





ตำนาน (3) เฉลียว อยู่วิทยา จากฝูงบิน สู่ ฟอร์มูล่าวัน ฝันอันยิ่งใหญ่ เรดบลู

ตำนาน (3) เฉลียว อยู่วิทยา จากฝูงบิน สู่ ฟอร์มูล่าวัน ฝันอันยิ่งใหญ่ เรดบลู

อาณาจักรเรดบลู เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ ตามแผนขับเคลื่อนธุรกิจ สร้างแบรนด์ด้วยกลยุทธ์คิดต่าง แต่ความยิ่งใหญ่ที่เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั่วโลก

เกิดขึ้นในปี 2546 ซึ่งเป็นปีที่ เรดบลู จัดงานเปิดตัว The Hangar-7 ที่สนามบินเมืองซาลส์บวร์ก ประเทศออสเตรีย ที่บริษัท Red Bull Gmbh ออสเตรีย จัดขึ้น เพื่อแสดงศักยภาพของเครื่องดื่มเรด-บูล ผู้นำตลาดเครื่องดื่มให้พลังงาน (Energy Drink)ในตลาดโลกยามนี้ โดยงานถูกเนรมิตขึ้นอย่างอลังการ เชิญแขกเหรื่อร่วมงานกว่า 5,000 คนจากทั่วโลก มีทั้งดารา นักธุรกิจ บุคคลชั้นสูง และสื่อมวลชน เพื่อประกาศภาพลักษณ์ให้กลุ่มเป้าหมายเห็นความยิ่งใหญ่ของแบรนด์เครื่องดื่มให้พลังงาน "เรดบูล"


The Hangar-7 คือโรงเก็บเครื่องบิน สำหรับอากาศยานในคอลเลคชั่น The Flying Bulls ตั้งอยู่ที่สนามบินแห่งเมืองซาลส์บวร์ก ประเทศออสเตรีย ในวันเปิดตัวโรงเก็บเครื่องบินแห่งนี้เก็บอากาศยานกว่า 16 ลำ ที่มีอายุเก่าแก่หลายสิบปี แต่ยังคงความคลาสสิกและพลังที่ยังคงคุกรุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเครื่องบินในคอลเลคชั่น The Flying Bulls ซึ่งเป็นองค์ประกอบชิ้นเอกของ The Hangar-7

เครื่องบินในคอลเลคชั่น The Flying Bulls เป็นอากาศยานที่มีประวัติศาสตร์การบินของโลกที่น่าสนใจ ทั้งเครื่องบินผาดโผนสองชั้น เริ่มต้นที่นักบุกเบิกการบิน Sigi Angerer นักบินของสายการบิน Tyrolean Airways ผู้หลงใหลในเครื่องบินโบราณ (Vintage Plane) ในช่วงปี 1980-1990 Sigi Angerer และเพื่อนรักของเขาได้ร่วมกันบูรณะเครื่องบินโบราณ จนได้เครื่องฝึกบินรุ่น T-28 ซึ่งถือเป็นเครื่องบินลำแรกของพวกเขา หลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มพัฒนาเครื่องบินโบราณเรื่อยมาจนมีขนาดและรุ่นที่หลากหลายแตกต่างกันไป ตลอดจนทวีจำนวนมากขึ้นในที่สุด ฝูงบินอากาศยานสุดคลาสสิกเหล่านี้ก็ต้องการชื่อเรียก ซึ่งในปี 1999 พวกเขาก็ได้ชื่อที่เหมาะสมและแสดงสัญชาตญาณแห่งการบิน นั่นคือ The Flying Bulls

ในปัจจุบันอากาศยานในคอลเลคชั่น The Flying Bulls ยังคงโลดแล่นทะยานบนท้องฟ้าในหลายๆ โอกาส โดยเฉพาะยามที่เรดบูล ต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้า โดยคีย์แมนคนสำคัญ อย่าง ดีทริช มาเตอชิทซ์ แห่งเรดบูล ออสเตรีย คือผู้สร้างบทกลยุทธ์ ที่ใช้เครื่องบิน The Flying Bulls ในคอนเซ็ปท์ give you wings เป็นเครื่องมือทางการตลาดอย่างได้ผล และเป็นเสี้ยวหนึ่งของกลยุทธ์ที่ผลักดันให้เรดบูลขึ้นผู้นำตลาดโลก

นอกจากการโลดแล่นอย่างผาดโผนบนฟากฟ้าแล้ว ในสนามแข่งอย่างฟอร์มูล่า วัน ซึ่ง บุตรชายคนโต ของเฉลียว คือ คุณเฉลิม อยู่วิทยา ประธานบริษัทเรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด กรุงลอนดอน เจ้าของทีมแข่งรถ "เรดบูล เรซซิ่ง" ตัวแทนประเทศไทยผู้ดูแลภาคพื้นยุโรป มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะปักธงไทย ในกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับโลกฟอร์มูล่าร์ วัน สนามความเร็วที่เรดบลูขอร่วมเป็นหนึ่งในทีมแกร่ง

การสร้างทีมมอเตอร์สปอร์ต ของเรดบลู ในระดับโลก สร้างชื่อเสียงให้เรดบลู อย่างต่อเนื่องก้าวก้าวสู่ความสำเร็จด้วยการไต่อันดับก้าวสู่ตำแหน่งแชมป์พัฒนาจนขึ้นทำเนียบแชมป์ แต่ถึงกระนั้น เป้าหมายของเรดบลู ฟอร์มูล่าวัน ตามฝันของ เฉลิม อยู่วิทยา ประธานบริษัทเรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด กรุงลอนดอน เจ้าของทีมแข่งรถ "เรดบูล เรซซิ่ง"คือการนำธงไทยไปปักอยู่บนสนามแข่งทุกสนามทั่วโลก โดยมีโลโก้เรดบลู แบรนด์ซึ่งนำความภูมิใจสู่คนไทย

ในปีที่ผ่านมา เรดบลู ยังสร้างความฮือฮาให้กับคนไทย โดยจำลองสนามแข่งเอฟวัน ในเมืองไทย พร้อมด้วยการนำรถแข่งแชมป์เอฟวันมาโชว์ความภาคภูมิใจในสนามเมืองไทย สร้างความฮือฮาในกลุ่มผู้รักความเร็ว การมาครั้งนี้ ใช้เส้นทางราชดำเนิน เริ่มต้นที่ศาลฎีกา, พระบรมมหาราชวัง, ศาลหลักเมือง, วัดโพธิ์, ท่าราชวรดิศ, วิ่งเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา, ท่าช้าง, หน้าพระลาน, สนามหลวง, ศาลปกครอง, ม.ธรรมศาสตร์, ถนนพระอาทิตย์, บางลำพู, วัดบวรนิเวศ, ราชดำเนิน และกลับมาที่ศาลฎีกา รวมระยะ 6.45 กม. โดยยังวาดหวังผลักดันให้ การแข่งขันรถเอฟ-1 ในเมืองไทยด้วย ซึ่งขณะนี้ ประเทศไทยได้เดินหน้าอย่างเต็มตัวในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟอร์มูล่าวันด้วย โดยเรดบูลมีแนวคิดที่จะสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันรถยนต์สูตร 1 ในประเทศ และได้มีการศึกษาข้อมูล เพื่อเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เมื่อปัจจุบันภาครัฐบาลมีนโยบายให้เดินหน้าเสนอขอจัดการแข่งขันอย่างเต็มที่ เรดบูลจึงร่วมมือกับ กกท.ในการให้ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และเตรียมความพร้อม

นอกจากการบุกตลาดมอเตอร์สปอร์ตฟอร์มูล่าวันแล้ว ยังได้ประกาศศักดาการเป็นผู้นำตลาดระดับโลก ให้คนไทยได้รู้จักกระทิงแดง และเรดบลูมากขึ้น ในงานยิ่งใหญ่บีโอไอแฟร์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นบริษัทเครื่องดืมเพียงบริษัทเดียวที่ได้เข้าร่วมงาน เป้าหมายการร่วมงานครั้งนี้เพื่อถ่ายทอดความสำเร็จ เป้าหมายการพุ่งชน ของกระทิงแดง เรดบลู ซึ่งในส่วนหนึ่งได้ประกาศความยิ่งใหญ่ในการเป็นผู้ให้การสนับสนุนกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญของการสร้างแบรนด์ ในตลาดโลกและในเมืองไทย ในงานศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยตลอดจนเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพและการพัฒนาศักยภาพ ในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมของประเทศในอนาคตให้มีกำลังไปต่อสู้กับแบรนด์ระดับโลก

เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ผ่านความสำเร็จอย่างงดงามในตลาดโลก สำหรับตลาดเมืองไทยกระทิงแดง ยังได้โชว์ศักยภาพความยิ่งใหญ่เพื่อให้คนไทยได้เห็นนั้นคือการร่วมงานบีโอไอแฟร์ที่ผ่านมา

สราวุฒิ อยู่วิทยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด กล่าวว่าการร่วมงานบีโอไอแฟร์ ครั้งนี้จะเป็นการรวบรวมประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกระทิงแดงแบบที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน ผ่านรูปแบบการนำเสนอที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกด้วยนวัตกรรม ที่ล้ำสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปของงานตามแนวคิดเรื่อง Go Green คือ การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า เช่นที่ทรัพยากรในบริษัทของเรา ทุกขั้นตอน ทุกอย่างสามารถนำมา Recycle ได้หมด เราจะผสมผสาน ความเป็นแบรนด์ไทยอย่างกระทิงแดงของเราผ่านรูปแบบที่ทันสมัย เพื่อสะท้อนความเป็นหนึ่งใน ความภาคภูมิใจ ในฐานะแบรนด์ของคนไทย ที่ได้ทำเพื่อประเทศไทย เป็นแรงบันดาลใจที่จะผลักดัน ให้ประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต”

โดยในส่วนหนึ่งของงานยังนำ Flying Kratingdaeng การแสดงโชว์ผาดโผนกลางอากาศ Flying Kratingdaeng จากนักแสดงมืออาชีพระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งผลสำเร็จจากการจัดงานบีโอไอแฟร์นี้ ยังมีไฮไลท์ที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทย เมื่อแบรนด์เรดบลู เตรียมผงาดในสนามความเร็วอีกครั้งเพื่อบุกตลาดอเมริกา ติดตามต่อวันพรุ่งนี้
ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์





ตำนาน (2) เฉลียว อยู่วิทยา เรดบูล-กระทิงแดงDNAเดียวกันต่างที่กลยุทธ์

ตำนาน (2) เฉลียว อยู่วิทยา เรดบูล-กระทิงแดงDNAเดียวกันต่างที่กลยุทธ์
อาณาจักรกระทิงแดงวันนี้มีมูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท มูลค่าธุรกิจที่มากมายนี้ยังไม่มากเท่ากับการปั้นแบรนด์เรดบูลก้าวสู่ระดับโลก


ที่นับวันมีแต่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม และยังนำมาต่อยอดธุรกิจไปสู่แนวทางการพัฒนาตลาดใหม่ๆ อีกมากมาย ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นกับ เรดบูล ทั่วโลก ที่มีชื่อ ดีทริช เป็นผู้ปั้น

แม้เรดบูลและกระทิงแดง จะเป็นเครื่องดื่มที่มาจาก ดีเอ็นเอเดียวกัน จะต่างกันก็ตรงที่รสชาติและวาไรตี้ เช่น เรดบูลที่มีความซ่าเป็นคาร์บอเนตดริ๊งค์ เพื่อให้เหมาะกับตลาดผู้บริโภคของแต่ละท้องถิ่น

