ไขเคล็ดลับความสู่สำเร็จและรำ่ำรวย ด้วย 9 วิธีคิด

“สรกล อดุลยานนท์”
หรือ หนุ่มเมืองจันทร์
ไขเคล็ดลับความสู่สำเร็จและรำ่ำรวย ด้วย 9 วิธีคิด ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีปัจจัยหลายประการ แต่หัวใจหลักอยู่ที่ “วิธีคิด” โดย “สรกล อดุลยานนท์” หรือ หนุ่มเมืองจันทร์ ไขเคล็ดลับจากนักธุรกิจมากประสบการณ์ ผ่านการเจาะลึก 9 วิธีคิดสู่ชัยชนะ


เมื่อไม่นานมานี่ ธนาคารกสิกรไทยได้จัดกิจกรรมบรรยายพิเศษโดย “สรกล อดุลยานนท์” หรือ หนุ่มเมืองจันทร์ เจ้าของคอลัมน์และผู้แต่งหนังสือ “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” ที่ถ่ายทอดหลักคิด มุมมองและประสบการณ์ของนักธุรกิจได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจ

เขาเล่าว่า จากการได้สัมภาษณ์ในเรื่องเคล็ดลับความสำเร็จของนักธุรกิจแต่ละคนมามากมาย สิ่งหนึ่งที่เขาค้นพบคือ“วิธีคิด” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขณะที่ ปัญหาใหญ่ที่สุดของทายาทธุรกิจของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือการทำให้พ่อแม่เชื่อ ซึ่งลูกแต่ละคนมีกลยุทธ์ มีวิธีการ หากมองการขายของ ลูกค้าทั่วไปที่ซื้อของของเราคือลูกค้าของเรา แต่ขณะที่ เราขายความคิด คุณพ่อคุณแม่คือลูกค้าของเรา จะทายใจหรือทำอย่างไรให้เขาเชื่อเราเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับ 9 วิธีคิด ที่จะนำมาสู่ความสำเร็จที่ค้นพบจากการสัมภาษณ์

วิธีที่หนึ่ง คิดแบบละเอียด ยกตัวอย่าง “ดำ น้ำหยด” ซึ่งเป็นเกษตรกรที่จันทบุรี มีความคิดไม่เหมือนกับนักธุรกิจที่เคยสัมภาษณ์มาทั้งหมด เขาบอกว่า นักวิชาการชอบเรียนมากเกินไป เกินธรรมชาติ เมื่อแก้ปัญหาเริ่มต้นจากทฤษฎีที่เรียนมา เขาได้เป็นเกษตรกรตัวอย่าง ปี 2522จากการทำระบบน้ำหยดขายดีจนมีฐานะ สวนที่พาไปสวยมากอยู่ริมเขา เขาเคยเป็นลูกจ้างมาก่อน จนวันหนึ่งเจ้าของบอกขายก็เลยซื้อทำรีสอร์ตที่เกาะช้างชื่อเกาะช้างพาราไดซ์ รีสอร์ต แอนด์ สปา

เขาบอกว่ามีเงินเท่านี้ก็ลงไปก่อน ครั้งแรกลงทุน 21 ล้านบาท จากนั้นพอกำไรจากนี้ลงทุนอีก 21 ล้านบาท แล้วนำกำไรมาลงทุนรีสอร์ต 45 ล้านบาท แบบไม่ได้กู้เงิน ทำอะไรไม่เป็น ทำสวนเป็นก็เริ่มต้นลงระบบสาธารณูปโภค 1 ปี ลงระบบน้ำ ฯลฯ และออกแบบสวนเสร็จก็รื้อต้นไม้ทิ้ง เพราะรู้ว่าไม่มีใครรู้เรื่องต้นไม้มากเท่าเขา และเริ่มเล่าให้ฟังว่า โกสนมี 3 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่สามกินน้ำน้อยที่สุด หลักการทำสวนคือ “น้ำเอาไว้เลี้ยงแขกไม่ใช่เลี้ยงต้นไม้” เพราะน้ำในเกาะช้างหายาก ต้นไม้ที่ปลูกต้องเหมาะกับดินทรายและกินน้ำน้อย และ“สวนต้องมีชีวิต” การปลูกต้นเข็มไว้เพราะผีเสื้อชอบต้นเข็ม

แต่ระบบน้ำเสียที่ทำ ในตอนแรกจ้างนักวิชาการทำ แต่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมมา ก็คิดแบบเกษตรกรด้วยความโมโห คิดว่าน้ำเสียที่มีอยู่ 15,000 ลิตร มีต้นไม้อะไรที่สามารถดูดน้ำได้เยอะ รากยาวๆ ก็พบว่าปาล์มน้ำมันดูดได้วันละ 150 ลิตร ปลูกร้อยต้นก็ได้ 15,000ลิตร น้ำเสียเป็นปุ๋ยที่ดี ต้นปาล์มสวยมากใหญ่มาก บำบัดน้ำเสียได้หมดเกลี้ยง สุดท้ายนักวิชากรกลุ่มนั้นมาขอดูงาน เป็นระบบบำบัดน้ำเสียหมัก ไม่ได้คิดจากทฤษฎี คิดจากรายละเอียดต่างๆ ที่ค้นพบมา

“ดำ น้ำหยด” เป็นตัวอย่างที่ดีมากในการมองปัญหาอย่างละเอียด เริ่มต้นจากธรรมชาติ ที่บอกว่านักวิชาการเรียนเกินคือเรียนเกินธรรมชาติ เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่เราที่เริ่มต้นเรียนจากธรรมชาติ เรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ คิดอย่างละเอียดเป็นเคล็ดลับความสำเร็จข้อหนึ่ง

วิธีที่สอง ใช้เท้าคิด มาจาก “ขรรค์ชัย บุญปาน” ซึ่งตอบคำถามนักข่าวว่าผ่านวิกฤตปี 2540 มาได้ เพราะใช้เท้าทำ คือเพียงแค่เดินมากหน่อยเพื่อไปเยี่ยมแผนกต่างๆ ในบริษัท อย่างกองบรรณาธิการ ฝ่ายผลิต ฯลฯ ช่วยกระตุ้นส่วนต่างๆ ให้ทำงานให้ดีขึ้น “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ที่เคยอยู่ดีแทค แต่ตอนนี้อยู่แมคยีนส์ เอาคำนี้มาใช้ เพราะดีแทคมีเงินทุนไม่มากเท่าเอไอเอส เขาใช้วิธีส่งทีมวิจัยลงเดินทำให้พบว่าลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์แบบเติมเงิน จริงๆ ไม่ใช่เด็กสยาม แต่เป็นชาวบ้านทั่วไป นั่นคือที่มาของการพลิกแบรนด์ครั้งใหญ่ ด้วยวิธีการแบบบ้านๆ ตอนนั้นมีคนถามว่าบุคลิกของดีแทคคืออะไร นึกเท่าไรก็ไม่ออก ไปอ่านหนังสือแพรวเจอรูป “จิระ มะลิกุล” คนที่ทำหนังแฟนฉัน นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัดผมด้วยท่าทางสบายๆ ก็เลยได้คำตอบว่านี่คือลักษณะของแบรนด์ “แฮปปี้” คือสบายๆ ทำให้พลิกแบรนด์ของแฮปปี้มาเป็นแบบบ้านๆ เพราะฉะนั้น พรีเซ็นเตอร์จะราคาถูกมาก

อีกตัวอย่างของดีแทค ครั้งหนึ่งส่งทีมวิจัยไปฝังตัวกับนักศึกษาเชียงใหม่ไปดูพฤติกรรม แล้วก็ค้นพบเรื่องหนึ่งว่า ช่วงครึ่งเดือนหลังที่ใช้โทรศัพท์น้อย นักศึกษาจะเปลี่ยนเมนูใหม่เป็นมาม่า เมื่อพนักงานดีแทคเข้าไปถามว่าจะให้ช่วยอะไร ก็ได้คำตอบว่าก็ให้ยืมสิ นั่นคือที่มาของแคมเปญ “ใจดีให้ยืม” หลายคนคิดว่าคุณธนาเป็นนักการตลาด แต่จริงๆ เป็นนักการเงินมาก่อน งานอดิเรกคือการดูตัวเลข เมื่อได้ข้อมูลคำนวณแล้วก็พบว่าต้นทุนไม่มาก และตอนแรกคิดจะจับกลุ่มนักศึกษาแค่แสนคน แต่คนใช้แคมเปญนี้ล้านกว่าคน สำเร็จมาก เพราะลูกค้าบอกว่าให้ยืมก็ยืม

อีกเรื่องคือแก้วน้ำแฮปปี้ เพราะตอนทำแบรนด์แฮปปี้ใหม่ๆ อยากให้สัญลักษณ์ที่เป็นรอยยิ้มกระจายไปทั่ว ไปที่ไหนก็เจอ วันหนึ่งไปซื้อน้ำเห็นแก้วพิมพ์ลาย ก็เกิดความคิดอยากพิมพ์โลโก้แฮปปี้ ไปข้างเอเจนซี่คิดค่าผลิต ค่ากระจาย กำไร และอื่นๆ รวม 1 ล้านใบ 4 ล้านบาท คือใบละ 4 บาท แต่วันหนึ่งไปเจอแก้วน้ำที่พิมพ์ลายองุ่นก็เกิดความคิดว่าไปคุยกับโรงงานให้พิมพ์ลายแฮปปี้ ทีมงานแฮปปี้มีข้อดีคือ“ลองดูสิ” ไม่ปฎิเสธอะไรใหม่ๆ ก็ไปคุยกับโรงงาน เถ้าแก่ก็คำนวณออกมา 4 หมื่นบาท แต่สัญชาตญาณของเซลส์คือต้องต่อราคาให้มากที่สุด สุดท้ายได้ 1 ล้านใบ 2 หมื่นบาท เถ้าแก่คงคิดว่าอยู่ดีๆ มีหมูมาชนปังตอ เพราะต้องเสียค่าพิมพ์ลายอยู่แล้ว มีคนมาจ่ายให้และได้กำไรอีก ส่วนแฮปปี้ก็ดีใจสุดๆ เพราะประหยัดไปได้ 3 ล้าน 9 แสน 8 หมื่นบาท จากการเดินและทัศนคติแบบลองดูสิ

