นางเอกร้อยล้าน "หนูนา" มองการณ์ไกล...สะสมที่ดินไว้เก็งกำไร

นางเอกร้อยล้าน "หนูนา" มองการณ์ไกล...สะสมที่ดินไว้เก็งกำไร
"หนูนา - หนึ่งธิดา โสภณ" ได้กลายเป็นนางเอกอย่างเต็มตัว หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง **กวน มึน โฮ **ล่าสุดความฝันของเธอก็เป็นจริงกับการออกอัลบั้มแรกอย่างเต็มตัวที่ชื่อว่า **หนูนา** และมาในวันนี้นอกจากเราจะร่วมพูดคุยกับเธอในเรื่องของผลงานล่าสุดแล้ว เธอยังเป็นอีกหนึ่งสาวที่รักการออมและให้ความสำคัญกับการออมเงินมาก ๆ เลยทีเดียว

หนูนา บอกว่า การออมเงินนั้นเริ่มรู้จักมาตั้งแต่เรียนหนังสือชั้นประถม เนื่องจากว่าที่โรงเรียนจะมีสหกรณ์อยู่แล้ว และจะให้นักเรียนทุกคนเปิดบัญชีกับทางโรงเรียนโดยสามารถฝากได้ทุกวัน แล้วแต่ว่าเราจะฝากเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวของหนูนาเองจะฝากตกวันละ 5 -20 บาท ส่วนที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ก็จะปลูกฝั่งเรื่องของการออมเงินให้กับเราอยู่แล้ว พอเงินเหลือจากโรงเรียนเราก็จะเก็บเงินสะสมไว้ พอเต็มกระปุกก็นำเงินนั้นไปเข้าบัญชีอีกทีหนึ่ง


สำหรับรายได้ในปัจจุบันที่เข้ามา "หนูนา" จะเก็บเข้าธนาคารส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะนำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินเก็บสะสมไว้ เพราะมันจะทำให้เรามีกำไรได้ในอนาคต เนื่องจากว่าที่ดินเป็นสิ่งจำเป็นและหลายคนก็ซื้อไว้เก็งกำไร นอกจากนี้แล้วการทำประกันชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญและเป็นการออมเงินได้ด้วยเช่นกัน เมื่อเรามีประกันชีวิตมันก็ทำให้เราอุ่นใจได้เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ในอนาคตอยากที่ลองลงทุนในทองคำบ้าง ซึ่งก็กำลังคิดอยู่เพราะทองคำเป็นของสิ่งหนึ่งที่ราคาเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและคิดอยู่กับครอบครัว

“เก็บออมเงินไว้ในตอนนี้มันจะช่วยฝึกให้เรามีนิสัยรักการออม และเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะเก็บไว้ในยามฉุกเฉินด้วย เพราะการออมเงินถือว่าเป็นการวางแผนให้กับอนาคตในวันข้างหน้าให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น อุ่นใจ ปลอดภัยสำหรับตัวเองและคนในครอบครัว”

นอกจากนี้ในอนาคต "หนูนา" ฝันไว้ว่า อยากจะมีธุรกิจส่วนตัวเป็นของตัวเอง ซึ่งเกี่ยวกับความสวยความงาม เช่นอาจจะเป็นร้านทำเล็บ เพราะส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบทำเล็บ และคุณแม่ก็ชอบ แต่ก็ต้องขอเก็บสตางค์ก่อน และในอนาคตน่าจะมีแนวโน้มในการเปิดกิจการนี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งอาชีพนอกเหนือจากงานด้านการแสดง
"หนูนา" บอกเพิ่มเติมอีกว่าเมื่อตอนอายุ 11-12 ปี "หนูนา" เริ่มเข้าวงการบันเทิงด้วยการเล่นละคร ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานครั้งแรก และเป็นการหารายได้ให้กับตัวเองเป็นครั้งแรกด้วย อีกทั้งยังทำให้ตัวเราเองมีความรับผิดชอบตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และรู้สึกว่าเราได้ประสบการณ์ในการทำงานมากกว่าเพื่อน ๆ ในช่วงอายุเดียวกัน ส่วนรายได้ที่เข้าในตอนนั้นคุณแม่จะเป็นคนจัดการให้ทั้งสิ้น คุณแม่จะเก็บไว้ให้หมด

"หนูนา เริ่มเข้าวงการบันเทิงด้วยการเล่นละครเรื่องแรก ลูกหลง ทางช่อง 7 แต่มาเป็นที่รู้จักจากการเล่นละครเรื่อง น้องใหม่ ร้ายบริสุทธิ์ ของช่อง 3 ด้วยการรับบทเป็นสาวแก่นอย่าง มะยม รวมทั้งยังมีผลงานโฆษณาและละคร ผ่านตาให้เห็นอีกหลายชิ้น จนกระทั่งได้มาเล่นภาพยนตร์เรื่อง กวน มึน โฮ ที่สร้างชื่อเสียงให้มากที่สุด"

สำหรับผลงานปัจจุบัน "หนูนา" กำลังมีอัลบั้มแรกชื่อ หนูนา และซิงเกิ้ลล่าสุดจากอัลบั้มแรกที่ใครหลายคนได้เห็นคือ เพลง Only You ที่ได้ "หมาก - ปริญ"มาเป็นพระเอกเช่นเคย ล่าสุดได้ปล่อยเพลง หายใจเข้าก็ยังรอหายใจออกก็ยังจำมาอีกหนึ่งเพลง นอกจากนี้ยังมีละครทางช่อง 9 เรื่อง "สี่รุ่นสี่วุ่นเดอะซีรีย์"ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 20.40 - 21.30 น. และละครเรื่อง "วิ้งเจ้าเสน่ห์" ทุกวันอาทิตย์ทางช่อง 3 เวลา 23.45 น.

"หลังจากก่อนหน้านี้ได้ส่งซิงเกิ้ลเพลงสนุก ๆ อย่าง ฮูลาฮูป ให้ได้รู้จักกันแล้ว ตามติดด้วยเพลงซึ้งกินใจOnly You ที่กลายเป็นเพลงฮิตร้องตามกันได้ทั่วบ้านทั่วเมืองขณะนี้ก็รู้สึกดีใจคะ ส่งผลให้ยอดดาวน์โหลดตอนนี้พุ่งกระฉูดติด 1 ใน 5 อันดับดาวน์โหลดทั่วประเทศ แถมยังทำสถิติยอดวิวในยูทูบชมมิวสิกวีดิโอ 1 วัน 1 แสน ติดต่อกันหลายสัปดาห์อีกด้วย ซึ่งหนูนารู้สึกดีใจมากคะ และต้องขอขอบคุณแฟน ๆ ที่คอยติดตามมาโดยตลอด"