เรดบูล กลายเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ เพราะการวางกลยุทธ์และการสร้างแบรนด์ที่โดดเด่นและแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกิจกรรมของเรดบูลที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แนวสปอร์ต ชอบกีฬาความเร็ว กีฬาเอ็กซ์ตรีม และ มอเตอร์สปอร์ต ดีทริช วาง เรดบูล สู่เส้นทางนั้น

ความสำเร็จของเรดบูลนั้น มาจาก การที่ ดีทริช เป็นผู้วางทิศทางสินค้าโดยสร้างภาพให้เรดบูล เป็นเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ที่ชอบความ “แรง” โดยมุ่งเป้าไปสู่กลุ่มนักเรียนมหาวิทยาลัย หนุ่มๆ วัยทำงาน ใช้การเป็นสปอนเซอร์ กีฬาโลดโผน และกีฬาที่อาศัยความเร็ว


ความยิ่งใหญ่ของเรดบูล ยังได้ถูกถ่ายทอดผ่านทางสื่อมวลชนทั่วโลก เมื่อปี ค.ศ. 2003 หรือในปี พ.ศ. 2546 เรดบูล ได้เปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่ออสเตรีย ในงานเปิดตัวโรงเก็บเครื่องบินในงาน The Hangar-7

เรื่องราวของ เรดบูล ได้รับการตีพิมพ์ทั่วโลกรวมถึงสื่อจากประเทศไทยที่ได้ร่วมงานยิ่งใหญ่นี้ ยังได้ร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวของเรดบูลไว้อย่างน่าสนใจหลายด้านหลายมุม

ในมุมธุรกิจ "ดีทริช มาเตสชิทซ์" คือ นักสร้างตลาด สร้าง "เรดบูล" จนไต่ขึ้นชั้น โกลบอล แบรนด์ และเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มให้พลังงาน (Energy Drink) เกือบ 100 ประเทศทั่วโลกแล้ว ภาพความยิ่งใหญ่ของ "นักสร้าง" เริ่มฉายความโดดเด่นในสมรภูมิการค้าโลก โดยมุ่งสร้างนวัตกรรมเครื่องดื่มให้พลังงานที่มีรากเหง้า จาก เครื่องดื่ม "กระทิงแดง" ของบ้านเรา

ดีทริช ติดปีกบินให้ เรดบูล อยู่เหนือคู่แข่ง และวันนี้ก็กำลังรุกคืบด้วยแรงพลังแห่งการเป็นผู้นำตลาดต่อไปด้วยแผนเชิงกลยุทธ์เชิงลึก แผนธุรกิจเชิงรุกนี้ทำให้หุ้นส่วนของดีทริช คือ เฉลียว อยู่วิทยา ซึ่งได้ร่วมกันลงขันในสัดส่วนการร่วมทุน ไทย 51%และฝ่าย ดีทริช 49% ยิ่งเชื่อมั่นว่า เรดบูล จะยิ่งใหญ่ต่อไป และทำส่งผลให้ บริษัท Red Bull GmbH. ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกันขยายการเติบโตในระดับโลกได้อย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อมองเห็นโอกาสของเรดบูลจากกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งสู่สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งและไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง


ดีทริช ซึ่งสื่อมวลชนในออสเตรีย ตั้งฉายา " มิสเตอร์ เรดบูล" พูดในงานเปิดตัวโรงเก็บเครื่องบินว่า การสร้าง อินโนเวทีฟ โปรดักท์ เป็นเรื่องสำคัญในลำดับต้นๆ โดยเครื่องดื่มให้พลังงาน เรดบูล ที่เขาได้ชื่อแบรนด์จากเมืองไทย เป็นชื่อที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องสร้าง อินโนเวทีฟ ให้ผู้บริโภคพึงพอใจ จนกลายเป็น ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยการเปิดตลาดใหม่ชนิดที่ไม่มีใครทำมาก่อน คือไม่เป็นเพียงแค่ เครื่องดื่มดับความกระหาย แต่เป็นเครื่องดื่มที่มอบพลังงานให้ร่างกาย และจิตใจ และวางตำแหน่งสินค้าในระดับพรีเมียม คือ จำหน่ายในราคาสูงกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ โดยเจาะตลาดคนชั้นกลางเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากตลาดเมืองไทยที่จับตลาดแมส และตลาดผู้ใช้แรงงาน

" เรดบูล เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในตัวของมันเอง ทั้งความเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ มีรสชาติที่แตกต่างจากเครื่องดื่มดับกระหาย เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ และยังให้พลังงานแก่ร่างกายด้วย ซึ่งในตลาดยังไม่มีคู่แข่งขันรายใดทำได้เช่นเรดบูล" ดีทริช กล่าว และว่า การเปิดตลาดในออสเตรียถือเป็นการเปิดประเภทสินค้าใหม่ในตลาด
เรดบูล พุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มคนชั้นกลาง คนทำงานออฟฟิศ และคนที่มีการศึกษา

การสร้างการรับรู้ในตัวสินค้าให้กับกลุ่มเป้าหมาย เป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่อย่างยิ่ง เช่น ชาวนา ออสเตรีย ไม่เชื่อว่ากินแล้วจะได้พลังงาน แต่เราต้องใส่ คอมมิวนิเคชั่น หรือการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายเข้าไปช่วย หรือการที่ภาพของเรดบูล ในช่วงแรกๆ ถูกมองว่าเป็นสินค้าสำหรับผู้ชาย เขาก็แก้โดยการออกแบบการ์ตูนล้อเลียนตนเอง เพื่อให้ชนะใจผู้บริโภคผู้หญิง

" โฆษณาทำให้ขบขันได้ แต่ตัวสินค้าต้อง ซีเรียส ต้องได้คุณภาพตามที่โฆษณาไว้ :Advertising can be funny but product must be serious " ดีทริช กล่าวและว่า แต่ต้องพยายามทำไม่ให้สินค้าเป็นสินค้าแฟชั่น เพราะวงจรชีวิตมักสั้น ตรงกันข้ามจะต้องจับผู้บริโภคเดิมให้ดื่มต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับการขยายฐานตลาดต่อไปไม่หยุดยั้ง

สูตรใหม่เส้นทางสู่ โกลบอล แบรนด์ นอกจากนี้ในการเปิดตลาดครั้งแรกสู่ประเทศต่างๆ " ดีทริช" จะใช้ทีมขายของเขาเอง ในการทำตลาด เนื่องจากเขาเชื่อว่าการปล่อยให้สินค้าเกิดใหม่ถูกจัดจำหน่ายโดยเอเย่นต์ โอกาสที่สินค้าจะแจ้งเกิดในตลาดเป็นไปได้ยากกว่า เพราะว่าเอเย่นต์เหล่านี้ไม่มีความเป็นเจ้าของสินค้า ก็จะทำตลาดไปตามกฎเกณฑ์เดิมๆ ไม่มีอะไรพิเศษ ในที่สุดสินค้านั้นๆ อาจถึงจุดล้มเหลวได้เช่นกัน สำหรับการทำตลาด เครื่องดื่ม เรดบูล และกระทิงแดง นั้น แม้ว่า เรดบูล จะมาจากรากเหง้าของแบรนด์ กระทิงแดง ในเมืองไทย แต่ขณะนี้ แน่ชัดว่าเรดบูล กับกระทิงแดง มีกลุ่มเป้าหมายต่างกัน จะต้องทำขนานกันไป กระทิงแดง จะเน้นตลาดเอเชีย ส่วนเรดบูลเน้นตลาดยุโรป และอเมริกา โดยมีฐานการผลิต ที่ประเทศออสเตรีย ใช้ฐานออสเตรีย ความแยบยลของกลยุทธ์ส่งออก

เรดบูล ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คิด เมื่อก้าวสู่มอเตอร์สปอร์ต กีฬาผาดโผน และก้าวไปสู่โลกแห่งความเร็ว นี่ยังเป็นอีกหนึ่งฝันของการปั้นเรดบูล ให้ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ ผู้ที่กุมบังเหียนในเรื่องมอเตอร์สปอร์ต คือ ลูกชายคนโต ของ "เฉลียว อยู่วิทยา" คือ ผู้จุดประกายและผู้อยู่เบื้องหลังทีมมอเตอร์สปอร์ต และนี่คืออีกหนึ่งความยิ่งใหญ่ของการสร้างอาณาจักรกระทิงแดง และ เรดบูล ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งจะสะท้อนถึงแนวคิดผ่านคำบอกเล่าของ เฉลิม อยู่วิทยา ซึ่งดูตลาดต่างประเทศ กับฝันของเรดบูล กับการก้าวสู่มอเตอร์สปอร์ต ติดธงไทย สร้างแบรนด์ระดับโลกผ่านมอเตอร์สปอร์ต ติดตามตอนต่อไป
ที่มา โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์





ถอดรหัสประวัติของ'เฉลียว อยู่วิทยา'เป้าหมายมีไว้พุ่งชน

ถอดรหัสประวัติของ'เฉลียว อยู่วิทยา'เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
แม้คุณเฉลียว อยู่วิทยา จะมีชื่อติดอันดับเศรษฐีโลก แต่ความเป็นอยู่ของเขายังคงความสมถะ เรียบง่าย....

เช่นที่ผ่านมา ยังขยันทำงานทุกวันอยู่ในบริเวณโรงงาน ไม่นิยมเครื่องประดับหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่ไปไหนมาไหนด้วยรถโก้หรูราคาแพงๆ และไม่นิยมสูทราคาแพง

ชื่อของเฉลียว ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเครื่องดื่มกระทิงแดง อาจถูกรับรู้อยู่ในวงแคบ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา น้อยครั้งมากที่เขาจะปรากฏตัวต่อสาธารณะและให้สัมภาษณ์ นั่นเพราะเขาเลือกที่จะทำงานมากกว่าพูด เลือกที่จะปฏิบัติมากกว่าคิด บุรุษผู้ซ่อนกายผู้นี้ คือ บุคคลหนึ่งที่เขียนประวัติศาสตร์ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังจนเป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก ทั้งๆ ที่เขาจบเพียง ป. 4 เท่านั้นเอง


เจริญ สิริวัฒนภักดี ฉายภาพความเป็นตัวตนของ เฉลียว อยู่วิทยา ผู้สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ กระทิงแดง ในอัตชีวประวัติของเฉลียวที่มีผู้จัดทำขึ้น และนำมาถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังอ่านผ่านในเฟซบุ๊คกระทิงแดง และบนยูทูบ ที่มีผู้สนใจคลิกเข้าไปอ่านบันทึกเรื่องราวของผู้สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ มากกว่า 4,500 คน

คุณเฉลียว หรือบุรุษผู้ซ่อนกาย มักยึดหลักการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย มุ่งมั่นทำงานหนัก ไม่ออกสื่อ หรือให้สัมภาษณ์ใดๆ มองความสำเร็จในเบื้องหน้า ปลุกปั้น กระทิงแดง สู่แบรนด์ระดับโลก