วิธีที่สาม คิดจากปัญหา เมื่อเกิดปัญหาทุกคนจะกลัว และคิดว่าแย่มากเลย สำหรับ “อนันต์ อัศวโภคิน” ในตอนที่ทำคอนเซ็ปต์ใหม่เรื่อง “บ้านสบาย” ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มาจากปี 2540 ซึ่งบริษัทเป็นหนี้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท พอมีปัญหาบริษัทต่างๆ จะไล่คนออก แต่เมื่อคิดแล้วก็พบว่าต้นทุนธุรกิจขายบ้าน พนักงานเป็นต้นทุนที่น้อยมาก แค่ 10% ไล่คนออกครึ่งหนึ่งก็ลดได้แค่ 5% และเมื่อวิกฤตฟื้นก็หาคนยาก

ระหว่างนั้น จึงให้ลูกน้องแต่ละคนทำวิจัยคนซื้อบ้านแลนด์แอนด์เฮ้าส์ไปดูว่าปัญหามีอะไรบ้าง ก็พบว่าทุกคนที่ซื้อบ้านต้องต่อเติม ครัว ห้องน้ำ ถังขยะ ฯลฯ ก็นำปัญหาทั้งหมดมาคิดใหม่ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากปัญหา ออกมาเป็น “บ้านสบาย” คนซื้อหิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้เลย และบ้านสบายก็คือ “การกำหนดราคา” คือคนที่กำหนดราคาคือลูกค้า ไม่ใช่เจ้าของ เขาสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย เป็นการสร้างเกมใหม่ให้คนอื่นเดินตาม เพราะปี 2540 คนเจอปัญหาสร้างบ้านแล้วไม่ได้บ้าน และก็รู้ว่าถ้าสู้ไปเป็นเกมเดิมคือขายกระดาษ ใครๆ ก็ทำได้ เป็นธุรกิจที่เข้ามาได้ง่าย แต่การสร้างเกมใหม่คือ “บ้านเสร็จก่อนขาย” ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกม ซึ่งไม่ใช่ต้องใช้เงินมาก แต่ฐานข้อมูลด้านการขายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัญหาบ้านสร้างเสร็จก่อนขายคือปัญหาสต๊อก แต่เมื่อใช้วิธีสร้างบ้านเมื่อคนมาดูไซต์งาน คนถามราคา ก็บอกว่ายังไม่กำหนดราคา แต่ราคาประมาณ 3.5 ล้าน ลูกค้าไม่จอง เซลส์รู้แล้ว 3.5 ล้านขายไม่ได้ อีกคนมา 3.8 ล้านบาท ขายไม่ได้ รู้แล้ว3.6-3.7 ล้าน เพราะคนซื้อมากำหนดราคา

แคมเปญ“ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊ง” เป็นแคมเปญของชาเขียวโออิชิที่สำเร็จที่สุดโดยใช้เงินไม่มาก สำหรับของรางวัลคือการไปทัวร์ญี่ปุ่น ใครๆ ก็คิดได้ เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่คุณตันพบว่าคนที่ได้รางวัลไม่ใช่คนที่เคยไป พ่อค้าแม่ค้าที่ได้ก็ดีใจที่ได้ แต่เมื่อบริษัทติดต่อไปต้องเสียภาษี ต้องทำพาสปอร์ต ทำวีซ่า การเที่ยวที่แปลกๆ กับคนแปลกหน้าไม่สนุก คุณตันเอาปัญหาทั้งหมดมาแก้ไข ให้คนที่ได้รางวัลชวนคนรู้จักไปได้อีก 3 คน และมีเงินให้ไปช้อปปิ้ง กลายเป็นแคมเปญธรรมดาที่อุดทุกปัญหา แล้วสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา ฝาขวดโออิชิที่ส่งเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ครั้งทำแคมเปญ

วิธีที่สี่ คิดแบบไร้กรอบ เมื่อ “โชค บูลกุล” เข้ามารับธุรกิจปี 2540 วิกฤตเศรษฐกิจ มีนมสดกับฟาร์มโชคชัย คนบอกว่าน่าจะขายฟาร์มโชคชัยทิ้ง เพราะนมสดเป็นธุรกิจทำเงิน แต่ในช่วงวิกฤตของที่จะขายนั้น ขายไม่ได้ ของที่ขายง่ายคือของดี ช่วงที่เป็นหนี้มากๆ เวลามีราคาสูงมาก ดอกเบี้ยไม่สนใจวันหยุด ยิ่งขายไม่ได้ยิ่งเครียด เพราะแก้ปัญหาไม่ได้ สำหรับโชค ตัดสินใจขายธุรกิจนมสดได้เงินมาก้อนหนึ่ง ด้วยวิธีคิดคือ “ธุรกิจอะไรก็ตามที่ทำงานเบาๆ ทำงานน้อยกำไรมาก ธุรกิจนั้นคู่แข่งมาก ธุรกิจอะไรก็ตามที่ทำงานหนัก กำไรน้อยแข่งขันน้อย” ฟาร์มโชคชัยคืออันที่สอง เพราะไม่อยากแข่งกับใครมาก เขาเริ่มต้นทำสิ่งนั้น

เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ธุรกิจที่ลูกรับมาจากพ่อแม่ ต้องเข้าใจว่าลูกก็เป็นลูก สำหรับธุรกิจของครอบครัวบูลกุล แม่เป็นคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และเพราะแม่เป็นนักการเงิน โชคบอกว่าเวลาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ข้อแรกคือเงินต้องไม่มีปัญหา และต้องทำให้แม่ยอมรับให้ได้ว่าทำได้ เพราะฉะนั้น โชคเข้ามาครั้งแรกโดยไม่ใช้เงินกู้เลย เมื่อคุณแม่พอใจเสนออะไรได้มากขึ้นเพราะก้าวแรกไม่พลาด ขณะที่โมเดลธุรกิจเกษตรคือ อาหารสัตว์ เลี้ยงไก่ ไก่สด ไก่ย่าง นี่คือโมเดลของซีพี แต่โชค คิดมุมใหม่คือจากธุรกิจเกษตรไปสู่ธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งการเป็นซีอีโอแบรนดิ้งมีข้อดีคือซีอีโอสามารถดึงดูด ข่าวมากมายที่เห็น แต่ใช้เงินประชาสัมพันธ์แค่ปีละสองสามล้าน

สิ่งที่เขาคิดคือ คนกรุงเทพฯ หิวธรรมชาติมาก ฟาร์มโชคชัยมีแบรนดิ้งอยู่ในใจคนมายาวนานมาก เป็นคาวบอย เป็นป่า ฟาร์มที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด และมีชื่อเสียง เขาพลิกกลยุทธ์มาสู่การท่องเที่ยวและเอาประสบการณ์มาใช้ แต่ดีไซน์ละเอียดมาก ดูพฤติกรรมของคนเดิน คนกรุงชอบเที่ยวแบบสบายๆ ร้อนแล้วต้องรีบเข้าห้องแอร์สลับกันไป และพลิกสู่บูติกรีสอร์ต และที่สำคัญทำให้พนักงานมีกำลังใจมากเกิดความภูมิใจ จากคนรีดนมวัวไม่มีใครเห็นกลายเป็นนักแสดงทุกคนต้องดู เมื่อชื่อเสียงมากคนอยากทำงานด้วยมาก ได้แรงงานฝีมือดีราคาถูกเยอะมาก นั่นคือการเป็นแม่เหล็กดึงทุกอย่าง ขณะที่ วัวของจริงและวัวจินตนาการไม่เหมือนกัน วัวจริงๆ สกปรกมาก แต่ต้องให้วัวที่มาโชว์สะอาดเพื่อตรงกับจินตนาการคนเที่ยว การคิดแบบไร้กรอบคือต้องถามตัวเองบ่อยๆ ว่า ทำไมต้องคิดแบบเดิมๆ

วิธีที่ห้า คิดแง่บวก เมื่อ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ทรูมูฟเป็นหนี้ 9 หมื่นล้าน ช่วงลอยตัวค่าเงินบาทปี 2540 มี 2 วิธีคิดคือ คนทั่วไปคิดขายบริษัท แต่อีกวิธีคือไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว บุกไปข้างหน้าดีกว่า “ทรูมูฟ”พลิกเกมรุกสู้ เป็นหนี้ 9 หมื่นล้าน ใช้อีก 900 ล้านก็แค่ 1% ทำให้ทรูมูฟพลิกขึ้นมาได้

วิธีที่หก คิดเพื่อปฏิเสธ “สตีฟ จ๊อบส์” ตอนที่กลับไปแอ๊ปเปิ้ลอีกครั้งมีสินค้าเยอะมาก เขาใช้วิธีคิดแบบตัดทิ้งมาตลอด ด้วยการใช้คำแค่ 4 คำคือ พกพาตั้งโต๊ะ และดูว่าสินค้าอยู่ตรงไหน เขาเคยพรีเซ้นต์สินค้าด้วยการเอามาวางที่โต๊ะเล็กๆ จากที่มีอยู่ 200 ชิ้น เขาตัดทิ้งเหลือแค่ 20 ชิ้นเท่านั้น เพราะหัวใจสำคัญของความสำเร็จคือคำว่า “ไม่” กล้าปฎิเสธสิ่งที่เสนอมาและเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ไอพอดเป็น mp3 เครื่องแรกของโลกด้วยคิดเริ่มต้นจากคำๆ เดียวคือ 1 พันเพลง คือการโฟกัสอยู่แค่นี้ อย่างอื่นไม่เอา