สุดท้าย "หนูนา" ฝากบอกว่า อยากแนะนำให้หลาย ๆ คนเริ่มเก็บออม โดยอาจจะเริ่มจากง่าย ๆ ก่อน ด้วยการหยอดกระปุกออมสิน ซึ่งอาจจะนำเงินที่เป็นเศษเหลือจากค่าขนมหรือเศษสตางค์จากการซื้อของ เพื่อมาหยอดกระปุก ซึ่งเงินน้อยนิดตรงนี้จะทำให้เป็นเงินก้อนโตได้ และสามารถนำมาใช้ในยามฉุกเฉินได้

ชื่อ - นามสกุล หนึ่งธิดา โสภณ (หนูนา)
วันเดือนปีเกิด 8 พฤษภาคม 2535
การศึกษา ชั้นปีที่ 1 คณะศิลปกรรม สาขาการละคร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
งานปัจจุบัน อัลบั้มแรกชื่อ หนูนา
ละครทางช่อง 9 เรื่อง "สี่รุ่นสี่วุ่นเดอะซีรีย์"
ละครเรื่อง "วิ้งเจ้าเสน่ห์"

ความน่าสนใจของกองทุนรวมทองคำ

ความน่าสนใจของกองทุนรวมทองคำ
คอลัมน์ Design
โดย โครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในระยะเวลา 6-7 ปีที่ผ่านมา ด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กระแสการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงคือการซื้อทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ หรือ ลงทุนผ่านกองทุนรวมซึ่งในปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ได้ออกกองทุนรวมทองคำ (Gold Fund) ให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนมากมาย เพราะทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในยามที่สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ดูไม่น่าไว้วางใจ


โดยกองทุนรวมทองคำถือเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำ แต่อาจมีเงินลงทุนไม่มากพอที่จะซื้อทองคำแท่ง หรือ ต้องการที่จะลดภาระในการเก็บรักษาทองคำ อีกทั้งการลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนและลดความเสี่ยง

สำหรับกองทุนรวมทองคำทุกกองทุนในประเทศไทยนั้น นอกจากเป็นกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) แล้ว ยังมีการบริหารกองทุนแบบ Feeder Fund ทั้งหมด นั่นคือ บลจ.ที่ออกและเสนอขายหน่วยลงทุนจะรวบรวมเงินลงทุนของผู้ลงทุนไทยไปลงทุนต่อใน กองทุนรวมทองคำในต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง ที่เรียกว่า กองทุนหลัก หรือ Master Fund

โดยกองทุนรวมทองคำที่เสนอขายให้กับผู้ลงทุนไทยในวันนี้ ทุกกองทุนไปลงทุนในกองทุนหลักกองเดียวกัน นั่นคือ กองทุน SPDR Gold Shares ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภท Exchange Traded Fund (ETF) ที่มีนโยบายลงทุนในทองคำแท่งจริงๆ พูดง่ายๆ ถ้าผู้ลงทุนซื้อกองทุนรวมทองคำ ก็เหมือนกับว่าได้ทองคำแท่งจริงๆ ณ วันที่ซื้อ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ลงทุนต้องพิจารณาด้วยว่า กองทุน SPDR Gold Shares จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ใด เพราะปัจจุบัน กองทุน SPDR Gold Shares ได้ทำการจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์อยู่ถึง 4 ตลาดทั่วโลก ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค ตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ผู้ลงทุนควรนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย คือ เรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อ อัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมทองคำ เพราะในบางครั้งราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่เมื่อย้อนกลับมาดูที่มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมทองคำ กลับปรากฎว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ไม่ขยับขึ้นตาม อีกทั้งกองทุนรวมทองคำในบ้านเรามีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันอีกด้วย นั่นคือมีทั้ง กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 100%, กองทุนที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนบางส่วน และกองทุนที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเลย

การไปลงทุนที่ SPDR Gold Shares จดทะเบียนในแต่ละประเทศ และนโยบายเรื่องการป้องกันอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์




บันได 6 ขั้นสู่ความสำเร็จของเจ้าพ่อเฟซบุ๊ก

บันได 6 ขั้นสู่ความสำเร็จของเจ้าพ่อเฟซบุ๊ก โดย...คนชอบเล่า
ปรากฏการณ์เครือข่ายสังคมที่ชื่อว่า "เฟซบุ๊ก" ซี่งสร้างชื่อของผู้ก่อตั้งคือ "มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก" ให้โด่งดังตามมาภายในเวลาไม่กี่ปี โดยเฉพาะเมื่อภาพยนตร์ฟอร์มเล็กจากฮอลลีวู้ดเรื่อง "โซเชียล เน็ตเวิร์ก" ซึ่งดัดแปลงเรื่องราวของประวัติผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กมานำเสนอผ่านจอเงิน ได้สร้างกระแสให้นักแสดงเล็กๆ ที่รับบทตัวนำ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลใหญ่บนเวที "--------" ประชันกับนักแสดงรุ่นใหญ่
จนมาถึงล่าสุด เฟซบุ๊ก ภายใต้การนำของซีอีโอวัย 27 ปี ก็สร้างความคึกคักในรอบหลายปีให้กับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ด้วยการยื่นเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปผ่านตลาดหลักทรัพย์

กรณีศึกษาของอดีตนักศึกษาฮาร์ดวาร์ดรายนี้ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ "ประสบความสำเร็จ" ไปหมด ทำให้มีกูรูด้านผู้นำและธุรกิจหลายคน ให้ความสนใจทำการ "ถอดรหัส" ความสำเร็จของเขา และกลั่นกรองออกมาได้ 6 ข้อ