สโลแกน เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ยิ่งใหญ่นัก

ปณิธานที่คุณเฉลียวตั้งมั่น และยึดเป็นเป้าหมายสูงสุดในการผลิตสินค้าทุกชิ้น คือ การคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ อุปกรณ์ในการผลิตรวมทั้งมาตรฐานการผลิตระดับสูงในทุกขั้นตอน หลังจากชื่อ กระทิงแดง เป็นที่รู้จักและยอมรับกันไปทั่วโลก ในฐานะเครื่องดื่มให้พลังงาน กระทิงแดงยังคงพุ่งเข้าชนเป้าหมายอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมคอยผลักดันและสนับสนุนทุกคนที่มีความฝัน และมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง เพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่ทุกคนฝันไว้ เพราะเป้าหมายมีไว้พุ่งชน กระทิงแดง นี่คือ อีกความมุ่งมั่นของเจ้าพ่อกระทิงแดง ที่ได้ถูกนำมาถ่ายทอดไว้ให้กับผู้อ่านที่เป็นแฟนคลับของเครื่องดื่มกระทิงแดง

ปณิธานอันมุ่งมั่น ของ เฉลียว สะท้อนได้จาก การทุ่มเทตั้งมั่น เน้นทำมากกว่าพูดและคิด วางรากฐานธุรกิจ เริ่มจากหนึ่ง ขยายเป็นสอง และขยายเพิ่มเป็น 3 ตั้งบริษัทผลิตเครื่องดื่ม จำหน่ายสร้างอาณาจักรธุรกิจให้เติบใหญ่

ในประเทศไทย เฉลียว วางรากฐานธุรกิจด้วยการตั้ง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ที.ซี.ฟามาร์ซูติคอล โรงงานผลิตยา และเครื่องดื่ม โรงงานผลิตจังหวัดปราจีนบุรี บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ผลิตเครื่องดื่มบำรุงกำลัง กระทิงแดง ทีโอเปล็กซ์ ลูกทุ่ง เรดดี่ และเรดบูลเอ็กซ์ตร้า เครื่องดื่มเกลือแร่ สปอนเซอร์ ชาพร้อมดื่ม เพียวริคุ ขนมซันสแน็ก และ บริษัท เดอเบล จำกัด บริษัทดำเนินธุรกิจด้านจัดจำหน่าย เป็นบริษัทน้องใหม่ ที่เพิ่งเปิดดำเนินธุรกิจเมื่อปี 2545 เน้นการจัดจำหน่าย กระจายสินค้าและการทำการตลาดให้กับสินค้าในเครือและขยายสู่นอกเครือในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นอีกขาธุรกิจหนึ่งที่กลุ่มกระทิงแดงให้ความสำคัญ (ซึ่งจะพูดถึงในตอนต่อไป)

จุดพลิกผันของกระทิงแดง ยังเป็นความพลิกผันที่มาจากความเรียบง่าย จุดกำเนิดเกิด ณ ริมสระน้ำในประเทศไทย เมื่อราว 33 ปีก่อน ระหว่าง เฉลียว และ ดีทริช มาเตสชิสซ์ ประธานกรรมการบริษัท เรดบูล จีเอ็มบีเอช ออสเตรีย

คำพูดของ ดีทริช ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ในงานเปิดตัวความยิ่งใหญ่ของเรดบูล การเปิดตัว The Hangar-7 เปิดพิพิธภัณฑ์เก็บเครื่องบินในคอลเลคชั่น The Flying Bulls บอกว่า มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ผมได้พบกับครอบครัวนี้ พอๆ กับที่ผมได้รู้จักกับกระทิงแดง ผมคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ดี ผมกับคุณเฉลียวสนิทกันมาก คุยกันได้ทุกเรื่อง ทั้งการงานไปจนถึงเรื่องครอบครัว

ก่อกำเนิด เรดบูล คือ การลงสนามแข่งที่ต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง โดยมีนักขับฝีมือระดับโลกนั่งหลังพวงมาลัย เป็นการนำการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาสู่แบรนด์ใหม่ของกระทิงแดง เครื่องดื่มรสชาติและส่วนผสมเดียวกัน แต่ใช้ชื่อ เรด บูล ดีทริช มาเตสชิสซ์ ประธานกรรมการบริษัท เรดบูล จีเอ็มบีเอช ออสเตรีย คือ บุคคลสำคัญที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้น และเป็นเพื่อนแท้ที่ยืนอยู่เคียงข้างเฉลียว และลูกๆ ของเฉลียว ร่วมกันส่งผ่านความสำเร็จในตลาดเครื่องดื่มเอนเนอร์จี้ ดริ๊งค์ สร้าง เรดบูล สู่ตลาดโลกในที่สุด

ครอบครัวกระทิงแดง เริ่มใหม่อีกครั้งในตลาดนอกบ้าน สโลแกน เป้าหมายมีไว้พุ่งชน กลับมามีพลังอีกครั้ง กับการสร้างแบรนด์เรดบูล ในออสเตรีย และทั่วโลก ด้วยกลยุทธ์การตลาด คิดต่างเพื่อสร้างแบรนด์ มองเป้าให้นิ่ง ติดพลังอาวุธชั้นดี พุ่งชน อย่างไม่ลดละ ด้วยกลยุทธ์การตลาดเหนือระดับ แตกต่าง รุกเร็ว แรง เต็มพลัง

เฉลียว ยังคงเป็นพลังหลักที่ช่วยผลักดัน ส่วน ดีทริช มาเตสชิสซ์ คือ แม่ทัพในอีกซีกโลกหนึ่งทำหน้าที่เป็นแม่ทัพขับเคลื่อน แบรนด์ เรดบูล สู่ตลาดในโลกตะวันตก

ด้วยมุมมองแบบคิดต่าง ในทุกรายละเอียด ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ยันผู้บริโภค เรดบูล ก้าวสู่แบรนด์ระดับโลกทันที เป้าหมายนี้มีไว้พุ่งชน จริงๆ

เรด บูล กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่แตกต่างในตลาดโลก ....ขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร

ความสำเร็จของเรดบูล มาจาก การที่ ดีทริช เป็นผู้วางทิศทางสินค้าโดยสร้างภาพให้กระทิงแดงเป็นเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ที่ชอบความ แรง โดยมุ่งเป้าไปสู่กลุ่มนักเรียนมหาวิทยาลัย หนุ่มๆ วัยทำงาน ใช้การเป็นสปอนเซอร์ กีฬาโลดโผน และกีฬาที่อาศัยความเร็ว ได้รับการตั้งฉายาให้เป็น ปอร์เช่ ในบรรดาเครื่องดื่มซอฟท์ดริ้ง

เป้าหมายของเรดบูล ยังไม่สิ้นสุด ขณะที่ กระทิงแดงในเมืองไทย ก็ยิ่งเข้มแข็งและแข็งแกร่ง เรด บูล คือ กลายเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ทำได้อย่างไร ติดตามตอนต่อไป
ที่มาโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์





กองทุนตราสารหนี้ผสมเงินฝากยังฮิต บลจ.กรุงไทย-ธนชาติขายไอพีโอเพิ่ม

กองทุนตราสารหนี้ผสมเงินฝากยังฮิต บลจ.กรุงไทย-ธนชาติขายไอพีโอเพิ่ม
กองทุนตราสารหนี้ผสมเงินฝากดีมานด์ยังมีต่อเนื่อง หลังให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว ล่าสุดบลจ.กรุงไทย และบลจ.ธนชาต ส่งกองทุนขายไอพีโอตั้งแต่วันนี้ถึง 27 มีนาคม 2555

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ แม้จะมีกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศเข้าถือครองตราสารหนี้ไทยเพิ่มขึ้นในระดับ 5.7 แสนล้านบาท แต่ความกังวลต่อปริมาณพันธบัตรภาครัฐที่ทยอยประมูลตลอดเดือนนี้ การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ต่างประเทศ แรงกดดันราคาน้ำมัน และราคาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเงินเฟ้อในอนาคต เป็นปัจจัยที่ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐปรับตัวสูงในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามสำหรับพันธบัตรรุ่นอายุไม่เกิน 1 ปี ซึ่งถูกใช้เป็นแหล่งพักการลงทุนมีผลตอบแทนที่ค่อนข้างทรงตัวในระดับ 2.97 - 3.14% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนภาวะการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ หลังจากที่สหรัฐอเมริกา ทยอยประกาศตัวเลขชี้นำเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณในเชิงบวก ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้และค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ แกว่งตัวเพิ่มขึ้น โดยแนวโน้มดังกล่าวได้ถูกสะท้อนจากความเห็นของประธานเฟด ที่มองเห็นทิศทางการฟื้นตัวแม้จะยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับจีนได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลง จึงทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทย เริ่มแกว่งตัวอ่อนค่าลง ผลดังกล่าวทำให้ดอลล่าร์พรีเมี่ยมเริ่มปรับลดลง ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศในรูปสกุลเงินบาท แต่โดยเฉลี่ยแล้วยังถือว่าการลงทุนในต่างประเทศยังให้อัตราผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในประเทศ

นายสมชัย กล่าวต่อว่า ในสัปดาห์นี้ บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 31 ( KTSUPB31 ) เสนอขาย 21 - 27 มีนาคม 2555 เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝาก และ ตราสารหนี้ต่างประเทศ ประกอบด้วย เงินฝาก / ตราสารการเงินระยะสั้นธนาคารพาณิชย์ไทย / ตั๋วแลกเงินบริษัทเอกชนไทย ในสัดส่วน 23% ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารต่างประเทศ ประกอบด้วยเงินฝากประจำ Union National Bank (UNB) เงินฝากประจำ Abu Dhabi Commercial Bank ( ADCB ) MTN ของ Banco itau BBA S.A. ( ITAUBBA) และ MTN ของ Banco Do Brasil ( BANBRA ) ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.35% ต่อปี โดยเงินลงทุนในต่างประเทศ จะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม อิควิตี้ลิงค์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น1 ปี 6 เดือน ( KTEL1Y6M ) ตั้งแต่วันที่ 15-21 มีนาคม 2555 อายุโครงการ 1 ปี 6 เดือน มูลค่า 1,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่ลงทุนใน Option ที่อ้างอิงผลตอบแทนของตราสารทุนไทย ออกโดยสถาบันการเงินไทย ในสัดส่วน 3-5% ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากประจำ Abu Dhabi Commercial Bank (ADCB) 25% เงินฝากประจำ Unoin National Bank (UNB ) 20% MTN ของ Banco Itau BBA S.A. (ITAUBBA ) 25% และ เงินฝาก /ตั๋วแลกเงิน / หุ้นกู้สถาบันการเงิน หรือบริษัทเอกชนในประเทศ 25 -27% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงสุดถึง 20% และกองทุนนี้จำหน่ายผ่านธนาคารสแตนดาร์ดชาร์ดเตอร์

พร้อมทั้ง บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน6 (KTSIV6M6 ) เสนอขายตั้งแต่วันที่ 19 - 23 มีนาคม 2555 อายุโครงการ 6 เดือน เน้นลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝากธนาคารเกียรตินาคิน และตั๋วแลกเงินของภาคเอกชน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.00% ต่อปี

นายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต จำกัด กล่าวว่า บริษัทเสนอขายกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 12 (TFixedIncome1) อายุ 6 เดือน เริ่มเปิดไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 26 มีนาคม 2555

สำหรับกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 12 ให้ผลตอบแทนประมาณ3.35% ต่อปี มูลค่ากองทุน 3,000 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนสามารถลงทุนขั้นต่ำได้ 1,000 บาท

โดยมีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank / ธนาคาร First Gulf Bank ประมาณ 20% ลงทุนในเงินฝากสกุลเงินหยวน ธนาคาร Bank of China ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดยGS Caltex / Axis Bank ประมาณ 20% ลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ออกโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย บจ. โตโยต้า ลิสซิ่ง ประมาณ 18.90% ลงทุนในตั๋วแลกเงินบมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ลีส / บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ประมาณ 21.00% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ประมาณ 0.10%