วิธีที่เจ็ด คิดหาโอกาส “โมริตะ” ผู้ก่อตั้งโซนี่บอกว่า คนเราชอบพูดว่าใครๆ ก็ทำแล้ว เขาบอกว่าธุรกิจเหมือนวงกลม แต่มันมีช่องว่างในรูนั้น เมื่อเราทำมันจะใหญ่ขึ้นมาทันที “อดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์” ทำให้บิวติดริ้งเกิดขึ้นมา เครื่องดื่มสุขภาพที่ขยายตลาดไม่ใช่แค่ในเมืองไทยแต่ยังไปอยู่ในต่างประเทศ จากการมองเห็นโอกาส เช่นเดียวกับ “สุริวิภา กุลตังวัฒนา” ทำสินค้าเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงหลายๆ คนที่มีรูปร่างท้วมให้สวยได้เหมือนกัน เพราะเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ใส่ในหุ้นโชว์ทุกครั้งจะรู้สึกว่าอยู่ในหุ่นมันสวย แต่ทำไมอยู่ที่ตัวเรามันไม่เป็นอย่างนั้น นี่คือการคิดหาโอกาส

วิธีที่แปด คิดแบบไม่ยอมแพ้ มีกรณีศึกษาเรื่องหนึ่งสำหรับสินค้าที่เคยเป็นเจ้าตลาด มีส่วนแบ่งการตลาด 80% แต่ภายในเวลา 3 ปี เบียร์ช้างเอาชนะเบียร์สิงห์ ได้ แต่ตอนนี้เบียร์สิงห์กลับมาชนะแล้ว หลังปี 2540 ไม่นาน “สันติ ภิรมย์ภักดี” เคยให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่แพ้มี 4 ข้อคือ 1.กลยุทธ์เหล้าพ่วงเบียร์ ธุรกิจเหล้าไม่เหมือนธุรกิจเบียร์ ที่คิดว่าเปิดก๊อกน้ำที่จริงมันเป็นเขื่อน เป็นการถล่มอย่างยาวนานไม่หยุด 2.กลยุทธ์ 3 ขวด 100 บาท ทำให้คนอยากกินเบียร์ราคาถูก 3.การเยี่ยมเอเย่นต์น้อยเกินไป ทำให้ห่างเหิน และ4.แอ๊ด คาราบาว ทำให้เบียร์ช้างกลายเป็นเบียร์คนไทย เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชื่อแบรนด์ติดตลาด

เขาพูดคำหนึ่งว่า “ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้” หมายความว่า เราแพ้ได้ แต่เราไม่ยอมแพ้คือ “ใจ” เราไม่ยอมแพ้ การยอมรับว่าแพ้ให้เชื่อไว้เลยว่าเราไม่มีทางกระโดดขึ้นจากอากาศได้ เหมือนเราตกเหวอยู่ การยอมรับการพ่ายแพ้คือยอมรับการอยู่ก้นเหวให้เท้าติดดิน เพื่อที่เราจะกระโดดขึ้นใหม่ได้ แต่การยอมแพ้ เราจะอยู่ในอากาศตลอดเวลาและกระโดดไม่ได้

วิธีที่เก้า คิดแล้วลงมือทำ “โธมัส เอดิสัน” พูดว่า คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า เราตื่นขึ้นมาแล้วเราจะเป็นคนรวย เขาคิดถูกแค่ครึ่งเดียวคือ ตื่นขึ้นมา เพราะหัวใจสำคัญคือความสำเร็จต้องมีส่วนผสมอยู่ 2 อย่างคือ 1.ความคิด และ2.การลงมือทำ ถ้าคิดเฉยๆ ไม่ลงมือทำ ไม่มีทางสำเร็จได้

“โคลัมบัส” หลายคนคิดว่าการพบทวีปอเมริกาเป็นเรื่องบังเอิญ แค่ล่องเรือไปพบทวีปใหม่เท่านั้น ใครๆ ก็ทำได้ วันหนึ่งในงานเลี้ยงกษัตริย์สเปน มีเสนาบดีพูดเรื่องนี้อีก เขาก็หยิบไข่ต้มขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วบอกให้ตั้งไม่ให้ล้ม ไม่มีใครตั้งได้ เขาหยิบไข่ขึ้นมาทุบที่ปลายทำให้ไข่ตั้งได้ พวกนั้นบอกว่า“ใครๆ ก็ทำได้” เขาบอกว่า“แล้วทำไมไม่ทำ” หัวใจสำคัญของทุกเรื่องคือเวลาเราทำสิ่งนั้นสำเร็จ แต่หัวใจสำคัญของความสำเร็จของโคลัมบัสคือการตื่นขึ้นมาล่องเรือออกจากแผ่นดิน แล้วคิดว่ามีแผ่นดินใหม่อยู่ข้างหน้า นั่นคือความยิ่งใหญ่ของหัวใจของโคลัมบัส คือความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง การลงมือทำเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ข้อมูลโดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 360 องศา

ธนาคารออมสินมั่นใจปล่อย“ซอฟท์โลน”

ธนาคารออมสินมั่นใจปล่อย“ซอฟท์โลน” “ออมสิน” มั่นใจขานรับนโยบายรัฐ เผยปล่อย “ซอฟท์โลน” แทน ธปท.เท่านั้น นอกนั้นอยู่ในกรอบแบงก์รัฐเป๊ะ


เมื่อวันที่ 8 ก.ย. นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า นโยบายของกระทรวงการคลังที่ออกมานั้น โดยภาพรวมแล้วออมสินไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เนื่องจากธนาคารเข้าสู่ระบบบัญชีมาตรฐานสากลใหม่ไอเอเอส 39 ในปี 54 ตามแผนงานอยู่แล้ว และก่อนหน้านี้ ได้จัดชั้นหนี้สงสัยจะสูญ พร้อมทั้งกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (เอ็นพีแอล) ตามที่ ธปท.ให้ความเห็นไว้ ถึง 30,000 ล้านบาท ขณะที่มีเอ็นพีแอลเพียง 15,000 ล้านบาท จากยอดสินเชื่อรวมทั้งพอร์ตที่ 1.25 ล้านล้านบาท หรือ มีเอ็นพีแอลเพียง 1.13% เท่านั้น เท่ากับสำรองไว้ถึง 200% ทีเดียว และมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง 12.5% สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดไว้ 8.5% ดังนั้น ธนาคารที่จะมีปัญหาคงไม่ใช่ออมสินแน่นอน

ส่วนกรณีที่ว่าออมสินหันมาปล่อยสินเชื่อรายใหญ่มากขึ้นนั้น ยังยืนยันว่า อยู่ในกรอบของธนาคารรัฐ โดยสินเชื่อรวมทั้งหมดนั้น เป็นการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ 8% ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีเพียง 80,000 ล้านบาท ขณะที่ปล่อยสินเชื่อรายย่อยถึง 92% และสภาพคล่องที่มีนั้น ใช้นำไปปล่อยสินเชื่อ 80% ส่วนอีก 20% ปล่อยเงินลงทุน อีกทั้ง การที่จะดำเนินการใด ๆ ได้ส่งแผนงานให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติก่อนทุกครั้ง จึงถือว่าทุกนโยบายที่ทำนั้น อยู่ในกรอบแน่นอน

“อย่างไรก็ตาม เมื่อมาดูว่าออมสินทำอะไรในเชิงพาณิชย์ก็พบว่า นั่นคือสิ่งที่เราทำแทน ธปท. กรณีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ให้แก่ผู้ประกอบการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งขณะนี้มีตั๋วเงินดังกล่าวอยู่ 25,000 ล้านบาท แต่เป็นยอดคงค้างเพียง 17,000 ล้านบาท”

นายเลอศักดิ์ กล่าวว่า สิ่งเดียวที่กังวลในการปฏิบัติตามบัญชีมาตรฐานสากล คือ ค่าใช้จ่ายพนักงานบำนาญ เพราะออมสินเป็น 1 ใน 3 ของรัฐวิสาหกิจที่มีระบบบำนาญอยู่ ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมด 12,500 ราย มีพนักงานบำนาญ 7,000 ราย มีค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวม 45,000 ล้านบาท ที่ออมสินได้นำเอาเงินส่วนนี้มาหักเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ 5,400 ล้านบาท

“เราไม่เคยขอเพิ่มทุน เราไม่เคยขอเงินอุดหนุนโครงการรัฐในเชิงสังคม (พีเอสเอ) แม้ว่าเราจะดำเนินนโยบายตามที่รัฐบาลมอบหมายให้มาก็ตาม ดังนั้น เชื่อว่าเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะให้เราทำเหมือนแบงก์พาณิชย์นั้น คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”.
ที่มาเดลินิวส์

วิธีรวยแสนล้านของ ธนินท์ เจ้าสัวซีพี

วิธีรวยแสนล้านของ ธนินท์ เจ้าสัวซีพี วารสารข่าวของ ซีพีกรุ๊ฟ CP E-News ฉบับ 5ก.ย.2554


ได้เขียนถึงเคล็ดลับความสำเร็จของ" ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ไว้ว่า...