บันได 6 ขั้นสู่ความสำเร็จของเจ้าพ่อเฟซบุ๊กรายนี้ ประกอบด้วย ความทะเยอทะยาน วิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น การลงมือทำ โชค หรือที่เราเรียกกันว่า "ความเฮง" และจังหวะเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ดูๆ แล้วก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น แต่เราคงต้องมาแกะรหัสกันว่า แต่ละข้อต้องมีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษหรือไม่...โปรดติดตามกันได้ ณ บัดนาว
มาเริ่มต้นกันที่ ความทะเยอทะยาน (Ambition) ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานหลักที่จะก่อความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งหากอิงกับเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ "โซเชียล เน็ตเวิร์ก" แล้ว จะเห็นได้ชัดถึงสิ่งนี้ในตัวหนุ่มมาร์ค แม้ในขณะที่ยังเป็นมือปืนรับจ้างทำเว็บไซต์เครือข่ายสังคมให้เพื่อนเศรษฐีร่วมมหาวิทยาลัยก็ตาม
ข้อต่อมาคือ วิสัยทัศน์ (Vision) ซึ่งหากมองในแง่การปฏิวัติรูปแบบการสร้างความสัมพันธ์ของประชากรบนโลกออนไลน์แล้ว คงต้องยกเครดิตให้กับเว็บไซต์เครือข่ายสังคมรุ่นพี่อย่าง "มายสเปซ" แต่สิ่งที่เจ้าพ่อเฟซบุ๊กมองทะลุ ก็คือ การทำให้เฟซบุ๊กใช้งานง่าย เปรียบเสมือนสมุดรายนาม (directory) เป็นที่ต้องการใช้งานของทุกคน (people) โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิกหรือผู้ใช้งาน อยู่แล้ว (users) เท่านั้น ซึ่งนี่แหละคือ คำว่าเครือข่ายสังคมที่แท้จริง
สำหรับบันไดขั้นที่ 3 คือ ลงมือทำ (Execution) นั้น คงไม่ต้องอธิบายกันมาก หากได้ยินประโยคเด็ดของมาร์คที่ติดหูหลายๆ คนว่า "Stay Foucused, Keep Shipping" ซึ่งขอแปลอย่างง่ายๆ ว่า "ลุยไป อย่าได้ถอย" ซึ่งก็มาควบคู่กันกับ "ความมุ่งมั่น (determination)" ที่จะเดินหน้าทำสิ่งที่คิดว่า "ใช่" (แต่ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด) ซึ่งรวมถึงเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวของสมาชิกที่สมัครใจใข้งาน ซึ่งส่วนใหญ่แม้จะไม่พอใจ แต่ก็ยังคงเป็นประชากรเฟซบุ๊กต่อไป จนมีหลายคนในวงการพูดถึงเขาว่า "เป็นตัวอย่างที่เตือนความจำว่า การกล่าวขอโทษนั้น ง่ายกว่าการเอ่ยขออนุญาต"
ส่วนบันไดอีก 2 ขั้นที่เหลือ ก็คือ โชค (Luck) กับจังหวะเวลา (Timing) ซึ่งเป็น 2 ข้อที่ต้องแยกอย่างสิ้นเชิงจากบันได 4 ขั้นแรก เพราะเป็นปัจจัยจากภายนอก ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เปรียบเหมือนกับการ "วัดดวง" และคงจะเห็นภาพชัดขึ้นจากการพาไปย้อนอดีตวงการดอทคอมสักเล็กน้อย
คงยังจำกันได้ว่า กูเกิล ไม่ใช่เสิร์ชเอนจิ้นตัวแรกในโลก ยูทูบ ไม่ใช่เว็บไซต์แชร์วิดีโอรายแรก และที่แน่ๆ เฟซบุ๊ก ก็ไม่ใช่เครือข่ายสังคมออนไลน์แห่งแรก...แต่ทุกวันนี้ ทั้ง 3 ตัวอย่างที่เอ่ยมา คือเบอร์ 1 ในวงการของตัวเอง
..................................
(บันได 6 ขั้นสู่ความสำเร็จของเจ้าพ่อเฟซบุ๊ก โดย...คนชอบเล่า)
ที่มา คมชัดลึก

สร้างทั้งพอร์ตให้เป็นกองทุนรวม

สร้างทั้งพอร์ตให้เป็นกองทุนรวม
โดยโครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้มาเรียนรู้วิธีสร้างความมั่งคั่งด้วยวิธีนี้ได้ ด้วยการประดิษฐ์ “พอร์ตลงทุน” ของตัวเอง โดยใช้กองทุนรวมแต่ละประเภทเป็นเครื่องมือหรือสินทรัพย์ลงทุนกันไปแล้วซึ่งในสัปดาห์นี้ เรามาเรียนรู้ 2 ขั้นตอนหลัก การสร้างพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ ที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จในการลงทุน กันก่อนนะครับ

ขั้นที่ 1.สร้างเป้าหมาย สร้างนโยบายตามสไตล์ของคุณเอง
เพราะคนเราอยากมีเงินออมไว้ใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ในเวลาที่ไม่เหมือนกัน ในขณะที่เงินลงทุนก็มีปริมาณแตกต่างกัน ดังนั้น การออกแบบพอร์ต จึงต้องเริ่มจาก “แผนการลงทุน” ของแต่ละคนก่อน เช่น พอร์ตของคนทำงาน พอร์ตของคนโสด พอร์ตของคนสูงวัย ในขั้นตอนนี้ ถือว่าเป็นการสำรวจตัวเอง ว่าเรามีเป้าหมายทางการเงินอย่างไร มีรายได้ ภาระ หรือแผนชีวิตเช่นไร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ คือเงื่อนไขสำคัญเพื่อการกำหนดรูปแบบพอร์ตลงทุน ที่จะต้องสร้างผลตอบแทน ให้สนองตอบต่อแผนชีวิต เพราะอย่าลืมว่า “แผนชีวิต เป็นจริงได้ ใช้เงินทำ” อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่แล้วพอร์ตลงทุน มักมีรูปแบบนโยบาย ดังต่อไปนี้

- แบบปกป้องมั่นใจ-Capital Preservation : คือให้พอร์ตมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เน้นให้เงิน
ต้น หรือเงินลงทุนไม่สูญหาย ซึ่งการลงทุนแบบนี้ จะลดโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนสูงๆ เพราะต้องมีต้นทุนในการปกป้องเงินทุนไม่ให้หดหาย กองทุนรวมที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์แบบนี้ อาทิเช่น กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นต้น

- แบบสร้างรายได้ประจำ-Current Income : ด้วยวัตถุประสงค์ที่คุณอยากได้กระแสเงินสดรับ
หรือรายได้ที่แน่นอน อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นรายได้ประจำกลับมาใช้หมุนเวียน หรือมาลงทุนเพิ่ม กองทุนรวมที่ให้ดอกผลแบบนี้ ก็เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีการจ่ายเงินปันผล กองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เป็นต้น

- แบบเพิ่มค่าเงินทุน-Capital Appreciation : เพื่อให้เงินลงทุนมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มากกว่าเงินเริ่มลงทุนเริ่มต้น หรือเรียกอย่างง่ายๆ ว่า คุณมุ่งหวังให้ได้รับผลตอบแทนจำนวนมาก จากพอร์ตการลงทุน และสามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ โดยกองทุนรวมที่ตอบความต้องการแบบนี้ เช่น กองทุนรวมหุ้นสามัญที่เน้นลงทุนในกิจการที่เติบโต เป็นต้น อย่างไรก็ดี คนที่เลือกนโยบายพอร์ตแบบนี้ ต้องยอมรับว่า มีโอกาสทั้งได้ผลตอบแทนสูงและขาดทุนได้เช่นกัน

- แบบผลตอบแทนรวม-Total Return : เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี จากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ผสมผสานกันไป เพราะแต่ละรูปแบบกองทุนที่นำเงินไปลงทุน มีหลากหลายสินทรัพย์ ที่มีธรรมชาติของการเพิ่มค่า ความผันผวน ความมั่นคง ที่แตกต่างจากกัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือเน้นให้มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ โดยกองทุนรวมที่อยู่ในพอร์ตของคุณอาจเป็น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น

ขั้นที่ 2.สร้างความรู้ ดูทางเลือก
เมื่อมีแผนการลงทุนของตัวเอง เลือกวัตถุประสงค์ และนโยบายการลงทุนของตนเองได้แล้ว ในขั้นตอนต่อไป เราต้องเตรียมความรู้ให้กับตัวเองเพิ่มเติม โดยสำรวจและวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมการลงทุน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสร้างพอร์ตการลงทุนของเรา อาทิเช่น