ขณะเดียวกันกองทุนได้เปิดโลโอเวอร์กองทุนเปิดธนชาตพันธบัตรคุ้มครองเงินต้น 1 หรือ TGOV1) อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทน 2.85% เริ่มรับคำสั่งซื้อขายแลัววันนี้ ถึง 26 มีนาคม 2555

โดยกองทุนดังกล่าวเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการคุ้มครองเงินต้นที่ลงทุน โดยกองทุนจะนำเงินไปลงทุนทั้งหมดไปลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนต่อเนื่อง ลงทุนเพิ่มเติม หรือไถ่ถอนการลงทุนได้ทุก ๆ ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์






"ประโยชน์ของการออม คือการสร้างนิสัย"...เคล็ดลับลงทุนของ "ดร.ยุ้ย"

"ประโยชน์ของการออม คือการสร้างนิสัย"...เคล็ดลับลงทุนของ "ดร.ยุ้ย"
“ประโยชน์ของการออมเงินมันคือการสร้างนิสัย และการออมเงินมันก็คล้าย ๆ กับเรื่องการซื้อบ้าน เช่นลูกค้ารายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า อยากซื้อบ้านอยากผ่อนเพราะมันจะสร้างวินัย ทำให้เรามีหน้าที่ และทำให้เรารู้สึกภูมิใจ เพราะลูกค้ารายนี้มีอายุแค่เพียง 28 - 29 ปีเอง เมื่อเรามีวินัย มีหน้าที่ที่จะส่งบ้าน พอวันข้างหน้าเราส่งบ้านหมด บ้านก็มีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น มันก็คือการออมอย่างหนึ่งด้วย”
การออมเงินถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ และควรปลูกฝังการประหยัดให้กับลูกหลานของเราด้วยตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องพบกับความลำบาก “คอลัมน์เจาะพอร์ตคนดัง”ฉบับนี้ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารหญิงเก่งอย่าง “ดร.ยุ้ย หรือ เกษรา ธัญลักษณ์” แห่ง บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ที่วันนี้จะมาเผยเคล็ดลับการออมเงินและการสอนลูกให้รู้จักการออมเงินในแบบฉบับของหญิงสมัยใหม่มาฝากคุณผู้อ่าน และถ้าสนใจจะนำไปปรับใช้กับลูกหลานของตนเอง“ดร.ยุ้ย” บอกยินดีคร๊า...


ดร.ยุ้ย บอกว่า ตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง และสอนหนังสือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงเป็นผู้บริหารของ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งการสอนหนังสือ และการเป็นผู้บริหารทำให้เราสามารถกำหนดเวลาของการทำงานได้อย่างชัดเจน ซึ่งทั้งหมดสามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา และกับการสอนลูกกับการออมเงินเราก็จะมีวิธีด้วยการซื้อหนังสือที่เป็นนิทานในตลาดหลักทรัพย์มาสอนอยู่เสมอว่า การประหยัดอดออมมันมีคุณค่าอย่างไรบ้าง

สำหรับการบริหารเงินออมของ “ดร.ยุ้ย”บอกว่า รายได้ส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะเป็นในรูปแบบของเงินปันผลของบริษัทและเงินค่าสอนหนังสือ โดยทั้งหมดจะแบ่งเก็บออมไว้ใน 3 รูปแบบ โดยส่วนแรกจะเป็นค่าใช้จ่ายปกติในชีวิตประจำวัน ส่วนที่ 2 เก็บไว้เป็นเซฟวิ่ง ซื้อหุ้นกู้ ซื้ออสังหาริมทรัพย์เก็บสะสม และส่วนสุดท้ายเป็นการฝากธนาคารไว้เพื่อการลงทุนอนาคตตามโอกาสที่เหมาะสม เช่น ถ้าช่วงไหนหุ้นตกเราอาจจะนำเงินตรงนี้ถอนออกมาเพื่อซื้อหุ้นตัวนั้น ๆ แต่จะเป็นการลงทุนแบบระยะสั้น ๆ นอกจากนี้แล้วการลงทุนทองคำมีด้วยเช่นกัน แต่จะเป็นแบบทองก้อนมากว่าทองรูปพรรณ สาเหตุที่ลงทุนทองคำเพราะมองว่ามันเป็นแอสเซทที่น่าสนใจ มูลค่าไม่เคยเท่ากับศูนย์ แต่การลงทุนในหุ้นยังเท่ากับศูนย์บาทได้
“ประโยชน์ของการออมเงินมันคือการสร้างนิสัย และการออมเงินมันก็คล้าย ๆ กับเรื่องการซื้อบ้าน เช่นลูกค้ารายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า อยากซื้อบ้านอยากผ่อนเพราะมันจะสร้างวินัย ทำให้เรามีหน้าที่ และทำให้เรารู้สึกภูมิใจ เพราะลูกค้ารายนี้มีอายุแค่เพียง 28 - 29 ปีเอง เมื่อเรามีวินัย มีหน้าที่ที่จะส่งบ้าน พอวันข้างหน้าเราส่งบ้านหมด บ้านก็มีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น มันก็คือการออมอย่างหนึ่งด้วย”

ส่วนงานบริหารของบริษัทตอนนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องบอกว่ามีการแข่งขันกันสูงมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดมันอยู่ที่ช่วงจังหวะ ทุนแข็งแกร่ง และการแข่งขันในแบรนด์ดิ้ง ที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจและไว้วางใจ เพราะหนึ่งสิ่งที่สำคัญของการซื้อบ้านมันก็เหมือนกับการออมเงินด้วยเช่นกัน มูลค่าของบ้านไม่มีตก มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา ซึ่งการเลือกบ้านก็เป็นอีกหนึ่งของการลงทุนถ้าเราเลือกเป็น มันก็จะเป็นเงินออมในอนาคตได้เช่นกัน

“เสนา ทำอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 30 ปีแล้ว เราต้องการเป็นคนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุม 360 องศา ซึ่งก่อนหน้านี้เราจะทำทาวเฮ้าส์เพียงอย่างเดียว ตอนนี้เราก็เริ่มที่จะทำหลายอย่างมากขึ้น ซึ่งเป็นจุดยืนของเรา เพื่อเป็นการสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าในครบ”ดร. ยุ้ย บอก
ดร.ยุ้ย บอกว่า การทำงานที่ดีให้ประสบความสำเร็จนั้นจะมีคำคมที่ใช้อยู่เสมอคือ “ถ้าชกยังไม่ครบ 10 ยกเราไม่เลิก” ซึ่งถ้าเรายังทำไม่ครบเราจะไม่ยอมเลิก นอกจากนี้แล้วการทำธุรกิจที่ดีต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าเราเชื่อมั่นว่ามันดีแล้วเราก็จะไม่มีการพัฒนา แต่พี่คิดว่า “การแข่งขัน” คือการพัฒนา

สุดท้าย ดร. ยุ้ย ฝากบอกว่า โดยส่วนตัวแล้วการใช้จ่ายเงินค่อนข้างจะมีกรอบ ซึ่งถ้าเรามีเงิน 100 บาท จะต้องแบ่งเก็บไว้ 20 บาท เพื่อเป็นเซฟวิ่ง แต่จะทำแบบสบาย ๆ ไม่ต้องตรึงเครียด แต่ต้องทำอย่างมีวินัยด้วย เพราะสิ่งที่เราเก็บไว้ต้องยอมรับว่ามันจะช่วยเราได้ในยามฉุกเฉิน เพราะไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือ ต้องดูแลตัวเอง เพราะมันจะเป็นเครื่องมือของความมั่นคงด้านการเงิน และเราจะใช้หลักนี้เป็นเครื่องมือในการดูแลเราได้
--------------------------------------------------------------
ชื่อ - นามสกุล ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ (ยุ้ย)
วันเดือนปีเกิด 29 สิงหาคม 2517
การศึกษา บช.บ. (การเงิน) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
M.B.A. (Finance and Accounting)University of California, U.S.A.
M.A. (Economics) Claremont Graduate University, U.S.A.
Ph.D. (Economics) Claremont Graduate University, U.S.A.
งานปัจจุบัน กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA
อาจารย์ ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์






แง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการออมเก็บเงิน ฝากไว้ให้คิด

แง่คิดดีดี  เกี่ยวกับการออมเก็บเงิน ฝากไว้ให้คิด

• วัยเยาว์
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเด็กเกินไปที่จะคิด
ชีวิตฉันเพิ่งเริ่มต้น ทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่
และฉันไม่เหลือพอที่จะเก็บ ฉันกำลังเล่นสนุก
วันหนึ่งเมื่อฉันโตขึ้นฉันจะเก็บเงิน
• วัยรุ่น
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันยังเรียนหนังสืออยู่
พ่อแม่ให้เงินสำหรับพอใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
ฉันยังเก็บเงินไม่ได้หรอก
นอกจากนั้นฉันยังมีเรื่องอื่นๆ
ที่ต้องใช้เงินอีกเมื่อฉันเรียนจบ
และถ้าฉันหาเงินได้เอง ฉันจึงจะเก็บ

• วัย 20
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...ฉันเพิ่งเรียนจบ
ขอเวลาฉันได้พักสมองบ้าง
และฉันยังไม่พร้อมที่จะผูกมัดเรื่องนี้
ฉันยังต้องการแสวงหาความสนุก
ในขณะที่ฉันสามารถทำได้
ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะคิด
ถึงตอนนั้นเมื่อฉันพร้อมฉันก็จะเก็บ

• วัย 30
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันเพิ่งมีครอบครัวและต้องรับผิดชอบหลายอย่าง
ค่าใช้จ่ายลูกเดี๋ยวนี้แพงเหลือเกิน
และฉันยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้บ้านอีกด้วย
ทุกวันนี้แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว
ถ้าวันข้างหน้าฉันหาเงินได้มากกว่านี้
และลูกๆ โตแล้ว ฉันจึงจะเก็บ

• วัย 40
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ลูกฉันเริ่มเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
เดี๋ยวนี้ค่าหน่วยกิตและค่าต่างๆ แพงมาก
ไหนยังต้องผ่อนหนี้เงินกู้ที่ซื้อรถยนต์ให้ลูกอีก
ฉันกลัวพวกเขาลำบาก
ตอนนี้ยอมรับว่าค่าใช้จ่ายสูงจริงๆ
และเป็นเวลาที่ยากที่จะเก็บเงิน
แต่อีกสักระยะเมื่อพวกเขาเรียนจบ การเงินคงจะคล่องตัวขึ้น
ถึงตอนนั้นฉันจึงจะเก็บ

• วัย 50
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ตอนนี้ลูกๆเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนกำลังจะแต่งงาน
ฉันอยากให้พวกเขาเริ่มต้นชีวิตที่ดี
นอกจากนี้ฉันยังต้องไปช่วยญาติบางคน
ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ
เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้เลย มันติดขัดไปหมด
โชคดีเมื่อไหร่ฉันคงจะเก็บเงินได้

• วัย 60
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันนึกว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น
ฉันอยากเกษียณอายุก่อน แต่ฉันไม่สามารถทำได้
ฉันกำลังพยายามจ่ายเงินติดค้างจำนองบ้านที่เหลือ
และหนี้สินอื่นๆ
แต่ทุกอย่างยังประดังเข้ามา ไหนจะลูกเอยหลานเอย
ไอ้โน่นไอ้นี่มาลงที่ตัวฉันหมด
ถ้าภาระฉันหมดเมื่อไร ฉันภาวนาว่าฉันน่าจะเก็บได้

• วัย 70
ฉันไม่สามารถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้...
ฉันแก่เกินไปที่จะเก็บ เงินบำนาญของฉันก็มีไม่มากพอ
บิลค่ายาและค่าดูแลรักษาพยาบาลระยะยาว
ทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่
ฉันไม่อยากไปเป็นภาระของลูกๆ เขา
ฉันน่าจะเก็บตอนที่ฉันมีและควรเก็บได้
ตอนนี้มันสายเกินไป......ฉันไม่สามาถเก็บเงินได้เดี๋ยวนี้จริงๆ.....