จากการเปิดเผยรายชื่อ 40 อันดับ มหาเศรษฐีของไทย (Thailand's top 40 Richest 2011) ประจำปี 2554 ของฟอร์บส์ (Forbes) นิตยสารชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ปรากฏว่า "ธนินท์ เจียรวนนท์" ครองตำแหน่งอันดับ 1 ด้วยสินทรัพย์ 7,400 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 222,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 400 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้นับว่าเป็นการครองแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่สองติดต่อกันจากเมื่อปี 2553

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำทางธุรกิจของ"ธนินท์"เท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่นำพาธุรกิจสู่ความมั่งคั่งรุ่งเรือง

ปัจจุบัน"ธนินท์" มีตำแหน่งเป็น "ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร" เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ที่รู้จักในชื่อ "ซี.พี." ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของไทยที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายในลักษณะที่เรียกว่า Conglomorate มีธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารเป็นธุรกิจหลัก โดยมีการค้าการลงทุนใน 15 ประเทศทั่วโลก และมีบริษัทในเครือประมาณ 200 แห่งทั่วโลก พนักงานราว 280,000 คน ซึ่งความสำเร็จของซี.พี.ทั้งหมด เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์และความสามารถของ ‘ธนินท์ เจียรวนนท์' นั่นเอง

เคล็ดลับการลงทุนสไตล์ ‘ธนินท์'

"ตลาดทั่วโลก วัตถุดิบทั่วโลก คนเก่งทั่วโลก การเงินทั่วโลกล้วนเป็นของซี.พี." นี่คือสิ่งสำคัญที่ ธนินท์ เจียรวนนท์ ตอกย้ำกับผู้บริหารและพนักงานซี.พี.อยู่เสมอ

แสดงให้เห็นชัดเจนถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลซึ่งได้นำพาให้ซี.พี.เติบโตเป็นปึกแผ่น เป็นบริษัทคนไทยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทย

"ผมมองว่าที่ผมทำงานนี่ไม่ได้คิดเลยเรื่องกำไร ไม่ได้คิดว่าทำธุรกิจนี้แล้วจะได้กำไรเท่าไร ผมคิดว่าทำธุรกิจนี้ อันแรกมีโอกาสสำเร็จไหม ถ้ามีแล้วถ้าจะใหญ่นี่ ธุรกิจอันนั้นจะต้องไปเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไปเกี่ยวข้องกับคนส่วนน้อย ธุรกิจอันนี้จะไม่ใหญ่ ถ้าธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับประเทศเดียวธุรกิจก็ไม่ใหญ่ ต้องเกี่ยวข้องกับทั่วโลก สินค้านี้ต้องขายได้ทั่วโลกมันถึงจะมีโอกาสใหญ่ แล้วธุรกิจนี้ต้องลงทุนได้ทั่วโลกธุรกิจนี้ถึงจะมีโอกาสใหญ่ และยิ่งสำคัญกว่าเรื่องอื่นคือธุรกิจที่เราทำเป็นประโยชน์แก่ประชาชนไหม ถ้าไม่ ธุรกิจอันนี้ก็ไม่มีความยิ่งใหญ่" ธนินท์ กล่าว

ทำอะไรอย่าคิดแต่ความสำเร็จอย่างเดียว!

แม้ซี.พี.จะเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจจนเป็นที่ยอมรับทั่วไป ซึ่งสร้างความภูมิใจแก่ทุกคนในองค์กร แต่"ธนินท์" ในฐานะผู้นำไม่เคยกระหยิ่มยิ้มย่อง กลับคิดว่า"เราทำอะไรอย่าไปคิดในทางสำเร็จอย่างเดียว ต้องคิดว่ามีปัญหาอะไรตามมาอีก มีหวานต้องมีขม ได้อย่างต้องเสียอย่าง ถ้างานยิ่งใหญ่ ปัญหายิ่งมีมาก" ทั้งยังกล่าวกับผู้บริหารและพนักงานเป็นประจำว่า"เมื่อได้รับความสำเร็จ ผมดีใจแค่วันเดียว เพราะยิ่งรับงานใหญ่ ภาระของเราก็ยิ่งมากขึ้น"
ด้วยคิดเช่นนี้ ธุรกิจของซี.พี.ภายใต้การบริหารของ ธนินท์ จึงปรับตัวเร็ว และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

เน้นสร้าง"คน"รองรับการเติบโต

กุญแจสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของซี.พี.ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ "คน" ..."ธนินท์"ให้ความสำคัญกับการสร้างคน และมีนโยบายให้ผู้นำกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในเครือซี.พี.เร่งดำเนินการสร้างและพัฒนาคนเก่งเพื่อรองรับการเติบโตบนเวทีการค้าโลก เพราะถ้าไม่มีคนเก่ง ซี.พี.ก็ไม่สามารถชนะในตลาดโลกได้

"ธนินท์" กล่าวว่า การที่จะก้าวสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูงของซี.พี.นั้น จะต้องรู้จักใช้กลยุทธ์ในการสร้างคน โดยหนึ่งในวัฒนธรรมของซี.พี.ที่สำคัญก็คือต้องโปรโมทผู้ใต้บังคับบัญชาโดยเฉพาะการสร้างคนที่เก่งกว่าตัวเองขึ้นมา อย่างเช่นที่ตนเองเคยได้รับโอกาสนั้นจากพี่ชายทั้งสอง คือ จรัญ และ มนตรี เจียรวนนท์

ในการสร้างคนนั้น"ธนินท์" ให้ข้อคิดว่า อย่าไปแบ่งว่าใครเป็นคนของใคร ผู้บริหารที่ดีจะต้องสร้างตัวแทนขึ้นมาให้ได้ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง ต้องรู้จักแสวงหาคนเก่งมาทดแทน ต้องเปิดโอกาสให้คนเก่งได้แสดงความสามารถ

"ผู้บริหารทุกท่าน ต้องสร้างตัวแทน ผมจะยกย่องและนับถือคนที่สามารถสร้างตัวแทนขึ้นมาได้ คนที่รู้จักใช้คนเก่ง คือคนที่เก่งยิ่งกว่า ผมชอบคนเก่ง และอดที่จะเคารพนับถือคนเก่งไม่ได้" ธนินท์ กล่าว

"ธนินท์" กล่าวกับ ผู้บริหารระดับสูงในเครือซี.พี. อยู่เสมอว่า"ถ้าคุณสามารถสร้างคนเก่งได้ คุณคือคนที่เก่งที่สุด"

ในการนี้"ธนินท์" ได้บอกถึงเคล็ดลับ 3 ประการในการสร้างคนเก่ง คือ 1.อำนาจ เพราะคนเก่งต้องมีเวทีมีอำนาจสำหรับใช้ในการแสดงความสามารถ 2.เกียรติ เพราะนอกจากการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่แล้ว คนเก่งต้องการได้รับการยอมรับ และ 3.เงิน ก็คือผลตอบแทนที่จูงใจ

จะเห็นได้ว่า เงิน ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญประการแรกในการสร้างคนตามสไตล์ของ"ธนินท์" ทั้งนี้เพราะ"ธนินท์"คิดว่า สำหรับคนเก่งนั้นเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อำนาจ และเกียรติต้องมาก่อน ด้วยเหตุนี้ซี.พี.จึงมีบริษัทในเครือฯมากมายถึง 200 กว่าแห่งทั่วโลก เพื่อเป็นเวทีสำหรับคนเก่ง

นอกจากนี้"ธนินท์" ยังกล่าวว่า ผมมองคนอื่นว่าเก่งกว่าผมเสมอ ผมไม่เคยมองใครว่าเก่งสู้ผมไม่ได้ สำหรับคนที่ทำงานกับเรา ผมยึดหลักว่าเราจะต้องเปิดโอกาส ให้โอกาสเขาได้แสดงความสามารถ เมื่อใครแสดงความสามารถออกมา เราจะต้องส่งเสริมสนับสนุนเขาให้มีตำแหน่งสูง ๆ ขึ้นไป เราจะต้องพยายามรักษาเขาให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เราจะต้องสร้างคนที่มีความสามารถให้เกิดขึ้นให้มาก ๆ

ในการประชุมคณะกรรมการบริหารของซี.พี.ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำเดือนละ 1 ครั้ง "ธนินท์" ได้เปิดโอกาสให้พนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ร่วมประชุมด้วย และเรียกกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้ว่า Young Talent ซึ่งพนักงานคนรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมประชุม จะได้รับโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ แก่ซี.พี. ซึ่งมีหลายครั้งที่ ธนินท์ นำข้อเสนอแนะไปใช้ในการดำเนินธุรกิจของซี.พี.