สำรวจช่องทาง ตัวเลือกการลงทุน : เพราะสมัยนี้เป็นยุคของผู้บริโภคที่สามารถเลือกการลงทุนได้หลากหลายรูปแบบ คล้ายๆ กับการสั่งตัดเสื้อผ้า เพราะความหลากหลายของสินค้าก็ดี บริการทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การซื้อขายหน่วยลงทุน ทั้งช่องทางปกติที่มีอยู่ตามเคาน์เตอร์ธนาคารพาณิชย์ บริษัหหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ซึ่งมีถึง 21 แห่ง หรือแม้กระทั่งโบรเกอร์ก็ยังให้บริการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม หรือการให้บริการทางการเงิน ผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ

ในขณะที่ กองทุนรวมก็มีหลากหลายนโยบาย ทั้งลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ในทองคำ หรือในน้ำมัน ซึ่งมีผลตอบแทนและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ขั้นตอนนี้ จึงถือว่าสำคัญมาก เพราะอย่างน้อยเราต้องเข้าใจธรรมชาติพื้นฐานของสินทรัพย์ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน นำเงินไปลงทุน ว่าให้ผลตอบแทนและมีความเสี่ยงเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถศึกษาหาข้อมูลได้ที่ www.thaimutualfundnews.com www.aimc.or.th หรือ website ของบริษัทจัดการทั้ง 21 แห่ง รวมถึงหนังสือชี้ชวนลงทุนของแต่ละกองทุนด้วย

ประเมินภาวะตลาด : อีกปัจจัยที่ต้องลงมือทำความเข้าใจ คือการศึกษาถึงสภาพเศรษฐกิจ ทั้งในระดับใหญ่หรือมหภาค และระดับย่อยคือจุลภาค ที่รายล้อมการลงทุนอยู่ เพื่อให้เราทราบว่าเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมระดับโลกและระดับประเทศเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคตด้วย เพราะตัวแปรทางเศรษฐกิจ บางตัวก็ส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่จะเป็นผลกระทบเชิงบวกหรือเชิงลบ ก็ต้องพิจารณาในรายละเอียดกันต่อไป แต่บางตัวแปรอาจส่งผลกระทบกับบางธุรกิจเท่านั้น เช่น เมื่อเกิดสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นขึ้น ธุรกิจส่วนมากได้รับผลกระทบในทางลบ เช่นกลุ่มยานยนต์ต้องหยุดผลิตชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันอาจเป็นผลดีกับบางธุรกิจเช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาจจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สามารถส่งออกอาหารไปยังญี่ปุ่นได้มากขึ้น เป็นต้น ดังนั้น ภาพรวมของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่มีผลกระทบต่อผลประกอบการของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่เราต้องเรียนรู้และติดตาม เพื่อประเมินความเสี่ยงและพยากรณ์อัตราผลตอบแทนที่น่าจเกิดขึ้นและควรได้รับ โดยอาจอาศัยเครื่องมือต่างๆ ในการประเมินภาวะตลาด เช่น ความเห็นของเสียงข้างมาก หรือ ตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาค (อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, การเติบโตของ GDP) เป็นต้น

ในสัปดาห์หน้ามาพบกับ 2 ขั้นตอนสุดท้าย ในการทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณ ก็จะออกดอกออกผลได้ตามแผนที่วางไว้ กันนะครับ
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



ช่องทางสร้างอาชีพ ร้าน"กาแฟนอกบ้าน"ดื่มจิบกาแฟในบรรยากาศย้อนยุค

ช่องทางสร้างอาชีพ ร้าน"กาแฟนอกบ้าน"ดื่มจิบกาแฟในบรรยากาศย้อนยุค
"ใครไม่ชื่นชอบของเก่า คงก้าวเข้ามาจับธุรกิจกาแฟนอกบ้าน ไม่ได้ เพราะสิ่งนี้ถือเป็นจุดยืนของร้าน ฉะนั้น การตกแต่ง ข้าวของทุกรายการ จะเข้าไปดูแลพร้อมเสร็จ แม้กระทั่งผ้าเช็ดมือ ยังเตรียมไว้ให้"


เย็นวันศุกร์ ที่ตลาดนัดรถไฟ พ่อค้าแม่ขาย กำลังสาละวนวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมร้าน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะแบกะดิน สำหรับสินค้านำมาจำหน่ายหลากหลายรายการ ทั้งของกินของใช้ ไปจนกระทั่งของสะสม ตกแต่งบ้าน

เดินทอดน่องมองความเป็นไปของตลาดนัดแห่งนี้ จนเกือบล่วงเลยเวลานัดหมาย จึงสาวเท้าเข้าไปอิงกาย ถือโอกาสพักเหนื่อย บนเก้าอี้ไม้ตัวเก่า ภายในร้าน "กาแฟนอกบ้าน"

เมนูครบสูตร (บ๊วย+น้ำผึ้ง+มะนาว+โซดา) ที่สั่งไปก่อนหน้านี้ ถูกวางลงตรงหน้า กลิ่นหอมของมะนาวคั้นสดผสมบ๊วย บวก น้ำผึ้งอ่อนๆ เตะจมูก ส่วนรสนั้นไม่ต้องพูดถึง อร่อยจนหายล้า

ชอบกาแฟ รักของเก่านำเข้ามารวมไว้ด้วยกัน

คุณเกณิกา อมาตยกุล หรือ คุณเจี๊ยบ ในชุดผ้าฝ้ายสีสบายตา คือหญิงสาวเจ้าของร้าน กาแฟนอกบ้าน ที่ได้นัดหมายไว้ และบัดนี้เธอพร้อมแล้วกับการเล่าเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของธุรกิจ

การแต่งร้าน เลือกหยิบเฉพาะของเก่ามาจัดวาง สร้างบรรยากาศย้อนกลับสู่อดีตให้ผู้เข้ามาเยือนได้มีเรื่องเล่า ซึ่งไอเดียนี้เกิดจากความชื่นชอบของเก่าของคุณเกณิกา จึงเสาะหามาสะสมไว้มากมาย จวบจนต่อมาเริ่มนำของเก่าบางชิ้นออกจำหน่าย กลายเป็นอาชีพที่ดำเนินการมานานหลายปี

"ซื้อขายของเก่าประมาณ 5-6 ปี ตอนนั้นคลุกคลี รู้จักคนในวงการเดียวกัน จนกระทั่งวันหนึ่งคิดสร้างร้านกาแฟ โดยนำของเก่ามาตกแต่ง"

ต่อเมื่อถามถึงเหตุผล ว่าทำไมจึงนึกถึงร้านกาแฟขึ้นมา คุณเกณิกา ตอบเปื้อนยิ้มว่า "พี่ชอบดื่มกาแฟ พอๆ กับชอบของเก่า"

แม้จะชื่นชอบกาแฟ แต่กับกระบวนการปรุงรสก็ไม่ได้เชี่ยวชาญนัก อีกทั้งองค์ความรู้เรื่องการบริหารจัดการไม่มี แต่กระนั้น คุณเกณิกา ว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้