-`๏'- มิสเกรนเจอร์ -`๏'-
ที่มา http://www.jabchai.com/main/view_joke.php?id=12708




โยชิกาสึ ทานากะ เศรษฐีหนุ่มรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น รวยหมื่นล้านจากธุรกิจเกม

โยชิกาสึ ทานากะ เศรษฐีหนุ่มรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น รวยหมื่นล้านจากธุรกิจเกม
หนึ่งในรายชื่อคนรุ่นใหม่ที่รวยที่สุดในเอเชีย หนีไม่พ้นชื่อของ "โยชิกาสึ ทานากะ" ซึ่งร่ำรวยจากธุรกิจเกมส์จนมีคนเปรียบเทียบว่าเป็น "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" แห่งญี่ปุ่น

โยชิกาสึ ทานากะ มหาเศรษฐีรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น มีทรัพย์สินรวม 180,000 ล้านเยน หรือประมาณ 67,000 ล้านบาท จากอุตสาหกรรมเกมออนไลน์ซึ่งให้บริการแบบเครือข่าย หรือโซเชียล เน็ตเวิร์กกิง เซอร์วิส ในชื่อ "กรี" (Gree)

ทานากะเริ่มเปิดให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ในระบบเว็บบล็อก ที่เขาตั้งชื่อว่า "กรี" ในปี 2547 และได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำ กระแสตอบรับค่อนข้างดี แต่หลังจากนั้นเขาตัดสินใจหันเหทิศทางของบริษัทมาผลิตเกมออนไลน์ทั้งแบบที่ใช้เล่นในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ


กรีเติบโตขึ้นอย่างมากหลังจากที่ร่วมทุนกับเคดีดีไอ บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งกรีกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากลิงค์บนหน้าเว็บไซต์ จากนั้น กรีก็ค่อยๆ ขยับขึ้นสู่การเป็นบริษัทผลิตเกมแนวหน้าของญี่ปุ่น และแซงหน้าบริษัทอื่นด้วยการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ เพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการ เช่น ร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเท็นเซนต์ (Tencent) ผู้ให้บริการโซเชียลเน็ตเวิร์กรายใหญ่ของจีน และโอเพนเฟนต์ (OpenFeint) ผู้ผลิตเกมสำหรับโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของสหรัฐฯ

ในปัจจุบัน กรีมีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 แสนล้านเยน หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท ซึ่งมูลค่าหุ้นสูงขึ้นถึง 7 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นที่เปิดขายครั้งแรกในปี 2551 ในอนาคตอันใกล้ ทานากะมีแผนที่จะเปิดตลาดกรีในยุโรป สหรัฐฯ และตลาดใหม่ในบราซิล เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการให้ถึง 1,000 ล้านคน หรือ 5 เท่าของฐานผู้ใช้บริการในปัจจุบัน

ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกต่ำอย่างมากเป็นประวัติการณ์ บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ต่างขาดทุน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา และได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตั้งแต่แผ่นดินไหว สึนามิ และกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ-ไดอิจิ แต่ทานากะกลับประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจให้มีกำไรมหาศาลสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่น

ทานากะถ่ายทอดมุมมองทางธุรกิจของเขาผ่านสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า ความอ่อนแอของบริษัทญี่ปุ่นเกิดจากมุมมองที่คับแคบล้าสมัย และไม่ยอมปรับตัวเพื่อแข่งขันกับตลาดโลก แต่เขาก็ยังหวังว่า ความสำเร็จของกรีจะช่วยเป็นแรงผลักดันทางบวกให้กับภาคเศรษฐกิจของญี่ปุ่นให้หันกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

การที่เขาประสบความสำเร็จทางธุรกิจจนสามารถขึ้นสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในเอเชียตั้งแต่อายุ 35 ปี ทำให้เขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่เพียงแค่ทั้งสองจะแต่งกายง่ายๆ สบายๆ เหมือนกันแล้ว พวกเขายังคิดเหมือนกันว่า ธุรกิจของพวกเขาจะมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสังคม ไม่ว่าจะเป็นในแบบเฟซบุ๊ก หรือในแบบของกรีก็ตาม

แม้ว่าในอนาคต ทานากะจะยังไม่ทราบว่า อุตสาหกรรมเกมออนไลน์จะสามารถเป็นกำลังหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้หรือไม่ แต่เขาก็มั่นใจว่า ธุรกิจในอุตสาหกรรมประเภทอื่นจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนญี่ปุ่นกลับมารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ที่มา http://news.voicetv.co.th/global/32968.html





"คาร์ลอส สลิม"ครองอภิมหาเศรษฐีโลก3ปีซ้อน

"คาร์ลอส สลิม"ครองอภิมหาเศรษฐีโลก3ปีซ้อน “คาร์ลอส สลิม” เจ้าพ่อธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมจากแดนจังโก้ รั้งอันดับ 1 อภิมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2012 จากการจัดอันดับของนิตยสาร “ฟอร์บส์” มีทรัพย์สิน 2.07 ล้านล้านบาท รวยที่สุดสามปีติดกันแล้ว ตามมาด้วย “บิล เกตส์” เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ ส่วนของประเทศไทยติดอันดับกัน 5 คน เจ้าสัวซีพี “ธนินท์ เจียรวนนท์” ขยับขึ้นมาอันดับที่ 133 ทรัพย์สินกว่า 2 แสนล้านบาท
วันนี้(8 มี.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า นิตยสารฟอร์บส์ของสหรัฐได้จัดอันดับประจำปีสำหรับอภิมหาเศรษฐีโลกประจำปีค.ศ.2012 พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,226 คนของผู้มีรายได้เข้าขั้นอภิมหาเศรษฐี รวมรายได้แล้วเท่ากับ 4.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอภิมหาเศรษฐีโลกอันดับ 1 นั้นยังคงเป็นของนายคาร์ลอส สลิม เจ้าพ่อธุรกิจสื่อสารจากประเทศเม็กซิโก วัย 72 ปี


รั้งตำแหน่งนี้ไว้ได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว รายได้ 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.07 ล้านล้านบาท แม้รายได้จะหดลงไปจากตลาดหุ้นถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้วก็ตาม แต่รายได้ของเขาก็ยังพอทำให้เขายึดตำแหน่งคนรวยที่สุดในโลกไว้ได้ต่อไป

อันดับ 2 ยังคงเป็นของนายบิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ มีรายได้ 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงมูลค่ามหาศาลอยู่ แม้ตัวเขาจะบริจาคเงินถึง 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าการกุศลอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งการต่อสู้กับโรคเอดส์และโรคโปลิโอก็ตาม

รายได้ของทั้งสองคนนี้ อยู่อันดับ 1 และ 2 ของบัญชีรายชื่ออภิมหาเศรษฐีโลก 1,226 คน มากที่สุดก็เป็นชาวอเมริกัน 425 คน และ ในจำนวน 20 อันดับแรก เป็นชาวอเมริกันถึง 11 คน และผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้จำนวนอภิมหาเศรษฐีโลกเพิ่มขึ้นอีก 16 คนสำหรับปีนี้ เฉลี่ยแล้ว แต่ละคนจะมีรายได้ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือรัสเซีย 96 คน จีน 95 คน เยอรมัน 55 คน อินเดีย 48 คน อังกฤษ 37 คน เท่ากับฮ่องกง บราซิล 36 คน แคนาดา 25 คน ไต้หวันกับญี่ปุ่นเท่ากัน 24 คน

แต่ผู้ติดอันดับโลกหลายคนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น อันดับโลกร่วงลงไปบ้างก็มี เช่น นายลักษมี มิตตาล จากอินเดีย ธุรกิจเหล็กกล้า ปรากฏว่า หลุดจาก 20 อันดับโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2547 เพราะหุ้นของบริษัทอาร์เซเลอร์มิตตาลของเขาตกลงไปอย่างมาก ทำให้รายได้หดหายไป 10,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขณะนี้เขาเหลือรายได้ 20,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนั้น จำนวนอภิมหาเศรษฐีจากประเทศจีน ก็ลดลงไปด้วยผลจากตลาดหุ้นในเอเชีย จากจำนวน 115 คนของปีที่แล้ว เหลือ 95 คนในปีนี้ แต่จำนวนอภิมหาเศรษฐีจากจีนกับรัสเซีย หากรวมกันแล้ว จะมีรายได้ถึงร้อยละ 16 ของรายได้ทั้งหมดของอภิมหาเศรษฐีโลก ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในทวีปยุโรปยังทำให้จำนวนอภิมหาเศรษฐีในทวีปเอเชีย-แปซิฟิก 315 คนนั้น มีจำนวนมากกว่าของทวีปยุโรป ซึ่งมี 310 คน

ส่วนอันดับ 3 ของอภิมหาเศรษฐีโลกก็ยังคงเป็นเจ้าของตำแหน่งเดิมของปีที่แล้ว คือนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักุรกิจด้านการลงทุนชาวอเมริกัน รายได้ 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยอันดับ 4 นายแบร์นาร์ด อาร์โนลต์ จากฝรั่งเศส รายได้ 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ อภิมหาเศรษฐีหน้าใหม่ใน 5 อันดับแรก จากประเทศสเปน นายอามันซิโอ ออร์เตก้า เจ้าของธุรกิจแฟชั่นซารา มีรายได้เพิ่มขึ้น 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว รายได้ทั้งหมดจึงอยู่ที่ 37,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 6 เป็นของนายแลร์รี่ เอลลิสัน จากสหรัฐ 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 7 นายไอค์ บาติสต้า จากบราซิล 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 8 นายสเตฟาน เพอร์สัน จากสวีเดน 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 9 นายหลี่ กา-ชิง จากฮ่องกง 25,500 ล้านดอลลาร์สหรับ และ อันดับ 10 เป็นของนายคาร์ล อัลเบรชต์ จากเยอรมนี 25,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในส่วนของประเทศไทย มีผู้ติดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก 5 คนด้วยกัน ประกอบด้วยนายธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 152 ของปีที่แล้ว อยู่ที่อันดับที่ 133 ทรัพย์สิน 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 210,000 ล้านบาท ตามมาด้วยนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มตราช้าง อันดับ 184 ทรัพย์สิน 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 165,000 ล้านบาท นายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลังกระทิงแดง อยู่อันดับที่ 205 ทรัพย์สิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 150,000 ล้านบาท อันดับที่ 683 นายอาลก โลเฮีย เจ้าของธุรกิจโพลิเอสเตอร์ ทรัพย์สิน 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 57,000 ล้านบาท และ นายกฤตย์ รัตนรักษ์ เจ้าของธุรกิจสถาบันการเงิน อันดับที่ 1,015 ทรัพย์สิน 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 36,000 ล้านบาท.
ที่มา เดลินิวส์