"รักษาคู่แข่ง ไม่เอาเปรียบลูกค้า ดูแลสังคม"

ในโลกแห่งการแข่งขันทางการค้าและการทำธุรกิจ "ธนินท์" มีนโยบายให้รักษาคู่แข่ง และไม่เอาเปรียบลูกค้า "ธนินท์" กล่าวว่า นักธุรกิจที่แท้จริง จะพยายามแข่งขันกันอยู่ในขอบเขต จะไม่แข่งจนตายไปฝ่ายเดียว หรือพังไปข้างหนึ่ง ถ้าเรามีความสามารถ เราก็ไปหาธุรกิจที่อื่น ทำไมต้องมาเจาะจงมาแย่งข้าวชามเดียวกัน สุดท้ายสองคน สามคนไม่อิ่มสักคน แล้วก็ไม่มีประสิทธิภาพ

"สมมติว่าเราสองคนต่อยกัน ต่อยกันจนคนหนึ่งตายไป นึกว่าอีกคนไม่เจ็บหรือ ก็เจ็บ...เพราะฉะนั้นวิธีการของ ซี.พี.คือ การถอนแล้วเราก็ไปหาตลาดใหม่ ผมไม่เคยทำให้คู่แข่งผมล้มละลาย"

"ธนินท์" มักจะกล่าวกับผู้บริหารและพนักงานว่าซี.พี.มีนโยบายรักษาคู่แข่ง เราจะไม่ทำลายคู่แข่ง และยังต้องแบ่งตลาดให้ เพื่อให้คู่แข่งสามารถอยู่รอดในตลาดได้ ทั้งนี้เพราะถ้าเราทำลายคู่แข่งไป ก็อาจมีคู่แข่งใหม่เข้ามาซึ่งอาจจะแข็งแกร่งกว่า

นอกจากนี้ ยังให้มองถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก รวมไปถึงคู่ค้าและ Suppliers ด้วย ต้องให้พวกเขาเหล่านั้นอยู่ได้ ต้องไม่เอาเปรียบลูกค้า และยังต้องดูแลสังคม ทั้งนี้เพราะเราเป็นส่วนหนี่งของสังคม ถ้าสังคมอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้

ขายคุณภาพบวกความซื่อสัตย์

คุณภาพ และความซื่อสัตย์ เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจของซี.พี. ซึ่งยึดถือมาตั้งแต่ทำเจียไต๋ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของธุรกิจเครือซี.พี. (เจียไต๋ คือ ร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักฯลฯ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2464 เป็นต้นกำเนิดของธุรกิจต่าง ๆ ในเครือซี.พี. ปัจจุบันเจียไต๋เป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์อันดับต้น ๆ ของเอเซีย)

"ธนินท์" เคยเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อผมมีหัวเรื่องเทคโนโลยี ท่านมีพรสวรรค์เรื่อง พันธุ์พืช พ่อผมไปพัฒนาเมล็ดพันธุ์ผักซัวเถาจากโซนร้อน ซึ่งในประเทศโซนร้อนปลูกทุกครั้ง เก็บอีกทีไม่โตแล้ว ซึ่งแปลกมาก คุณพ่อมาเปิดร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่เมืองไทยชื่อร้านเจียไต๋ ซึ่งคุณพ่อได้สร้างพันธุ์ คัดพันธุ์ที่มีผลผลิตสูง รักษาคุณภาพใส่ในซองที่พิมพ์วันที่ เพราะเมล็ดพันธุ์พอถึงเวลาหนึ่งจะไม่งอก คุณพ่อบอกว่าถ้าใครซื้อเมล็ดพันธุ์ถ้าเลยวันที่กำหนดแล้วให้เอามาคืน จึงเป็นมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อแล้วที่ต้องรักษาคุณภาพ

"คุณพ่อท่านบอกว่า ถ้าเราจะทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ถ้าลูกค้าอยู่ไม่ได้เราก็อยู่ไม่ได้ ถ้าลูกค้าร่ำรวย ธุรกิจเจียไต๋ที่คุณพ่อทำ ลูกค้าปลูกเอาไปขาย ไม่ใช่ปลูกเล่นดูสวยงามถ้าลูกค้าปลูกแล้วขายไม่ได้ไม่มีราคา ขาดทุน เที่ยวหน้าเขาก็ไม่มาซื้อ เหมือนเลี้ยงไก่เพื่อต้องการขายไข่ได้กำไร ถ้าเราไม่มีวิธีการไปช่วยเขา ไม่ได้ช่วยเขาควบคุมเรื่องคุณภาพ เขาอยู่ไม่ได้"

ยึดหลัก"3 ประโยชน์"

นักธุรกิจที่จะทำธุรกิจใหญ่ ต้องเข้าใจด้วยว่า เราอยู่ด้วยตัวเราคนเดียวไม่ได้ ถ้าสังคมอยู่ไม่ได้เราจะอยู่ได้อย่างไร ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม และตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

"เครือเจริญโภคภัณฑ์ จะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงว่า ประเทศชาติต้องได้ประโยชน์ ประชาชนต้องได้ประโยชน์ และบริษัทก็ต้องได้ประโยชน์ด้วย" ธนินท์ กล่าว "นโยบาย 3 ประโยชน์" ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของเครือซี.พี.

"ผมถือว่า ธุรกิจที่ผมทำเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต่อสังคม ผมคิดว่าถ้าเรามีโอกาสสร้างคน สร้างงาน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ตลอดเวลาผมถือแบบนี้ เข็มมันจะแหลมไปทั้ง 2 ข้างไม่ได้ ต้องทู่ข้างหนึ่ง แต่สำคัญว่า ธุรกิจต้องเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็จะเท่ากับเป็นการช่วยสังคม เราสร้างสรรค์ สร้างงาน สร้างอาชีพ ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรคือการกระจายรายได้ คนมักเข้าใจว่าต้องกระจายแต่ไม่รู้ว่าการ กระจายจริง ๆ เป็นอย่างไร วิธีที่ถูกต้องคือการสร้างงาน"

"ธนินท์"กล่าวว่า ซี.พี.ก้าวหน้าและเติบโตมาจนถึงปัจจุบันจะก้าวสู่ปีที่ 90 ในปี 2554 ด้วยเพราะได้ดำเนินธุรกิจอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงต้อง"ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"อันได้แก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ธุรกิจกิจการของซี.พี.จึงราบรื่น เติบโตอย่างมั่นคงและเป็นปึกแผ่นได้ในประเทศไทย และสามารถขยายกิจการไปยังต่างประเทศได้อย่างไม่หยุดยั้ง

ในมุมมองของการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินของ"ธนินท์" ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจนั้น คิดว่าการทุ่มเทการทำงานเพื่อสร้างธุรกิจให้เจริญก้าวหน้า การได้สร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่คนมากมาย สร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ การเสียภาษีให้กับรัฐบาล การมีความรับผิดชอบต่อสังคม การสร้างคนเก่ง สร้างคนไทยให้ไปแข่งขันทางธุรกิจกับทั่วโลก เป็นการพัฒนาคนให้ได้เหรียญทองทางธุรกิจ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติเช่นเดียวกับการที่นักกีฬาได้รับเหรียญทองโอลิมปิก


ทั้งหมดคือปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้"ธนินท์ เจียรวนนท์" เป็นผู้บริหารที่โดดเด่นบนเวทีโลก
ที่ news.sanook.com




กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ตอบโจทย์ทิศทางประเทศไทย

รู้จักกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ตอบโจทย์ทิศทางประเทศไทย
โดย : ธิติ สุวรรณทัต วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2554


พลันที่นักการเมืองจุดพลุดึง "ทุนสำรอง" ตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ นี่คือข้อมูลที่จะทำให้รู้จักและรู้ทันความคิดฝ่ายการเมือง

แนวคิดที่จะจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF ) ของประเทศไทยเริ่มก่อตัวเป็นรูปธรรมเมื่อสักประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว คือช่วงปี 2549-2550 ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ก่อนที่วิกฤติซับไพรม์จะปะทุขึ้นที่สหรัฐในปี 2551 ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หรือ SWFs จากประเทศต่างๆ กำลังผงาดขึ้นมาเป็นตัวละครที่สำคัญและมีบทบาทมากในระบบเศรษฐกิจการเงินโลก

แต่ภายหลังจากที่วิกฤตการณ์ซับไพรม์ในสหรัฐลุกลามไปเป็นวิกฤติการเงินโลก ความเคลื่อนไหวของบรรดา SWFs ทั้งหลายก็เงียบไประยะหนึ่ง เพราะความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก อันเนื่องมาจากวิกฤติการเงินโลกที่อุบัติขึ้นในตอนนั้น

ในวันที่ 3 มี.ค.2552 คณะรัฐมนตรี (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้มีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่องการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า “บรรษัทบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย" หรือ Thailand Investment Corporation (TIC) เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย

ในเบื้องต้น สภาที่ปรึกษาฯเสนอว่า รัฐบาลจะต้องจัดสรรเงินทุนประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินทุนประมาณร้อยละ 10 ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (ในช่วงเดือน ม.ค.2552 ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองอยู่ที่ประมาณ 1.10 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ณ ปัจจุบัน เดือน ก.ค.2554 มีประมาณ 1.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และในอนาคตถ้าหากประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งออกก็สามารถนำเอารายได้ส่วนเกินตรงนั้นเข้ามาสมทบในกองทุนเพิ่มเติมก็ได้

นอกจากนั้น สภาที่ปรึกษาฯยังได้เสนอรูปแบบของการบริหารองค์กร TIC หรือ บรรษัทบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกำกับดูแล TIC ที่ต้องได้รับการสรรหาอย่างโปร่งใสตามมาตรฐานสากลและปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง พร้อมกับให้มี "คณะกรรมการนโยบายการลงทุน" และ "คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง" เพื่อจัดทำนโยบายการลงทุนและนโยบายการบริหารความเสี่ยงเสนอให้คณะกรรมการกำกับการดูแล TIC พิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อดำเนินงานต่อไป

ส่วนคณะผู้บริหาร TIC นั้น สภาที่ปรึกษาฯ เพียงเสนอแนะไว้กว้างๆ ว่า "คณะผู้บริหารจะต้องเป็นทีมงานมืออาชีพที่มีความสามารถและประสบการณ์การบริหารกองทุนและการบริหารความเสี่ยงดีเยี่ยม"

สำหรับการบริหารเงินทุนนั้น สภาที่ปรึกษาฯ เสนอว่าควรเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Investment) ในต่างประเทศเท่านั้น และผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากการบริหารจัดการลงทุนนอกจากเก็บเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มเติมแล้ว ก็อาจนำไปใช้พัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ได้เป็นบางส่วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งสภาที่ปรึกษาฯ เสนอให้มีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อรองรับการทำงานของบรรษัทบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย พร้อมกับต้องมีการบัญญัติบทลงโทษคณะกรรมการ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานต่างๆ ของ TIC ให้ชัดเจนเพื่อสามารถนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาได้ในกรณีที่มีการบริหารกองทุนอันไม่โปร่งใส นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ผิดพลาด ขาดทุน หรือทำให้กองทุนเสียผลประโยชน์