"อาศัยครูพักลักจำ และครูคนนั้นคือพ่อค้าขายกาแฟรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง วันนั้นสั่งกาแฟเย็น แล้วยืนดู พอวันรุ่งขึ้นซื้ออุปกรณ์ทดลองทำแจกให้ข้างบ้านชิม ถัดมาอีกวันเปิดขายเลย โดยตระเวนไปตามตลาดนัด ซึ่งตอนนั้นมีประมาณ 5 เมนู ได้แก่ กาแฟเย็น โอเลี้ยง ชาดำเย็น ชาเย็น ชามะนาว ซึ่งเมนูนอกเหนือจากกาแฟ ก็อาศัยเป็นคนช่างสังเกต เวลาสั่งซื้อก็จะดูๆ ไว้ แล้วก็มาปรับให้เป็นสูตรของตัวเอง"

กรรมวิธีการชงกาแฟ คุณเจี๊ยบใช้วิธีชงแบบโบราณ ผ่านถุงชง แต่วัตถุดิบในส่วนของกาแฟ เป็นกาแฟสดผ่านการคั่วบด จึงให้กลิ่นหอม รสกลมกล่อม

ยอดขายกว่า 500 แก้ว อยากกินอะไร ขายแบบนั้น

ต่อมาทราบข่าวว่าตลาดนัดรถไฟ เปิดให้จับจองพื้นที่จำหน่ายสินค้า คุณเกณิกาจึงตัดสินใจเช่าพื้นที่บนลานขายสินค้า กระทั่งยอดขายเติบโต มีแนวโน้มดี จึงขยับสู่การเปิดร้าน มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้บริการลูกค้าราว 19 ชุด สามารถรองรับลูกค้าได้ประมาณ 80 คน

"ตอนอยู่ลานค้าขาย ต้องขนอุปกรณ์จัดตั้งร้านทุกวัน คนเดียวเริ่มไม่ไหว ยกข้าวของแต่ละครั้งหนักมาก จึงคิดว่าถึงเวลาขยับขยายเช่าพื้นที่ใหม่เพื่อสร้างร้าน โดยเสียค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาท เปิดดำเนินการได้ทุกวัน แต่เพราะตลาดนัดรถไฟเปิดเฉพาะศุกร์-อาทิตย์ จำนวนคนในวันอื่นจึงน้อย ร้านกาแฟนอกบ้าน จึงเลือกบริการวันเดียวกับที่ตลาดเปิด ส่วนเวลาก็ประมาณบ่าย 3 โมง ไปจนถึงเที่ยงคืน"

จาก 5 เมนู ขยับเป็น 30 กว่าเมนู และที่ได้รับความนิยมยังคงเป็นรายการกาแฟ และไล่ตามมาติดๆ ได้แก่ เมนูครบสูตร (บ๊วย+น้ำผึ้ง+มะนาว+โซดา) ที่สามารถเรียกลูกค้าให้เข้ามาลิ้มรสไม่ขาดช่วง

"จริงๆ แล้วทุกเมนูมีแฟนประจำอยู่ แต่ถ้าเป็นลูกค้าใหม่ทางร้านจะแนะนำ เมนูครบสูตร ซึ่งทางร้านให้ความสำคัญกับวัตถุดิบมาก อย่างน้ำมะนาว ต้องคั้นจากมะนาวแป้นผลสด ของบ้านแพ้ว โดยหาซื้อได้ที่ตลาดไท ซึ่งดิฉันเดินทางไปคัดเลือกเอง กระสอบหนึ่งมี 400 ลูก คัดแล้วได้ผลเหมาะนำมาทำน้ำมะนาว เพียง 100 ลูก เท่านั้น"

คุณเกณิกา ยังกล่าวถึงคุณสมบัติของมะนาวที่ดี ต้องมีเปลือกบาง เพราะเวลาบีบน้ำจะไม่ติดรสขม น้ำมาก และเมื่อซื้อมาแล้วหากพบลูกไหนมีตำหนิ แม้เพียงนิดเดียว จะโยนทิ้งทันที เพราะถ้าลูกค้าดื่มแล้วเกิดท้องเสีย ค่ายาย่อมแพงกว่าค่าเครื่องดื่ม

ผู้ประกอบการคนขยัน ยังกล่าวถึงวิธีทำให้สินค้าติดตลาด ว่าต้องมองตัวเองก่อน ว่าอยากดื่มเครื่องดื่มแบบไหน รสชาติอย่างไร จากนั้นทำสิ่งที่ตนเองชื่นชอบเสิร์ฟลูกค้า "ที่ร้านใช้วัตถุดิบทุกรายการคุณภาพดีหมด คือลูกค้ามาเห็นแล้วไม่ปฏิเสธ"

จากเริ่มต้น คุณเกณิกาเลือกเป็นมือชงเอง แต่ปัจจุบันยอดขายต่อวันกว่า 500 แก้ว สองมือคงมิอาจทำทัน จึงจัดจ้างพนักงานเข้ามาช่วย โดยแบ่งเป็นแผนกชงและบริการลูกค้า รวมทั้งสิ้น 7 คน กับค่าแรงเริ่มต้นพนักงานเสิร์ฟ 300 บาท

"เมื่อก่อนชงเองขายเอง มาตอนนี้ต้องถ่ายทอดความรู้ให้กับพนักงาน โดยสอนเทคนิคการชงให้หมดไส้หมดพุง แต่ในส่วนของวัตถุดิบต้องมีปิดไว้เป็นความลับหลายตัว ฉะนั้น การตระเตรียมในส่วนนี้จะดำเนินการเอง"

เปิดแฟรนไชส์ขายมาตรฐาน

สังเกตเห็นพนักงานภายในร้านทุกคนเป็นผู้ชาย ต่อเมื่อถามถึงเหตุผล คุณเกณิกายิ้ม ก่อนตอบว่า ผู้ชายไม่เป็นนกหงส์หยก นั่นหมายความว่าผู้ชายไม่ติดความสวยเท่าผู้หญิง เวลาทำงานจึงทำได้เต็มที่ อีกทั้งลักษณะการทำงานต้อง จัด-เก็บ ร้าน อันถือเป็นงานหนัก และสำคัญคือความปลอดภัย เนื่องจากร้านกาแฟนอกบ้านปิดให้บริการเวลาเที่ยงคืน จึงเกรงว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะเกิดอันตรายระหว่างเดินทางกลับ

นอกจากเมนูเครื่องดื่ม ภายในร้านยังมีรายการอาหารควบคู่ อย่าง ขนมปังปิ้งหน้าเนยสด เนยถั่ว ช็อกโกแลต และแยมผลไม้ ในราคาขายแผ่นละ 20 บาท ซึ่งคุณเจี๊ยบยังคงกล้าการันตีคุณภาพและความอร่อย