กองทุนทองคำ กองทอง..มองต่างมุม

กองทุนทองคำ กองทอง..มองต่างมุม
ในเดือนก.พ. 2555 ที่ผ่านมา เรื่องราวของ “กองทุนทองคำ” ที่อ้างอิงราคากับกองทุนแม่ใน “ตลาดหุ้นสิงคโปร์” นั้น ถือเป็น Talk of the Town ไปเลย หลังจากที่ “สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์” แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยผลวิจัยเรื่อง “ช่องโหว่กองทุนทองเปิดทองคำในไทย” ในวันที่ 13 ก.พ. 2555 ที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ที่ “ราคาปิด” ของกองทุนทองคำที่สิงคโปร์ในช่วงท้ายตลาดสูงกว่าราคาที่แท้จริงถึง 9.42%

ทำให้ “ผู้ซื้อ” กองทุนทองคำในไทยที่อ้างอิงราคากับกองทุนทองสิงคโปร์ในวันนั้น ต้องซื้อสูงกว่าที่ควรจะเป็น 9.42% ในทางตรงข้ามทำให้ “ผู้ขาย” ขายได้กำไรสูงกว่าที่ควรจะเป็นกว่า 9.42% เช่นเดียวกัน

จนนำสู่ข้อเสนอทางวิชาการแนะนำให้ใช้ “ราคาใหม่” แทน “ราคาปิด” ของกองทุนทองคำที่สิงคโปร์มาเพื่อคำนวณ "มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV)" ของกองทุนทองคำในไทยแทนเพื่อแก้ปัญหานี้

Fundamentals สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวของเหตุการณ์ ตลอดจนมุมมองของ “นักวิชาการ” และ “ผู้จัดการกองทุน” ที่อาจจะเห็นต่างแต่ไม่แตกแยกมาฝากกัน

................................


@ เหตุการณ์ 30 ธ.ค. 2554

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ดร.ชนวีร์ สุภัทรเกียรติ” นักวิจัยและอาจารย์ประจำสถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ บอกว่า ปัจจุบันมีกองทุนทองคำ 16 กองทุน ที่ไปลงทุนในกองทุนหลัก คือ “กองทุน SPDR Gold Trust (SPDR GLD 10 US$)” ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ โดยจะใช้ “ราคาปิด” ของกองทุนแม่ดังกล่าวในการคำนวณมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนในไทย โดยเหตุการณ์ในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 นั้น ราคาของกองทุนหลักมีการซื้อขายกันอยู่ในช่วง 151 - 152 ดอลลาร์สหรัฐ ตลอดทั้งวันจนถึงช่วงนาทีสุดท้ายก่อนปิดตลาดมีนักลงทุนไปเคาะซื้อที่ราคา 165.99 ดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 280 หุ้น ในช่วงท้ายตลาด จนทำให้ราคาปิดในวันนั้นกลับปิดสูงกระโดดขึ้นไปอยู่ที่ 165.99 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงผิดปกติไปถึง 9 - 10% ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็ยังซื้อขายในช่วง 151 - 152 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่ ซึ่งคิดเป็นเงินลงทุนประมาณกว่า 1 ล้านบาท เท่านั้น ก็ทำให้ราคาทองกระโดดขึ้นไปประมาณ 9 - 10% ดังกล่าว ทั้งที่ราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงเวลาดังกล่าวก็ไม่พบว่ามีราคาที่กระโดดขึ้นไปแต่ประการใด

ในวันเดียวกันนั้นกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนหลักในสิงคโปร์ก็ประกาศ “ราคาชี้แนะของกองทุน (iNAV)” ที่ 151.694 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณจากปริมาณทองคำที่กองทุนถืออยู่และราคาทองคำที่ซื้อขายกันในขณะนั้นของในตลาดทองคำโลกเพื่อจะสะท้อนถึงมูลค่าของกองทุนที่ควรจะเป็นในขณะนั้น ในขณะที่ราคาปิดในวันนั้นสูงกว่ามูลค่ากองทุนที่ควรจะเป็นไปถึง 9.42%

“เมื่อลองดูการเคลื่อนไหวของราคากองทุนหลัก SPDR Gold Trust ที่สิงคโปร์ย้อนหลังก็พบว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของราคามาแล้วในอดีตหลายครั้ง เช่น 2% หรือ 4% หรือในวันที่ 18 มี.ค. 2554 ราคาปิดสูงกว่า iNAV ประมาณ 5.17% และในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ปิดสูงไป 9.42% นั้น จากสภาพคล่องของกองทุนหลักที่มีไม่มากเพียงพอ ทำให้นักลงทุนใช้เงินลงทุนเพียงประมาณ 1 ล้านบาท สร้างราคาปิดที่สูงเกินจริงในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ได้ ซึ่งตรงนี้ก็ถือเป็นความเสี่ยงหนึ่งของกองทุนทองคำที่อ้างอิงราคากับกองทุนหลักในสิงคโปร์ และถือเป็นช่องโหว่ในการทำรายการได้เช่นกันเพราะอาจมีคนบางกลุ่มสร้างราคาเพื่อประโยชน์ของตัวเองได้เช่นกัน”

@ เชื่อเป็นช่องโหว่สร้างราคา

โดย ดร.ชนวีร์ มองว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นช่องโหว่ในการสร้างราคาปิดที่สิงคโปร์เพื่อประโยชน์ของนักลงทุนบางกลุ่มได้จริงด้วยสภาพคล่องของกองทุนทองคำที่สิงคโปร์เองที่มีสภาพคล่องไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดอื่น เช่น ฮ่องกง หรือ สหรัฐ

ตัวอย่าง หากนักลงทุนคนหนึ่งมีเงินทุนเพียงพอก็ “สั่งขาย” กองทุนทองคำในไทยก่อน แล้วก็ “ไปซื้อ” กองทุนทองคำที่สิงคโปร์ในช่วงใกล้ปิดตลาดเพื่อทำให้ “ราคาปิดสูงขึ้น” ผิดปกติ ก็จะทำให้ตัวเองสามารถขายกองทุนทองคำในไทยได้ในราคาที่สูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น หรือในทางตรงข้าม ถ้าจะซื้อกองทุนทองคำในไทยก็อาจจะ “สั่งซื้อ” กองทุนทองคำในไทยก่อน แล้วค่อย “ไปขาย” กองทุนทองคำที่สิงคโปร์ในช่วงท้ายตลาดเพื่อทำให้ “ราคาปิดต่ำกว่าปกติ” ซึ่งจะทำให้สามารถซื้อกองทุนในไทยในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นได้เช่นกัน ซึ่งการ “สร้างราคา” นี้ สามารถทำได้จริง ถ้ามีเงินทุนเพียงพอ

ถ้านักลงทุนคนหนึ่งอยากจะได้ราคาปิดที่ 96 ดอลลาร์สหรัฐ ก็ทำได้ โดยส่งคำสั่งซื้อที่ราคา 96 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นจำนวน 25,100 หุ้น คำสั่งขายที่ 91 - 95 ก็จะถูกจับแมทช์หมด แล้วมาปิดที่ 96 ดอลลาร์สหรัฐ หรือในทางตรงข้ามถ้าอยากได้ราคาปิดที่ 87 ดอลลาร์สหรัฐ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยการส่งคำสั่งขายที่ราคา 87 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นจำนวน 9,100 หุ้น คำสั่งซื้อที่ 90 - 88 ดอลลาร์สหรัฐก็จะถูกจับแมทช์หมดแล้ว มาปิดที่ราคา 87 ดอลลาร์สหรัฐ

“ดังนั้นจะเห็นว่าการที่ราคาปิดของกองทุนทองคำที่สิงคโปร์สามารถถูกบิดเบือนได้โดยง่ายนั้น ราคาปิดดังกล่าวจึงไม่ใช้ราคาตลาดที่เหมาะสมที่จะนำมาคำนวณ NAV ของกองทุนทองคำในไทยที่อ้างอิงกับกองทุนทองคำในสิงคโปร์แต่ประการใด เพราะว่าราคาปิดดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความสมดุลของความต้องการซื้อและความต้องการขายอย่างแท้จริง แต่ผลจากการสร้างราคาที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงไม่ใช่เป็นผลมาจากกลไกตลาด”

@ แนะใช้ราคาอื่นแทนราคาปิด

ดร.ชนวีร์ ยังบอกอีกว่า จากการรวบรวมข้อมูลเม็ดเงินลงทุนสุทธิที่เข้ามาลงทุนในกองทุนทองคำที่อ้างอิงราคากับกองทุนทองคำในสิงคโปร์ในวันที่ 30 ธ.ค. 2555 นั้น มีประมาณ 858 ล้านบาท โดยผู้ที่ซื้อกองทุนทองคำในวันนั้นต้องจ่ายซื้อในราคาที่สูงเกินจริงไปประมาณ 9.42% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 80 ล้านบาท ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “เงินที่ไม่ยุติธรรม (unfair amount)” ที่ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องเสียและเงินจำนวนนี้ต้องตกเป็นภาระของผู้ซื้อกองทุนทองคำในไทยไป ซึ่งเป็นผลจากการใช้เงินเพียงประมาณกว่า 1 ล้านบาท ในการทำราคาปิดดังกล่าวในวันนั้น นอกจากนี้ นักลงทุนเดิมก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อมีนักลงทุนขายกองทุนในราคาที่ปิดสูงผิดปกติแสดงว่าจะต้องนำเงินกองทุนไปให้กับนักลงทุนที่ขายหน่วยมากเกินความเป็นจริง ซึ่งในระยะยาวอาจจะส่งผลให้กองทุนมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าดัชนีเทียบวัด (benchmark) ได้เช่นกัน

“ดังนั้น หากยังไม่มีการแก้ไขกฎเกณฑ์ใดๆ ก็แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในกองทุนทองคำกองอื่นแทน หรือลงทุนในกองทุนอีทีเอฟทองคำ 4 กองในตลาดหุ้นไทยแทนไปก่อน เพราะสามารถเห็นราคาซื้อขายในขณะนั้นเลย (Real Time) โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เสนอแนะไป คือ การเปลี่ยนมาใช้ตัวเลขอื่นที่ไม่สามารถถูกบิดเบือนราคาได้ง่าย มากำหนดการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดทองคำที่อ้างอิงกับกองทุนหลักในสิงคโปร์แทน เช่น ใช้ราคาเฉลี่ยในช่วง 15 - 30 นาที สุดท้าย หรือ ราคา iNAV ของกองทุนทองคำสิงคโปร์ ณ ราคาปิดแทน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุด เพราะสาเหตุของปัญหา คือ การใช้ตัวเลขที่สามารถถูกบิดเบือนได้ง่ายมาเป็นตัวกำหนดราคาซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนทองคำในไทยนั่นเอง”

อย่างกรณีการใช้ราคาเฉลี่ย 15 - 30 นาทีสุดท้าย พบว่า สามารถทำได้ไม่ยุ่งยาก โดยใช้ข้อมูลของ Bloomberg แล้วใส่สูตร Bloomberg VWAP Function เข้าไปก็จะทำให้ได้ราคาเฉลี่ยในช่วง 15 - 30 นาทีสุดท้ายออกมาไม่ยุ่งยากแต่ประการใด ซึ่งจากการลองใช้ข้อมูลดังกล่าวในวันที่ 30 ธ.ค. 2554 ดู โดยใช้ราคาเฉลี่ย 15 - 30 นาที จะได้ราคาเฉลี่ยที่ 151.8701 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับราคา iNAV ของกองทุนที่ 151.694 ดอลลาร์สหรัฐ (ในขณะที่ราคาปิดในวันนั้นอยู่ที่ 165.99 ดอลลาร์สหรัฐ) แต่ปัญหาเท่าที่พบ คือ บลจ.บางแห่งอาจจะไม่มีข้อมูล Bloomberg เป็นต้น