โดยหลักการเบื้องต้น ความเห็นและข้อเสนอของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับการการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทยถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะ SWF เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการบริหารสินทรัพย์ภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดผลตอบแทนต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางและระยะยาวได้

แต่ทั้งนี้มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องศึกษาถึงความพร้อมในการจัดตั้ง TIC ในประเด็นต่างๆ ให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะประเด็นที่จะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นแหล่งเงินทุนเริ่มต้นในการจัดตั้ง TIC เนื่องจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ดังนั้นจึงควรศึกษาให้รอบคอบว่าเงินทุนสำรองที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันเป็นเพราะการเพิ่มขึ้นในความมั่งคั่งของประเทศจริงหรือไม่ และปริมาณเงินทุนสำรองที่มีอยู่ดังกล่าว ณ ปัจจุบัน อยู่ในระดับสูงจนเกินความจำเป็นจริงหรือไม่

ในปัจจุบันมีกว่า 50 SWFs ในกว่า 40 ประเทศที่ใช้ SWF เป็นเครื่องมือในการบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนเกิน โดยในบางประเทศมี SWF มากกว่าหนึ่งกองทุน เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน สิงคโปร์ เป็นต้น

คูเวต เป็นประเทศแรกที่ได้มีการจัดตั้งกองทุนประเภทนี้ขึ้นในปี ค.ศ.1953 คือ องค์การการลงทุนคูเวต หรือ Kuwait Investment Authority (KIA) เนื่องจากคูเวตเป็นประเทศที่มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมติดต่อกันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีปริมาณเงินสำรอง "ส่วนเกิน" เป็นจำนวนมาก ซึ่งมาจากรายได้ในการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ดังนั้นรัฐบาลคูเวตจึงตั้ง SWF ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการเงินทุนสำรองส่วนเกินดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วไป ที่เน้นการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและการดูแลสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ

วัตถุประสงค์ในการตั้ง SWF ของประเทศคูเวตในตอนนั้นก็เพื่อต้องการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เป็นส่วนเกินอันได้จากผลกำไรในการจำหน่ายน้ำมันดิบมาสร้างผลตอบแทนและกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยนำมาลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนของโลก ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นเพียงการลงทุนในระยะสั้นๆ เท่านั้น

ต่อมารูปแบบการลงทุนของ SWF ได้เริ่มมีการพัฒนาและก้าวหน้าขึ้นตามลำดับควบคู่กับพัฒนาการระเบียบเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของโลกาภิวัฒน์ทางการเงิน (Financial Globalization) ที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นๆ อันเป็นผลจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร และการเกิดขึ้นของนวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation) ในรูปแบบต่างๆ

สิงคโปร์ ถือเป็นประเทศที่ริเริ่มบุกเบิกการลงทุนในรูปแบบของ SWF อย่างแท้จริง ในปี ค.ศ.1981 รัฐบาลสิงคโปร์ได้ตั้งบรรษัทเพื่อการลงทุนของรัฐ (Government of Singapore Investment Corporation - GIC) โดยการนำเอาทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนเกินที่ได้กำไรจากการส่งออกสินค้าและการค้าอัตราแลกเปลี่ยนมาลงทุน

โดยก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ.1974 นายลี กวน ยู ผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์และนายกรัฐมนตรีคนแรก (1965-1990) ก็ได้ตั้ง "เทมาเส็กโฮลดิ้ง" (Temasek Holdings) อันเป็นบรรษัทที่จัดตั้งโดยรัฐบาลสิงคโปร์ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของในนามรัฐบาล วัตถุประสงค์ในเวลานั้นก็เพื่อต้องการให้ "เทมาเส็กโฮลดิ้ง" เข้ามาบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจต่างๆ แทนรัฐบาล ปัจจุบันการลงทุนของกองทุนเทมาเส็กได้กระจายไปเกือบทุกภาคเศรษฐกิจ ตั้งแต่การสื่อสาร โทรคมนาคม ภาคการเงิน การขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ยา วิทยาศาสตร์ชีวภาพ

ต่อมารัฐบาลในหลายๆ ประเทศก็เริ่มมีการตั้งบรรษัทเพื่อการลงทุนของรัฐในลักษณะดังกล่าวบ้าง เช่น องค์การการลงทุนอาบูดาบี (Abu Dhabi Investment Authority - ADIA) ของประเทศสหรัฐอาหรับอามิเรสต์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1976 โดยในปัจจุบันกองทุน ADIA ถือเป็น SWF ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีเงินทุนรวมประมาณ 6.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากนั้น SWFs ในประเทศต่าง ๆ ก็ได้มีความเจริญเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) ประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเป็นส่วนเกินจำนวนมากก็ได้มีการจัดตั้ง SWFs ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารเงินทุนสำรองส่วนเกิน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ร่ำรวยหรือมีเงินทุนสำรองส่วนเกินเพิ่มขึ้นมาจากการค้าน้ำมันหรือการส่งออก
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2011q3/2011_August_22p6.htm

ติดหนี้อยู่ แล้วจะออมเงินได้หรือไม่

ติดหนี้อยู่ แล้วจะออมเงินได้หรือไม่ หลายคนคงเคยมีความคิดว่า หากต้องการสร้างความมั่นคง


ให้กับชีวิตในอนาคต ก็ควรต้องมีเงินเก็บให้ได้สัก 10 ล้าน แล้วนำไปลงทุนเพื่อสร้างให้เงินงอกเงย ขณะที่คนที่มีหนี้ก็คงต้องชำระหนี้สินต่อไป ซึ่งเป็นอุปสรรคในการออมเงินอย่างมาก การออมเงินสำหรับคนเป็นหนี้จึงไม่สามารถทำได้ ความคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะโดยทั่วไปแล้ว คนเราจะมีภาระผ่อนชำระหนี้สินที่ค่อนข้างคงที่ ซึ่งคิดเป็นเพียงสัดส่วน ๆ หนึ่งของรายได้ต่อเดือน เนื่องจากสถาบันการเงินจะยอมให้ผู้กู้ กู้เงินได้โดยจะต้องมีภาระผ่อนชำระต่อเดือนที่ไม่เกิน 40% ของรายได้ นั่นหมายความว่าผู้กู้จะมีเงินบางส่วนเหลือไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว รวมถึงการออม
หากพิจารณาในด้านหนี้สินนั้น จะมีทั้งหนี้ที่ดี และหนี้ที่ไม่ดี หนี้ที่ดีนั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับเรา รวมถึงมูลค่าของสินทรัพย์ที่เกิดจาการกู้หนี้ดังกล่าวจะไม่ลดลงไปตามกาลเวลา ยกตัวอย่างเช่น ภาระหนี้จากการซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับปล่อยเช่า ถ้าค่าเช่าที่สูงกว่าภาระผ่อนเงินกู้ต่อเดือนก็จะสร้างรายได้ให้เรา และหากในอนาคตราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น เราก็สามารถขายทำกำไรได้ ขณะที่หนี้ที่ไม่ดีนั้น ได้แก่ หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากมีภาระดอกเบี้ยสูง และเป็นหนี้ที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค จึงไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามมา

การมีหนี้ผ่อนอสังหาริมทรัพย์ข้างต้น อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ที่ไม่เคยมีเงินออม ตั้งใจเก็บเงินอย่างจริงจังก็ได้ เพราะเมื่อได้ทำสัญญาเงินกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้ว จะเป็นการบังคับให้ผู้ทำสัญญาต้องส่งเงินทุกเดือนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาเงินกู้ ดังนั้นการผ่อนชำระหนี้สินดังกล่าวในแต่ละเดือน จึงเหมือนเป็นการออมในอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรมีหนี้สินดังกล่าวมากนัก เพราะอาจส่งผลต่อสถานะการใช้จ่ายด้านอื่นๆ ที่กระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคุณ

สำหรับผู้ที่มีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวนมาก เช่น ภาระหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น คุณควรชำระหนี้ระยะสั้นให้หมดโดยเร็ว เนื่องจากหนี้ประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยที่สูง และจะเริ่มนับคำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่คุณได้ใช้เงิน ถ้ามีหนี้หลายประเภท แนะนำให้รีบชำระหนี้ระยะสั้นก่อน เพราะดอกเบี้ยจะแพงกว่าหนี้ประเภทอื่น
ที่มา https://www.k-weplan.com/HowTo/Pages/Howto_013.aspx

ข้อมูลแหล่งความรู้เพื่อการลงทุนที่น่าสนใจ

ข้อมูลแหล่งความรู้เพื่อการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุนในครั้งแรก