ด้วยสถานที่และเวลาเปิดดำเนินการ ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายหลักของร้านกาแฟนอกบ้าน เป็นกลุ่มวัยทำงาน และวัยรุ่น รวมแล้วราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่กับเมนูมีไว้บริการนั้นครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

จากการคัดสรรวัตถุดิบ ตลอดจนให้ความสำคัญกับรสชาติ และอีกหนึ่งแรงดึงดูดใจคือการตกแต่งร้านที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีต จึงมีผู้สนใจติดต่อขอซื้อสิทธิ์ไปสร้างธุรกิจเป็นของตนเอง

"ลูกค้าที่เข้ามานั่งทานประจำ ติดใจในรสชาติ นานวันก็ติดต่อขอซื้อสิทธิ์ จนทำให้คิดขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ แต่ต้องบอกตามตรงว่าไม่รีบร้อน เพราะสิ่งที่กาแฟนอกบ้านต้องการคือคุณภาพที่ต้องได้มาตรฐานเดียวกัน"

คุณเกณิกา อธิบายต่อถึงรูปแบบแฟรนไชส์ว่า ต้องมีสไตล์การตกแต่งร้านด้วยของเก่า มองแล้วรู้ว่าเป็นกาแฟนอกบ้าน ส่วนเมนู และรสชาติ เป็นไปตามต้นฉบับ

"ใครไม่ชื่นชอบของเก่า คงก้าวเข้ามาจับธุรกิจกาแฟนอกบ้าน ไม่ได้ เพราะสิ่งนี้ถือเป็นจุดยืนของร้าน ฉะนั้น การตกแต่งร้าน ข้าวของทุกรายการ จะเข้าไปดูแลพร้อมเสร็จ แม้กระทั่งผ้าเช็ดมือ ยังเตรียมไว้ให้ เรียกว่าก้าวเข้าไปแต่ตัว ก็ลงมือขายได้เลย"

ต่อเมื่อถามถึงค่าแฟรนไชส์ คุณเกณิกา ว่า เบ็ดเสร็จรวมตกแต่งร้านและอุปกรณ์พร้อมขาย กับขนาดพื้นที่รองรับลูกค้านั่งดื่ม 2-3 โต๊ะ ราว 200,000 บาท แต่ถ้าต้องการรูปแบบร้านขนาดเดียวกับต้นแบบ คาดว่าเงินลงทุนประมาณ 350,000 บาท

"ราคาขึ้นอยู่กับข้าวของนำมาตกแต่งร้านด้วย ซึ่งของเก่าราคาไม่แน่นอน ถึงได้บอกว่าถ้าจะก้าวเข้ามาเป็นแฟรนไชซี ต้องมีใจรักของเก่าจริง จะได้สื่อสารเป็นที่เข้าใจในทิศทางเดียวกัน"

รักจริง เดินเข้ามาถึงเวลาก้าวพร้อมกัน

สำหรับการขยับขยายสาขาด้วยระบบแบบแฟรนไชส์ ปัจจุบันมี 1 สาขา ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านสัมมากร สุขาภิบาล 3 ซึ่งผลตอบรับถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี

"เรื่องแฟรนไชส์คงไม่ได้เน้นขยายมากนัก เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าการทำแฟรนไชส์ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพ ต้องดูแลให้ทั่วถึง มันเหมือนบูมเมอแรงที่สะท้อนกลับมาสู่เจ้าของแฟรนไชส์ แต่ถ้ามีใจรักจริง ก็ยินดีที่จะก้าวไปด้วยกัน ส่วนเรื่องการฝึกปรือฝีมือ ขอเข้มงวด เรียกว่าถ้าไม่เก่งจริง ไม่ปล่อย"

คุณเกณิกา ยังบอกเล่าถึงอายุสัญญาแฟรนไชส์กำหนดไว้ปีต่อปี โดยค่าต่อสัญญาใหม่ 20,000 บาท สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ โดยไม่จำกัดจังหวัดเปิดให้บริการ

"ข้อตกลงเรื่องวัตถุดิบมีอยู่ว่า ต้องซื้อ กาแฟ ชาแดง ชาเขียว ชาจีน บ๊วย คาราเมล จากเจ้าของแฟรนไชส์ ส่วนวัตถุดิบอื่นสามารถซื้อจากตลาด หรือห้างร้านใกล้ๆ ได้ แต่ต้องเป็นยี่ห้อกำหนดเท่านั้น ซึ่งจะอาศัยการสุ่มตรวจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพและรสชาติ"

คุณเกณิกา ยังแนะนำทำเลเหมาะกับการตั้งร้านจำหน่ายเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า ต้องเป็นทำเลสัญจร มีคนเดินจำนวนมาก "ถ้าเป็นทำเลรถผ่าน โอกาสเห็นร้านและแวะเข้ามาลิ้มรสค่อนข้างน้อยมาก แต่ถ้าเป็นทำเลคนเดิน เขาใช้เวลานานกว่าจะผ่านร้านไป ระยะเวลามองเห็นก็นานตามไปด้วย เชื่อเถอะว่าต้องมีหลงเข้ามาชิม"

แต่จะทำอย่างไรให้ติดใจแล้วกลับมาซื้อใหม่นั้น นอกจากรสอร่อยแล้ว บริการต้องดีด้วย "การบริการมองข้ามไม่ได้เลย อย่างวันก่อนมีลูกค้าเดินเข้ามา 2 คน เขาเปิดรายการสินค้า แล้วติ๊กไปที่โอยัวะ ซึ่งทางร้านวงเล็บไว้แล้วว่าคือ กาแฟดำร้อน เมื่อพนักงานยกมาเสิร์ฟ ลูกค้าขอน้ำแข็ง เพราะเจตนาเขาต้องการดื่มโอเลี้ยง ดิฉันก็บอกพนักงานให้นำโอยัวะกลับคืนมาแล้วทำโอเลี้ยงเปลี่ยนให้ลูกค้า ถ้ามองตามจริงไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะลูกค้าเป็นคนสั่งผิด แต่ดิฉันไม่อยากให้ลูกค้าเสียความรู้สึก กาแฟนอกบ้าน ยึดหลักว่า เสียของดีกว่าเสียลูกค้า"

คุณเกณิกายังฝากถึงผู้ทำธุรกิจด้านอาหารการกินว่า คุณภาพและบริการต้องมาก่อน ซึ่งถ้าทำ 2 สิ่งนี้ดีแล้ว การกลับมาซื้อซ้ำย่อมเกิดขึ้น ซึ่งกับการกลับมานี้ คุณเกณิกามองว่า คือ "กำไร"

ผู้ชื่นชอบรสกาแฟ ทั้งยังชื่นชมของเก่า เดินทางไปได้ที่ร้าน กาแฟนอกบ้าน ตั้งอยู่ภายในตลาดนัดรถไฟ โทรศัพท์ (088) 492-1286