“นอกจากนี้ยังอาจจะใช้มาตรการอื่นๆ มาช่วยในการแก้ไขปัญหาได้แม้ว่าจะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาโดยตรงก็ตาม เช่น การหักค่าถือครองระยะสั้น หากลงทุนในกองทุนน้อยกว่าช่วงเวลาที่กำหนด เช่น กองทุนทิสโก้ออยล์ฟันด์ ของ บลจ.ทิสโก้ จะหัก 0.5% หากนักลงทุนได้ลงทุนในกองทุนน้อยกว่า 90 วัน โดยจะเก็บเข้ากองทุนไป หรือ การหัก Exit Load ที่ขึ้นกับระยะเวลาการถือครอง เช่น กองทุนเปิดทองคำในอินเดียจะหัก 1.5 - 2.0% ถ้านักลงทุนมีการขายกองทุนก่อน 6 เดือน - 1 ปี ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนเพื่อทำราคาในตลาดสิงคโปร์ลงได้แม้จะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาโดยตรง ในกรณีของกองทุนทองคำในไทย ถ้าจะยังคงใช้ราคาปิดอ้างอิง คิดว่าการหักค่าถือครองระยะสั้น 0.5% ไม่น่าจะเพียงพอ อาจจะต้องเก็บที่ประมาณ 2.0% เป็นต้น”

@ ความเสี่ยงใหม่ของกองทองสิงคโปร์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ “สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล” นักวิเคราะห์กองทุนรวม บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) ยอมรับว่า เหตุการณ์ที่ราคาปิดของกองทุนทองคำหลักในสิงคโปร์มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกตินั้นถือเป็น “ความเสี่ยงใหม่” ที่เพิ่มเข้ามาของกองทุนทองคำในไทยที่อ้างอิงราคากับกองทุนหลักในตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพราะไม่มีใครรู้ว่าราคาจะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเมื่อไร หากในวันที่เราจะไปซื้อหน่วยแล้วเกิดราคาปิดกระโดดสูงขึ้นมาพอดีก็ต้องซื้อแพงไป หรือในวันที่จะขายเกิดราคาปิดปรับตัวต่ำกว่าปกติก็ต้องขายถูกไป แต่ในมุมกลับก็จะมีทั้งผู้ที่ “ได้ประโยชน์” และ “เสียประโยชน์” จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ดังนั้น นักลงทุนก็ต้องทำความเข้าใจไว้ด้วยว่ากองทุนทองคำที่อ้างอิงราคาจากกองทุนหลักในสิงคโปร์มีความเสี่ยงในเรื่องนี้เพิ่มเข้ามา โดยภาพรวมผู้ลงทุนที่ลงทุนอยู่เดิมก็ยังสามารถลงทุนต่อไปได้ และหากจะลงทุนเพิ่มก็ควรทำความเข้าใจประเด็นความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าวที่มีอยู่เพิ่มเข้ามาด้วยเช่นกัน ถ้าไม่แน่ใจในส่วนของเม็ดเงินลงทุนใหม่อาจจะพิจารณาไปลงทุนในกองทุนทองคำกองอื่นซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกอยู่มากมายเช่นกัน

“ปกติการคำนวณมูลค่า NAV ของกองทุน สามารถใช้ราคาได้ 2 ลักษณะ คือ 1) ราคาปิด และ 2) ราคาอื่นที่เหมาะสม ซึ่งกองทุนส่วนใหญ่รวมทั้งกองทุนทองคำเองก็จะใช้ราคาปิดในการคำนวณ NAV ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ราคาปิดในตลาดสิงคโปร์มีความผิดปกติเกิดขึ้น ทาง บลจ.ก็ต้องบันทึกไปตามราคาปิดนั้นด้วยซึ่งมองในแง่นี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถามว่าทำไมเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตลาดหุ้นสิงคโปร์อาจเพราะกองทุนทองคำที่ตลาดสิงคโปร์มีขนาดเล็กกว่าตลาดฮ่องกงหรือสหรัฐก็เป็นเหตุผลหนึ่ง และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกิด เพราะว่าบลจ.เป็นคนทำให้เกิด แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่จะทำให้กองทุนทองคำที่ไปอ้างอิงกับราคาทองคำในตลาดสิงคโปร์มีความเสี่ยงในเรื่องราคาปิดที่ผันผวนเพิ่มเข้ามาอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งด้วยเช่นกัน”

@ กองทุนคำนวณ NAV ตามมาตรฐาน

โดย “วรวรรณ ธาราภูมิ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ยืนยันว่า เกณฑ์การคำนวณ NAV ของกองทุนรวมที่อุตสาหกรรมใช้อยู่นั้นมีแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งอุตสาหกรรมและเป็นไปตามมาตรฐานบัญชีที่ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)” ประกาศกำหนดให้ทั้งอุตสาหกรรมกองทุนยึดถือปฏิบัติตามอยู่แล้ว นอกจากนี้สำนักงาน ก.ล.ต. กับสมาคม บลจ.ก็ได้มีการดำเนินการร่วมกัน 2 ฝ่ายในการพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มาก่อนแล้ว และ บลจ.ที่เกี่ยวข้องได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการคุ้มครองผู้ลงทุนโดยไม่ได้บกพร่อง โดยตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2555 บลจ.ได้ติดต่อไปยังตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งหน่วยลงทุน ETF GLD 10US$ (SPDR Gold Trust) จดทะเบียนอยู่และทางตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ได้ตอบกลับมาว่าอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ส่วนเรื่องการคำนวณ NAV ของกองทุนนั้น มีกฎกติกาที่เราจะต้องทำตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด คือ จะต้องใช้ราคาปิดตามมาตรฐานบัญชีทุกประการและเมื่อมาตรฐานบัญชีกำหนดให้กองทุนต้องใช้ “ราคาปิด” ของตลาดที่มีสภาพคล่องก็จำเป็นต้องใช้ราคานั้น ซึ่งตลาดสิงคโปร์ที่กองทุนทองคำจดทะเบียนซื้อขายนั้นก็เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องก็ต้องใช้ราคาปิดของตลาดนั้นตามกฎจะทำเป็นอื่นไปได้อย่างไร

“นอกจากนี้ เรื่องที่มีข้อสงสัยว่าอาจมีผู้ใดผู้หนึ่งที่ได้ประโยชน์จากเรื่องราคานั้น สมาคมบลจ.เชื่อโดยสุจริตใจว่าไม่มีบลจ.ใดไปแสวงหาประโยชน์ให้ตนเองหรือใครๆ ด้วยการกระทำเช่นนั้น และเรื่องนี้หากมีข้อสงสัยก็เชื่อมั่นว่าทางสำนักงาน ก.ล.ต. ก็พร้อมจะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการตรวจสอบอยู่แล้ว ทั้งนี้ทางสมาคม บลจ. กับ สำนักงาน ก.ล.ต. จะหารือร่วมกันต่อเนื่องถึงข้อดี ข้อเสีย เพื่อประเมินหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุดต่อไป”

@ กองทุนทั่วโลกใช้ราคาปิด คำนวณ NAV

โดย “ดารบุษป์ ปภาพจน์” รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย บอกว่า กองทุนทั่วโลกในปัจจุบันก็ใช้ราคาปิดในการคำนวณมูลค่า NAV และหากจะเปลี่ยนไปใช้ตัวเลขอื่นในการอ้างอิงก็คงแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วโลก ในส่วนของการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องยอมรับว่าราคาผิดปกตินี้เกิดขึ้นที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ และกองทุนทองคำที่อ้างอิงกองทุนทองคำที่สิงคโปร์เมื่อราคากองทุนหลักเคลื่อนไหวผิดปกติย่อมส่งให้ราคากองทุนทองคำในไทยเคลื่อนไหวผิดปกติด้วยแน่นอน เพราะเกือบ 100% ลงทุนในกองทุนทองคำเพียงกองเดียว แต่ไม่ใช่ว่ากองทุนอื่นในโลกจะไม่เจอการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ เพียงแต่กองทุนหลักเหล่านั้นอาจจะลงทุนในหลายกองทุนหรือหลายสินทรัพย์เท่านั้นเองแต่ไม่ใช่ว่ากองทุนอื่นในโลกไม่เจอปัญหาในลักษณะเช่นเดียวกันนี้

“ในส่วนของแนวทางในการหักค่าถือครองระยะสั้น 2% จากผู้ถือหน่วยลงทุน คิดว่าไม่ได้ตอบโจทย์อะไร เพราะหากมีใครสามารถสร้างราคาปิดได้เช่นนั้นจริง แค่สร้างราคาขึ้นไปได้ในระดับ 10% เขาจ่ายค่าถือครองระยะสั้นไป 2% ก็ยังได้กำไรอีก 8% ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากแต่ประการใด”

เช่นเดียวกับ “ธีรพันธ์ จิตตาลาน” กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟินันซ่า ที่มองว่า โดยปกติการใช้ “ราคาปิด” ในการคำนวณ NAV ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เพียงแต่กองทุนทองคำในสิงคโปร์อาจจะมีสภาพคล่องน้อยกว่าที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอื่นเท่านั้นเอง ในส่วนของราคาปิดอาจจะขอให้ทางตลาดหุ้นสิงคโปร์มีการคำนวณราคาใหม่ขึ้นมาให้ใช้ซึ่งประเทศเขามีการพัฒนาด้านการเงินมากและคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่จะทำในเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ราคาอ้างอิงจากตลาดหุ้นอื่นแทน เป็นต้น เพราะปัญหาในการสร้างราคานี้ไม่ได้เกิดที่ไทยแต่เกิดขึ้นที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ทาง บลจ.ไทย คงไปทำอะไรในส่วนนั้นไม่ได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ เป็นบางส่วนของมุมมองที่แตกต่างต่อกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับ “กองทุนทองคำ” ที่อ้างอิงราคาจากตลาดหุ้นสิงคโปร์ ซึ่งน่าจะช่วยให้นักลงทุนที่ลงทุนอยู่เดิมและกลุ่มนักลงทุนที่สนใจจะเข้ามาลงทุนใหม่ในกองทุนทองคำดังกล่าว มีความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากขึ้น ไม่มากก็น้อย เพื่อใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจลงทุนของตัวเองต่อไป
ที่มา http://money.impaqmsn.com/





วิธีใช้เงินทำงาน จะเศรษฐีหรือไม่..ก็ต้องใช้เงินให้เป็น

วิธีใช้เงินทำงาน จะเศรษฐีหรือไม่..ก็ต้องใช้เงินให้เป็น"ธีรศักดิ์ ประสิทธิ์รัตนพร" จะเศรษฐีหรือไม่..ก็ต้องใช้เงินให้เป็น