อาจไม่ทราบว่าควรเริ่มศึกษาข้อมูลการลงทุนจากที่ใด เนื่องจากมีข้อมูลให้ศึกษาค้นคว้าอยู่มากมาย ทั้งในแง่ของข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน รวมถึงขั้นตอนต่างๆสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มหัดลงทุนแล้ว การมีจุดเริ่มต้นดีๆ ในการศึกษาหาข้อมูลจะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการเริ่มต้นลงทุนได้ โดยศึกษาได้จากข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น
TSI (Thailand Securities Institute) สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดเงิน และตลาดทุน ที่ได้รวมรวมความรู้เพื่อการลงทุนไว้ที่ www.tsi-thailand.org โดยมีหัวข้อน่าสนใจได้แก่ เส้นทางลงทุน เส้นทางวิชาชีพ หลักสูตร บทความน่าสนใจ รวมถึงการจัดอบรม และสัมมนาทางการเงินที่สถาบันจัดทำขึ้น
Settrade นักลงทุนสามารถติดตามราคาหลักทรัพย์ได้ที่ www.settrade.com ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมราคาสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่หุ้น ทองคำ น้ำมัน หน่วยลงทุน อัตราแลกเปลี่ยน สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฯลฯ
SET (Stock Exchange of Thailand) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากคุณต้องการทราบข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีตลาด สถิติ ราคาหลักทรัพย์ วิธีการ และระบบที่ใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ สามารถดูได้จากเวปไซด์ www.set.or.th ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล
SEC (Securities Exchange Commission) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีเวปไซด์ www.sec.or.th ที่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ หลักการ ข้อปฏิบัติ รวมถึงรายชื่อบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจตามพรบ.หลักทรัพย์ฯ รายชื่อผู้ติดต่อผู้ลงทุน
AIMC (Assosiation of Investment Management Company) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน รวบรวมข้อมูลรายอุตสาหกรรมของกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล ไว้ที่เวปไซด์ www.aimc.or.th
Thaimutualfund.com กองทุนรวมซึ่งได้รวบรวมเรื่องน่ารู้ และเกร็ดทั่วไป ข้อมูลโดยสังเขปของกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ ไว้ที่ www.thaimutualfund.com
หลังจากที่ท่านเสาะหาแหล่งข้อมูลแล้ว หากมีปัญหาทางการเงินสามารถปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ที่ตอบปัญหาด้านการออมและการลงทุน ภาษีเงินได้ และสินเชื่อผ่านทาง k-weplan@kasikornbank.com และเวปบอร์ด K-WePlan ซึ่งจัดทำขึ้นผ่านทางเวปไซด์ www.k-weplan.com เพื่อช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่ตรงประเด็น รวดเร็ว และมีความเป็นกันเอง ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่มีปัญหาการเงิน และต้องการสอบถามข้อมูลอย่างมาก
ที่มา https://www.k-weplan.com/HowTo/Pages/Howto_020.aspx

เช็คความพร้อมด้านการเงิน ก่อนเริ่มลงทุน

เช็คความพร้อมด้านการเงิน ก่อนเริ่มลงทุน ถ้าชีวิตเราเหมือนการเดินทาง


แน่นอนถ้าจะเดินทางไกลหากเราไม่ตรวจเช็คเครื่องอย่างสม่ำเสมอ แล้วเกิดยางแตก หรือหม้อน้ำรั่วอาจทำให้ไปไม่ถึงจุดหมาย หรือไปถึงได้ล่าช้าลง ชีวิตก็เหมือนการเดินทาง ต้องมีการตรวจเช็คความพร้อมทางด้านการเงินก่อน

ขั้นแรก ของการเช็คความพร้อมก่อนเริ่มลงทุน เราควรมีเงินเก็บสำรองอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพื่อสำรองไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินในอนาคต สำหรับผู้ที่มีภาระผ่อนหนี้สิน หรือภาระดูแลบุตร บิดามารดา แนะนำให้สำรองเงินดังกล่าวมากกว่าผู้ที่ไม่มีภาระใดๆ เงินสำรองฉุกเฉินก้อนนี้ควรเก็บไว้ในบัญชีที่มีความเสี่ยงต่ำ พร้อมสำหรับการใช้จ่ายได้ทันที เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือบัญชีกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น

ขั้นที่สอง ตรวจเช็คภาระหนี้สินที่มีอยู่ของตัวคุณ ว่ามีต้นทุนทางการเงินหรือดอกเบี้ยที่สูงหรือต่ำกว่าการลงทุนที่คุณกำลังเลือก เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนอาจไม่คุ้มค่ากับดอกเบี้ยที่จ่ายไป กล่าวคือการนำเงินไปชำระหนี้อาจสร้างประโยชน์มากกว่าการนำเงินไปซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น การนำเงินโบนัสจำนวน 100,000 บาท มาชำระหนี้จำนองบ้านกับธนาคารพาณิชย์ซึ่งเสียดอกเบี้ยในอัตรา 7% ต่อปี ย่อมคุ้มค่ากว่าการนำเงินจำนวนเดียวกันมาลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ย 3.60%ต่อปี เป็นต้น

ขั้นสุดท้าย ตรวจเช็คระดับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเราเองว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยเลือกนำเงินไปลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ซึ่งระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านได้แก่ อายุ สุขภาพ ความรู้และประสบการณ์ สถานะ ภาระหนี้ และความมั่งคั่งที่มี

การตรวจเช็คความพร้อมทางการเงิน ก่อนเริ่มต้นลงทุน มีส่วนช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายการลงทุนได้ชัดเจนขึ้น และช่วยให้การจัดสรรเงินลงทุนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจ
ที่มา https://www.k-weplan.com/HowTo/Pages/Howto_014.aspx

การเริ่มต้นลงทุน สร้างธุรกิจ

การเริ่มต้นลงทุน สร้างธุรกิจ ภาวะปัจจุบันที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


การเก็บออมกับธนาคารเพียงอย่างเดียวอาจได้รับผลตอบแทนไม่เพียงพอที่จะชดเชยค่าครองชีพที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น สาเหตุเกิดจากอัตราเงินเฟ้อทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นเราควรเริ่มมองหาวิธีที่จะช่วยให้เงินออมที่เก็บไว้งอกเงยขึ้นผ่านการลงทุน เพื่อชดเชยอำนาจซื้อที่อาจสูญหายในอนาคต กรณีที่สินค้าและราคาข้าวของแพงขึ้นกว่าเดิม

การลงทุนทำได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะลงทุนทางตรง เช่น เปิดร้านอาหาร ซื้อที่ดิน ซื้อทองคำ หรือลงทุนทางอ้อม เช่น ลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สถาบันการเงินเสนอขาย การลงทุนทางตรงจะต้องอาศัยเงินทุนสูง รวมถึงประสบการณ์ทางธุรกิจ เช่น อำนาจการต่อรองทางการค้า และเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจกรณีเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้ที่ไม่รู้ลึกในธุรกิจนั้นอย่างแท้จริง แต่สำหรับการลงทุนทางอ้อมในผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้น สามารถเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่ต่ำกว่า มีสภาพคล่องสูงเนื่องจากมีตลาดรองรับสามารถขายคืนได้ทันที และไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ทางธุรกิจ เพียงแต่เข้าใจถึงนโยบายการลงทุนของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่า เรากำลังลงทุนในอะไร มีความเสี่ยงต่ำหรือสูง และมีเงื่อนไขหรือปัจจัยสำคัญอะไรที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา https://www.k-weplan.com/Pages/subcat5.aspx?category=2&subcategory=5

ข้อมูลและคำถามเกี่ยวกับเอครดิตบูโร

เครดิตบูโรคืออะไร?
เอครดิตบูโร เรามาทำความรู้จักกับธุรกิจข้อมูลเครดิต หรือ Credit Bureau กันนะคะ


Credit Bureau นั้นมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของบุคคลจากสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเมื่อลูกค้าให้ความยินยอมให้สถาบันการเงินตรวจสอบข้อมูลการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของตนในขณะที่ยื่นขอสินเชื่อแล้วนั้น สถาบันการเงินก็สามารถจะเรียกดูข้อมูลดังกล่าวจาก Credit Bureau เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ค่ะ
ประโยชน์จากการจัดเก็บข้อมูล ?
การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินนั้นมีหลักสำคัญอยู่ที่ว่า ต้องรู้จักลูกค้าให้ดีพอ ในกรณีที่ผู้ขอสินเชื่อไม่เคยมีประวัติสินเชื่อกับสถาบันการเงิน โอกาสที่จะได้รับสินเชื่อย่อมมีน้อยลง แต่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเครดิตจะทำให้สถาบันการเงินสามารถรู้จักวินัยทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อได้จากรายงานข้อมูลดังกล่าว เป็นอย่างดี ดังนั้นหากผู้ขอสินเชื่อมีประวัิติการชำระที่ดี การเปิดเผยข้อมูลเครดิตก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อด้วยนะค่ะ อย่างไรก็ดีการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีองค์ประกอบอื่นที่นำมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น รายได้ และหลักประกัน ของผู้กู้ค่ะ
ใครมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาดูรายงานข้อมูลเครดิต?
นอกจากสถาบันการเงินที่ผู้ขอสินเชื่อได้ให้ความยินยอม จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อได้แล้ว ผู้ขอสินเชื่อเองก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมาขอดูรายงานข้อมูลเครดิตของตนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ค่ะ โดยการยื่นคำขอได้ที่ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยให้ยื่นคำขอผ่านธนาคารนครหลวงไทยทุกแห่งทั่วประเทศก็ได้ค่ะ มีค่าธรรมเนียม 200 บาท ค่ะ (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 50 ค่าธรรมเนียมลดเหลือ 100 บาท) ทั้งนี้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้ค่ะ
การรักษาความลับ
นอกจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะมีหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลเครดิตเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อแล้วนั้น บริษัทยังมีหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลด้วยนะคะ โดยบริษัทจะเปิดเผยรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่สถาบันการเงินที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อเท่านั้นค่ะ นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกทำลาย หรือถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยคุ่ะ ดังนั้นคุณผู้ฟังก็มั่นใจได้เลยนะคะว่า ข้อมูลเครดิตของคุณผู้ฟังจะไม่ถูกนำไปเปิดเผยในทางอื่นใดค่ะ
การติดแบล็กลิส (Black List)
ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะติดแบล็กลิสจากเครดิตบูโรใช่ไหมค่ะ จริงๆ แล้ว เครดิตบูโรไม่มีสิทธิ์ในการจัดแบล็กลิสผู้ขอสินเชื่อนะคะ เพราะเครดิตบูโรจะทำหน้าที่รวบรวมประวัติการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตของสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินตามข้อเท็จจริง ซึ่งสถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อค่ะ เพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น รายได้ของผู้สมัครสินเชื่อ หลักประกัน บุคคลผู้ค้ำประกัน เป็นต้นค่ะ ในทางกลับกัน หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้นค่ะ
รายงานข้อมูลเครดิต=รายงานผลการศึกษา
ท่านอาจเคยสงสัยว่า เหตุใดเมื่อผู้ขอสินเชื่อได้ชำระสินเชื่อที่เคยผิดนัดชำระไปเรียบร้อยแล้ว ประวัติการผิดนัดชำระยังปรากฏอยู่ในรายงานข้อมูลเครดิตอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าข้อมูลเครดิตถูกเก็บเป็นประวัติคล้ายกับรายงานผลการศึกษาค่ะ โดยการชำระหนี้ก็เหมือนผลการเรียน ที่จะได้ดีหรือไม่ อย่างไร ก็จะบันทึกตามข้อเท็จจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากต้องการแก้ไขให้มีประวัติชำระที่ดีขึ้น ก็ต้องชำระหน้าที่ค้างไว้ให้เสร็จสิ้น เพราะจะเป็นเหมือนการสอบซ่อมเพื่อให้มีผลการเรียนเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีวินัยและความตั้งใจที่ดีนั่นเองค่ะ แต่ทางที่ดีที่สุด ก็คือการไปชำระหนี้ให้ครบถ้วนและตรงเวลาทุกครั้งนะคะ
ที่มา http://www.ncb.co.th/CreditBureau_6.htm