ข้อมูลจำเพาะ
กิจการ จำหน่ายกาแฟ และเครื่องดื่ม
ชื่อกิจการ กาแฟนอกบ้าน
ชื่อผู้ประกอบการ คุณเกณิกา อมาตยกุล
สินค้า กาแฟ และเครื่องดื่ม
เงินลงทุน หลักแสนบาท
เงินลงทุนค่าอุปกรณ์ หลักหมื่น
วัตถุดิบ กาแฟ บ๊วย นม มะนาวสด คาราเมล น้ำผึ้ง เป็นต้น

รูปแบบการขาย ปลีก
การขยายสาขา ระบบแฟรนไชส์ และมีโครงการขยายสาขาเอง
ค่าแฟรนไชส์ เริ่มต้น 200,000 บาท
ทำเลเหมาะ คนสัญจรทางเท้าหนาแน่น ตลาดนัด
ราคาขาย 20-40 บาท
กำไร แก้วละประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์
กลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ วัยรุ่น วัยทำงาน
จุดเด่น คุณภาพที่คัดสรรตั้งแต่วัตถุดิบ ให้ความสำคัญกับรสชาติ และการจัดตกแต่งร้านด้วยของเก่า
สถานที่ตั้งร้าน ตลาดนัดรถไฟ
วันและเวลาเปิดบริการ ศุกร์-อาทิตย์ เวลา 15.00-24.00 น.
ที่มา มติชน



แบงก์ออกหุ้นกู้เลี่ยงจ่ายต๋ง แย่งเงินในตลาด

แบงก์ออกหุ้นกู้เลี่ยงจ่ายต๋ง แย่งเงินในตลาด
ความพยายามในการแก้ปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่มีกว่า 1.14 ล้านล้านบาท โดยการโอนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาล ที่ต้องนำเงินงบประมาณส่วนหนึ่งไปใช้ในการคืนหนี้ ซึ่งขณะนี้ผ่านพ.ร.ก.แก้ไขหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ไปแล้ว


แต่ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯมากน้อยแค่ไหน และความเหลื่อมล้ำระหว่างธนาคารเอกชน กับธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ยังคงเป็นประเด็นถกเถียง และยังไร้ข้อยุติ...

ว่าท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารพาณิชย์เอกชนต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน จากปัจจุบันต้องส่งเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากในสัดส่วน 0.4% ของเงินฝาก

แถมยังถูกบีบด้วยมาตรการคุมเข้มการออกตั๋วแลกเงิน (บีอี) ที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม และต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จากเดิมที่การออกตั๋วบีอี เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการระดมทุนของธนาคารพาณิชย์เอกชน ที่ทำได้ และต้นทุนต่ำ เพราะไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ

ความไม่ชัดเจนที่เกิดขึ้น...ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการเลี่ยงจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ โดยล่าสุด 2 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อย่างธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ใช้รูปแบบการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งมีอายุยาวถึง 10 ปี เสนออัตราดอกเบี้ย 4.50% และจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อย

โดยธนาคารไทยพาณิชย์เปิดขายระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 17-23 ก.พ. ขณะที่ธนาคารกสิกรไทย ขายระหว่างวันที่ 6-14 ก.พ. โดยมีเงื่อนไขธนาคารสามารถไถ่ถอนได้ก่อนกำหนด

ขณะที่มีรายงานว่า ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ก็มีแนวคิดออกหุ้นกู้เช่นเดียวกัน โดยอยู่ระหว่างการให้สถาบันจัดอันดับเรทติ้งส์ พิจารณาเครดิตเรทติ้งส์

ขณะที่ความพยายามเจรจาระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ยังไร้ข้อสรุปว่า ท้ายที่สุดแล้วจะต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเพิ่มขึ้นในอัตรามากน้อยแค่ไหน...

โดย ธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในการหารือกับธปท.วานนี้ (2 ก.พ.) เป็นการพูดคุยจากตัวเลขว่าหากเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราใดจะใช้เวลากี่ปีถึงจะหมด แต่ยังไม่มีข้อสรุปใด ๆ ตราบใดที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าธนาคารัฐจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเงินฝากด้วยหรือไม่ เนื่องจากเงินฝากจะไหลไปอยู่กับธนาคารเฉพาะกิจมากขึ้น ซึ่งจะกระทบกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ได้หากฐานเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ ทางสมาคมธนาคารไทยคงต้องเข้าหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อชี้แจ้งผลกระทบดังกล่าวให้เข้าในอีกครั้งหนึ่ง

"วันนี้ก็ยังไม่ได้ข้อยุติอะไร เพราะการจัดเก็บเงินค่าธรรมนียมดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามสมมติฐาน เมื่อฐานเงินฝากไม่ได้โตอย่างที่คิด เช่น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเงินฝากโยกไปอยู่กับแบงก์รัฐโดยเงินฝากของธนาคารออมสินเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนล้านบาท จึงอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ 25 ปีตามที่คิดไว้ก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องชี้แจงให้กระทรวงการคลังเข้าใจ"

อริยา ติรณะประกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ให้ควาเห็นกับ "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นว่า การเร่งระดมเงินผ่านการออกหุ้นกู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งมาจากกรณีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จะลดสัดส่วนคุ้มครองเงินฝากลงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ภายในเดือนส.ค.ของปีนี้ ทำให้แบงก์จำเป็นต้องสำรองสภาพคล่องไว้รองรับ

นอกจากนี้ การที่ก.ล.ต.เตรียมออกฏให้ธนาคารพาณิชย์ที่ออกตั๋วบีอี ต้องเสียค่าธรรมเนียม และขออนุญาตจากก.ล.ต. ทำให้ต้นทุนในการออกตั๋วบีอีเพิ่ม แบงก์พาณิชย์จึงหันมาออกหุ้นกู้แทน แม้จะมีต้นทุนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการฝากเงินตามปกติ แต่ข้อได้เปรียบของการออกหุ้นกู้ ธนาคารพาณิชย์ก็ไม่มีภาระต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ 0.4%

อริยา ยอมรับว่า กระแสการระดมเงินผ่านการออกหุ้นกู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เพื่อเลี่ยงการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ อาจส่งผลกระทบต้นทุนผู้ประกอบการที่เตรียมระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาฯที่เตรียมออกหุ้นกู้ เพื่อนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย แนะนำนักลงทุนรายย่อยที่มีความสนใจลงทุนผ่านหุ้นกู้ของธนาคารพาณิชย์ว่า ต้องศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน เพราะรูปแบบการระดมทุนของแบงก์เป็นการลงทุนระยะยาว และมีเงื่อนไขสามารถไถ่ถอนได้ก่อนกำหนด และอาจทำให้เสียโอกาสผลตอบแทนการลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น
ที่มา http://money.impaqmsn.com



เงินคือพระเจ้า ! เก็บเงินในภาษาอังกฤษ

เงินคือพระเจ้า ! เก็บเงินในภาษาอังกฤษ
คุณรู้มั้ยว่าภาษาอังกฤษสามารถช่วยคุณเก็บสะสมเงินได้ ภาษาอังกฤษมีศัพท์มากมายที่แนะนำให้คุณเก็บเงินไว้เผื่อใช้ในยามคับขัน ถ้าคุณสนใจในการเก็บหอมรอมริบ ลองเรียนความหมายของสำนวนต่อไปนี้แล้วนำไปใช้ !