"ธีระมงคล อุตสาหกรรม" ถือว่าเป็นบริษัทผู้นำธุรกิจออกแบบ ผลิตและจัดจำหน่าย อุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่าง อุปกรณ์ควบคุม หลอดไฟ และโคมไฟ ภายใต้แบรนด์ "กาต้า" ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยหนึ่งในหัวหอกของบริษัทที่ปั้นธีระมงคลฯ ให้ก้าวขึ้นมาโดดเด่นในอุตสาหกรรมด้านนี้ คือ "ดร.ธีรศักดิ์ ประสิทธิ์รัตนพร"รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทธีระมงคล อุตสาหกรรม หนึ่งในสี่หนุ่มแห่งตระกูลประสิทธิ์รัตนพรที่เป็นแบ็คอัพให้บริษัทในด้านคอมพิวเตอร์ จัดซื้อ และคลังสินค้า

เรื่องธุรกิจค่อนข้างลงตัว ส่วนเรื่องเงินทอง ดร.ธีรศักดิ์ยังเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการให้ลงตัวอยู่ตลอดเวลา โดยทุกวันนี้เมื่อมีเงินเก็บสะสมเขาจะไม่ได้ปล่อยค้างไว้ในแบงก์ทั้งหมด เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะฝากไว้เพื่อกินดอกเบี้ยอัตราน้อยๆ จึงฝากไว้เพียงประมาณ 40-50%

"เดี๋ยวนี้แบงก์อยู่ในห้างหมดแล้ว วันอาทิตย์ผมก็ไปเดินห้าง ดูซิว่าใครให้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ มีเงินฝากพิเศษรึเปล่า แล้วถึงเลือกว่าจะฝากกับใคร แต่ก็ฝากไม่เยอะ เพราะดอกผลน้อย แต่จะไม่ฝากเลยก็ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยนี่คือช่องทางที่มั่นคงกว่าอย่างอื่น "

ส่วนเงินที่เหลือ เขาหาช่องทางลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากแบงก์ ทุกวันนี้กระจายลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และลงทุนในตลาดหุ้น

ดร.ธีรศักดิ์เริ่มจากเล่าถึงการลงทุนในทองคำก่อน ว่าเริ่มลงทุนมาได้ 3 ปีแล้ว ตอนนั้นราคาประมาณบาทละ 18,000 บาท แต่ยังไม่เคยลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ส เพราะความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลตอบแทนปีละประมาณ 10%กว่า ก็ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้เขายังตัดสินใจลงทุนในทองคำต่อไป

"ไม่รู้ว่าคนอื่นใช้วิธียังไง แต่ผมศึกษาจากราคาทองต่างประเทศ เช็คดูกราฟและค่าเงินด้วย ตัวเลขพวกนี้ทำให้พอคาดการณ์คร่าวๆ ได้ อาจจะมีเพี้ยนบ้างเล็กน้อยแต่ก็ได้ผล ต้องบอกว่าตอนนี้ผมก็ยังพอใจการลงทุนในทองอยู่"

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น เขาบอกว่า เมื่อเริ่มลงทุนก็อาจจะเหมือนกับอีกหลายคน คือเป็นการลงทุนตามคนอื่น ขาดทุนบ้างกำไรบ้าง แต่อย่างน้อยการลงทุนในหุ้นทำให้เขารู้ว่า คิดจะลงทุนในตลาดหุ้นต้องเป็นคนที่มีเวลามากพอ ถ้าไม่มีเวลาเราอาจเป็นแมงเม่าได้

"บางครั้ง รวมไปรวมมาอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าดอกเบี้ยฝาก ผมคิดว่าหุ้น ถ้าเราเล่นไม่ดี อาจจะได้น้อยกว่า หุ้นต้องนั่งไล่ไปรายวัน ผมไม่มีเวลาไปนั่งมอนิเตอร์ขนาดนี้ บางทีมาร์เก็ตติ้งบอกให้ขาย ผมขายไม่ทัน เพราะประชุมอยู่ เลยได้บทเรียนว่าถ้าคนไม่พร้อมเรื่องเวลา ไม่ควรลงทุน ต่อให้เป็นแวลูอินเวสเตอร์ลงทุนแล้วทิ้งปิดตาไปเลยก็เถอะ การจะเอาชนะตลาดได้ต้องมีเวลาให้กับมัน ต่อให้ลงระยะยาวถ้าเลือกหุ้นผิดตัวก็อาจจะขาดทุนได้ ผมคิดว่าบางทีลงทุนในหุ้นเหมือนมีแฟน ถ้าโทรมาเราไม่รับสาย ไม่มีเวลาให้ ความสัมพันธ์ก็ไม่ดี เราต้องมีเวลาศึกษาถึงจะรู้นิสัยใจคอของหุ้นตัวนี้ว่าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ประวัติเป็นยังไง แต่ผมคิดว่าถ้าไม่มีเวลามาลงทุนในหุ้น เสี่ยงเกินไป แต่ถ้าใครมีเวลาหุ้นเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีในลำดับต้นๆ เลยทีเดียว "

สำหรับการลงทุนในอสังหาฯ ดร.ธีรศักดิ์บอกว่าหลักการง่ายๆ ที่ใช้ลงทุนคือ "ถ้าเราอยากอยู่..คนอื่นก็อยากอยู่" หมายถึงใช้ความรู้สึกของตัวเองก่อนว่าทำเลแบบนี้ ชุมชนแบบนี้ ถ้าเป็นเราจะซื้อหรือไม่ ถ้าคิดว่าเรายังไม่ซื้อ ก็คงขายต่อยากเพราะคนอื่นก็คงไม่ซื้อเหมือนกัน

"ถ้าจะซื้อไว้เก็งกำไรก็ต้องเลือกทำเลที่อยู่แถวชุมชน ราคาไม่แพงจนเกินไป ต้องเป็นราคาที่คนสามารถซื้อต่อได้ง่าย เช่น 5 ล้านขึ้นไปอาจจะขายยาก แต่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมักจะปล่อยง่ายกว่า แต่ทั้งหมดต้องดูทำเลเป็นหลัก ดูว่าทำเลตรงนี้ถ้าเราอยากอยู่ ก็น่าจะขายง่าย แต่ถ้าเราดูแล้วเราเองยังไม่อยากอยู่ ก็อย่าซื้อเลย แต่ผมก็ดูองค์ประกอบหลายอย่างเช่นว่ามีกี่ห้อง ใต้ตึกมีอะไร หลังจากนี้ใครจะเป็นคนจัดการ มีชุมชนที่โอเคมั้ย ถ้ามีคนอาศัยเยอะ มีชุมชนก็ต้องเป็นชุมชนที่น่าอยู่ และถ้ามีชุมชนเดี๋ยวคนตามมาเอง จากนั้นก็ขายง่ายแล้ว"

ดร.ธีรศักดิ์บอกว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว ถ้ารีวิวดูการลงทุนทุกอย่าง ก็ต้องบอกว่าทั้งหุ้น ทอง อสังหาริมทรัพย์ ถามถึงความชอบ ก็ต้องบอกว่าชอบหุ้นที่สุด แต่ไม่มีเวลาลงทุน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะทองต้องใช้เวลานานในการทำกำไร ส่วนอสังหาริมทรัพย์ก็มีสภาพคล่องน้อย ง่ายสุดเร็วสุดในการทำกำไรก็คงต้องเป็นหุ้น

"แต่ไม่ว่าจะลงทุนอะไร ผมจำกัดเงินไว้เลย ว่าถ้าจะลงทุนจะมีเงินได้เท่านี้ ต่อให้มีจังหวะดีแค่ไหนผมไม่ลง ถ้าผมควบคุมตัวเองแบบนี้ได้ ก็บาดเจ็บไม่เยอะ อาจจะได้กำไรไม่เยอะ แต่ได้ผลตอบแทนตามที่เราคาดหวัง และคุ้มค่าความเสี่ยง ส่วนวิธีที่จะเอาชนะตลาดได้ ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวก็ช่วยได้ แต่สำคัญคือต้องรู้ว่าหน้าตักมีเท่าไหร่ และควรลงทุนเสี่ยงได้เท่าไหร่ รู้ว่าเรากำลังใช้เงินอย่างไร อย่างของผมจะแบ่งไว้เลยว่าไม่เสี่ยงกับเสี่ยงได้ครึ่งๆ หมายถึงว่ากรณีที่เสี่ยงเกิดพลาดท่าขาดทุน ผมยังเหลืออีก 50% ที่มีอยู่ในหน้าตัก ซึ่งทั้งหมดนี้ผมก็คิดว่าได้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 10% ก็โอเคแล้ว จริงๆ แล้ว เป็นคนกลางๆ ผมไม่อยากเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองมากเกิน ถึงแม้จะเสี่ยงได้ก็ตาม"

ทุกวันนี้ หลักการก่อนลงทุนทุกครั้ง เขาจะถามตัวเองว่าถ้าขาดทุนแล้ว รับได้มั้ย ถ้าได้ก็ลง แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ลง คนที่เล่นหุ้นแล้วมีปัญหาคือไม่เคยถามตัวเองเลยว่ายอมรับการผิดพลาดหรือขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน สมมติตอนแรกเศรษฐกิจดีแต่เกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้หุ้นเหลือ 20% รับได้มั้ย ถ้ารับได้ลุย ซึ่งเขายอมรับว่าบางทีก็รับได้บางทีก็รับไม่ได้

ส่วนในโหมดของการใช้จ่าย ดร.ธีรศักดิ์บอกว่าปกติครอบครัวเขาไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาแต่ไหนแต่ไร เพราะตั้งแต่เด็กพ่อแม่ก็สอนว่าจะต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง ยิ่งเดี๋ยวนี้ของแพงแม่ยังสอนอยู่ว่าใช้จ่ายอย่างประหยัด คนเราชีวิตไม่แน่นอน ต้องเตรียมเงินไว้รับมือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

"แม่เขาอยากให้ผมเก็บมากกว่า เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าวันหนึ่งมีอะไรเกิดขึ้นอาจเกิดปัญหา เราต้องเตรียมเงินไว้ ทุกวันนี้เมื่อมีรายได้มาก็เลยเน้นเก็บออม ผมจะจัดสรรวงเงินใช้จ่าย เดือนหนึ่งให้แม่ 30%ที่เหลือ 70% แบ่งเป็นเงินเก็บเข้าธนาคาร 25% เหลือ 40% ใช้จ่ายประจำเดือน ถ้าใช้เกิน ก็เลือกได้ว่าวันนี้จะกินในห้างหรือกินบะหมี่ข้างทาง ทุกอย่างจัดการได้ "

ดร.ธีรศักดิ์บอกว่าทุกวันนี้ยังคงเรียนรู้เรื่องเงินกันต่อไป และเมื่อมีโอกาสวันหนึ่งอาจจะไปลงทุนในสิ่งที่ยังไม่เคยลงทุน เช่นพวกสต็อก ฟิวเจอร์ส เพราะตอนนี้มีความสนใจ แต่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างดีพอ ส่วนเป้าหมายในอนาคตถึงจะเป็นเศรษฐีหรือไม่ก็ตาม แต่จะใช้เงินและลงทุนตามแนวทางนี้ต่อไป

"มีใครบ้างไม่อยากเป็นมหาเศรษฐี แต่ท้ายสุดจะเป็นเศรษฐีหรือไม่ ก็ต้องรู้จักใช้เงินให้เป็น ไม่ใช่มีแล้วใช้ลูกเดียว แต่ผมเชื่อว่าใครก็อยากเป็นเศรษฐีกันทั้งนั้น และผมก็เชื่ออีกว่า ถ้ามีความพยายามซะอย่างเป็นเศรษฐีกันได้ทุกคน" นั่นเป็นมุมมองของผู้บริหารหนุ่มแห่งธีระมงคล อุตสาหกรรม
ที่มา http://money.impaqmsn.com/





คลังบทความของบล็อก

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์