Penny-pinching. หมายถึงเก็บสะสมเงิน หรือคนที่ไม่เต็มใจที่จะจับจ่ายใช้สอยเงินที่มีอยู่ อย่างเช่น I have to do some penny-pinching this month if I want to buy that coat!
A penny saved is a penny earned. หมายถึงการไม่ใช้จ่ายเงินนั้นออกไปก็เท่ากับการได้เงินนั้นเข้ามาเพราะว่ามันยังอยู่ในกระเป๋าของคุณนั่นเอง !
The best things in life are free. มีความหมายเทียบเท่ากับ Money isn't everything, นั่นคือเงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้นั่นเอง เช่น ความรัก มิตรภาพ และสุขภาพ
Saving for a rainy day หมายถึงเก็บเงินออมไว้เผื่อไว้ใช้ในอนาคต หรือเก็บเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
Penny wise, pound foolish. หมายถึงคนที่จุกจิกระมัดระวังการใช้จ่ายครั้งย่อยๆ แต่ละเลยไม่รอบคอบเมื่อจ่ายครั้งใหญ่ๆ เป็นจำนวนเงินมากๆ
A fool and his money are soon parted. สำนวนนี้ให้ข้อคิดกับเราว่าคนโง่ไม่รู้จักรักษาเงินของตัวเอง !
Early to bed and early to rise, makes a man healthy, wealthy and wise. เป็นคำกล่าวของ Benjamin Franklin ที่รู้จักกันดี หมายถึงถ้าคุณเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้าตรู่ คุณสามารถรวยได้ !
Money doesn't grow on trees. หมายถึงเงินทองเป็นของหายาก พ่อแม่มักบอกลูกๆ อย่างนี้ถ้าลูกเห็นอะไรก็อยากซื้อไปซะทุกอย่าง !
Money talks. เป็นสำนวนสมัยใหม่หมายความว่าเงินมีอำนาจ หรือเงินบันดาลให้อะไรเกิดขึ้นได้
In for a penny, in for a pound. สำนวนนี้ปัจจุบันหมายความว่าถ้าคุณเริ่มอะไรซักอย่างแล้วก็ควรทำต่อไปให้เสร็จ แม้ว่าคุณจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่คาดไว้ก็ตาม ส่วนความหมายดั้งเดิมคือถ้าโทษของการทำผิดไม่ว่าจะเล็กใหญ่ก็มีความรุนแรงเท่ากัน ผู้คนจะเลือกทำผิดครั้งใหญ่เพราะหวังอยากได้ผลประโยชน์มากกว่า
ที่มา http://englishtown.msn.co.th


จับตา ตลาดตราสารฯ ปี 55 บูมสุดขีด รบ.-แบงก์-ธุรกิจ แห่ออกหุ้นกู้ทะลุ 3 แสนล้าน

จับตา ตลาดตราสารฯ ปี 55 บูมสุดขีด รบ.-แบงก์-ธุรกิจ แห่ออกหุ้นกู้ทะลุ 3 แสนล้าน
คาดตลาดตราสารฯ ปี 55 บูมสุดขีด "แบงก์พาณิชย์-ผู้ประกอบการ" หนีต้นทุนค่าธรรมเนียมเงินฝากที่พุ่งสูงขึ้น แห่ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุน เผยเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา 3 แบงก์พาณิชย์ของไทยออกหุ้นกู้ระดมเงินไปแล้ว 7 หมื่นล้าน "บัณฑิต" คาดปีนี้จะมีการระดมเงินผ่านหุ้นกู้ทะลุ 3 แสนล้าน มั่นใจตลาดการเงินมีสภาพคล่องเพียงพอ

นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานคณะกรรมการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวถึงภาพรวมตลาดตราสารหนี้ปี 2555 โดยคาดว่า ตลาดหุ้นกู้จะมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดี ซึ่งเกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวถูกขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้มูลค่าการระดมทุนสูงขึ้น

โดยภาครัฐจะมีการใช้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปี 5 แสนล้านบาท และอีก 3 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม พร้อมคาดว่า ภาครัฐน่าจะใช้ตลาดตราสารหนี้เป็นแหล่งในการระดมทุน

2.ดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวลง สนับสนุนให้เกิดการระดมทุน 3.แนวโน้มเงินทุนต่างชาติน่าจะไหลเข้าลงทุนตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หากปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปสามารถคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

ส่วนปัจจัยสุดท้าย คือ กรณีการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ทางการเงิน 4 ฉบับ จะทำให้ต้นทุนของธนาคารพาณิชย์สูงขึ้น หากต้องส่งค่าธรรมเนียมเงินฝากเพิ่มขึ้นและส่งผ่านต้นทุนเหล่านี้ไปยังลูกค้า จะทำให้ต้นทุนในการกู้เงินกับธนาคารพาณิชย์สูงขึ้น และประเมินว่าอาจเป็นผลให้ผู้ประกอบการหันมาพึ่งตลาดตราสารหนี้ในการระดมทุนมากขึ้น

"มองว่าทั้ง 3 ปัจจัยแรก คาดว่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นกู้มีการขยายตัวต่อเนื่อง แต่กรณีของ พ.ร.ก. 4 ฉบับ คงต้องติดตาม เพราะขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจะออกมาเป็นอย่างไร"

ด้านนายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการเท่านั้นที่จะหันมาพึ่งตลาดตราสารหนี้ในการระดมทุน เพราะมีต้นทุนต่ำกว่า หากมองในแง่ของธนาคารพาณิชย์ พบว่าได้เริ่มหันมาใช้ตลาดหุ้นกู้เช่นกัน

โดยในเดือนมกราคม 2555 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ออกหุ้นกู้ 2 หมื่นล้านบาท อายุ 10 ปี ดอกเบี้ย 4.6% และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ก็ออกหุ้นกู้ 2 หมื่นล้านบาท ด้วยเช่นกัน

สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นการเตรียมความพร้อม หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจะทำให้มีความต้องการกู้ยืมเงินมากขึ้น และเหตุผลสำคัญ คือ ตั๋วแลกเงิน (บี/อี) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และเคยเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ อาจเข้าข่ายถูกนับรวมจ่ายค่าธรรมเนียมด้วย ทำให้ต้นทุนในการออกตั๋วบี/อีสูงขึ้น จึงหันมาเริ่มให้ความสนใจในการออกหุ้นกู้แทนตั๋วบี/อี ซึ่งมีข้อจำกัดมากขึ้น

"เท่าที่ได้มีการสำรวจความต้องการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนปีนี้ มีจำนวน 2.5-3.0 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามีจำนวน 2.12 แสนล้านบาท และเชื่อว่าสภาพคล่องในระบบสูงยังเพียงพอรองรับได้"

ล่าสุด บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ “F1+(tha)” แก่โครงการหุ้นกู้ระยะสั้นของธนาคารกรุงไทย มูลค่าไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์