สอนลงทุนยุคทองพุ่ง

เปิดใจเจ้าพ่อสอนลงทุนยุคทองพุ่ง 'สุวรรณ วลัยเสถียร' กำไร-ความสุข


พลิกประวัติศาสตร์กันอีกแล้วสำหรับราคาทองคำในประเทศที่วิ่งทะยานพุ่งพรวด ๆ กันเป็นว่าเล่น หลังบรรดานักลงทุนต่างเฟ้นหาวิธีลดความเสี่ยงจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐโดยหันเข้ามาลงทุนในทองคำแทนเพราะถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากที่สุด

“เดลินิวส์” จึงขอนำเสนอมุมมองของกูรูเศรษฐกิจอีกคนอย่าง “สุวรรณ วลัยเสถียร” ประธานชมรมคนออมเงิน เพื่อไขข้อข้องใจให้กับหลาย ๆ คน นำไปใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจจะก้าวเข้ามาเป็น “ผู้เล่น” เพื่อหวังทำกำไรเข้ากระเป๋า

ถาม : ณ วันนี้ มองราคาทองไว้อย่างไร

ตอบ : ผมเชื่อครับว่า ราคาทองคำจะแตะที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 30,000 บาท แน่นอน แต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาทองปรับขึ้นไปแล้วถึง 20% หรือจาก 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,800-1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และเชื่อว่าแนวโน้มราคาทองในช่วง 2 ปีนี้ จะเป็นช่วงขาขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่หลังจาก 2 ปีไปแล้วคงพูดได้ยากมากว่าจะออกมาในทิศทางใด เพราะถึงวันนั้นคงต้องมาติดตามปัจจัยต่าง ๆ กันอีกครั้งหนึ่ง

ถาม : ปัจจัยใดบ้าง ที่สนับสนุนให้ราคาทองปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตอบ : ปัจจัยที่ทำให้ทองขึ้นมันมีอยู่หลายปัจจัยมาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนแอ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ประกอบกับการออกมาประกาศว่าเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำพิเศษต่อเนื่องยาวนานถึง 2 ปี ปัจจัยต่อมาคือ ปัจจุบันธนาคารกลางของ
หลาย ๆ ประเทศ เริ่มสะสมทองเพื่อนำไปเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนประชาชนที่มีทองเก่าที่ซื้อไว้ตั้งแต่บาทละ 6,000-7,000 บาท เก็บไว้ในลิ้นชัก ซึ่งผมมักเรียกว่า “ทองใต้หมอน” จะเริ่มเอาออกมาขาย แม้เป็นตัวกดให้ราคาไม่ขึ้นในช่วงแรก แต่เมื่อทองเก่าหมดจากตลาดไป จะถึงยุคที่ทองขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยคือ มนุษย์เราเห็นทองเป็นสวรรค์ปลอดภัย ทำให้เมื่อประสบปัญหาการลงทุนหรือมีวิกฤติอะไรเกิดขึ้น จะทำให้นักลงทุนวิ่งเข้าหาทองคำทันที ประกอบกับในอีก 4 เดือนข้างหน้า จะเป็นเทศกาลแต่งงานของชาวอินเดีย ความต้องการทองจะสูงมากถึง 125 ตัน และในปีนี้มีโอกาสที่อินเดียซื้อทองเก็บมากขึ้น 1,000 ตันก็เป็นได้ ยิ่งทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น

ถาม : ห่วงเรื่องฟองสบู่แตกในราคาทองคำหรือไม่

ตอบ : ผมไม่กลัวว่าจะเกิดฟองสบู่ในช่วงนี้ เพราะเชื่อว่าของทุกอย่างในโลกราคาต้องแพง เนื่องจากคนแย่งกันซื้อ เช่นเดียวกับ ’ทองคำ” ที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนมาก เห็นได้จากช่วง 2 ปีนี้มีนักลงทุนเข้ามาในทองมหาศาล ซึ่งเชื่อว่าอะไรก็ตามที่เพิ่มขึ้นราคาสูงขึ้น แสดงว่ามีแรงซื้อมาหนุน หากราคาทองจะลดลง คงเพราะคนเข้ามาเก็งกำไรมากกว่า แต่ตอนนี้แรงเทขายน้อย คนส่วนใหญ่เข้ามาซื้อเพื่อเก็บไว้มากกว่า ยังไม่เห็นแรงเทขายออกมา แสดงว่าราคาทองคำจะไม่เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างแน่นอน

ส่วนคนที่มองว่าจะเหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้วที่ราคาทองขึ้นไปเยอะแล้วตกลงมาเรื่อย ๆ และมานิ่งอยู่ที่ระดับราคาหนึ่งเป็นเวลานาน ๆ ผมเชื่อว่าวันนี้คงแตกต่างกัน สมัยนั้นนักลงทุนเลือกการลงทุนอื่น ๆ ได้ เช่นการฝากเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 12% แต่สมัยนี้มันต่างกันมากไม่มีแล้ว และถ้าจะให้ขายทองไปฝากเงินกับธนาคารผมเชื่อว่าคงยากมาก

ถาม : ช่วงที่ราคาทองผันผวนมาก แนะนำให้นักลงทุนหันไปลงทุนสินทรัพย์ใดดี

ตอบ : ก่อนอื่นเลย นักลงทุนทุกคนต้องถามตัวเองก่อนว่า ชอบสินทรัพย์ใด เพราะทุกคนมีความชอบไม่เหมือนกัน บางคนชอบหุ้น บางคนชอบเข้าไปลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ บางคนชอบพันธบัตร หรือทอง มันก็แล้วแต่กันไป แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำเวลานี้มีทองติดมือไว้บ้างมันก็ดี เพราะมันมีโอกาสขึ้นไปได้อีก แต่ก็ต้องคิดว่าไม่มีอะไรในโลกที่จะดีตลอด อย่างทองนี่ก็ดีมา 5-6 ปีแล้ว ก็มีกระแสข่าวบอกว่าวงจรเกือบหมด ต้องระวัง ต้องหาทางเลือก อย่างหุ้น 10 ปี จะดีสัก 5-6 ปี แล้วอีก 2 ปีย่ำแย่ หุ้นปีนี้ก็ยังไปได้ คือนักลงทุนต้องกระจายการลงทุน เช่น ชอบหุ้น ก็ลงหุ้น 40-50% ชอบพันธบัตรก็ลงพันธบัตรสัก 50-60% ที่เหลือก็กระจายไปอย่างอื่น

“สำหรับผมแล้วหากมีอยู่ 100% ผมจะลงทอง 20% พันธบัตร 10% อีก 50% ลงไปที่หุ้น ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ผมไม่ค่อยได้ลงเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ต้องดูแล ต้องไปหาคนเช่า ยื่นภาษี ติดต่อคนเช่า ต้องคอยดูแล ซึ่งไม่มีเวลามากเลยไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่มีลงทุนในตัวที่อยู่อาศัยของตัวเองสักประมาณ 20% อย่างไรก็ดีส่วนตัวแล้วไม่ชอบพันธบัตรเท่าใดนัก เพราะเป็นคนโลภมาก หากลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์นั้นต้องให้ผลตอบแทนอย่างน้อย 8% ต่อปี แต่พันธบัตรหา 8% ยากมาก ไม่มีเลย ผมยอมรับความเสี่ยงได้ ทั้งหุ้นและทอง แต่ถ้าอยู่กับพันธบัตรแล้วไม่เสี่ยงแต่ได้แค่ 3% ผมไม่เอาดีกว่า ผมยอมเสี่ยงดีกว่า”

ส่วนการลงทุนหุ้นนั้น มันเลือกยาก เพราะว่าหุ้นมี 600 ตัวจะจิ้มถูกได้ไง แต่ทองมีตัวเดียวเลยลงทุนง่าย และหุ้นไม่ชอบวิกฤติ ถามว่าตอนนี้เมืองไทยมีวิกฤติไหมเรื่องการเมือง อาจจะเงียบไป แต่ยังมีอยู่ ส่วนใหญ่เลือกที่กลุ่มพาณิชย์ โดยเฉพาะซูเปอร์สโตร์ เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ข้าวยากหมากแพง แต่ประชาชนต้องจับจ่ายใช้สอย ส่วนในกลุ่มพลังงานผมถอนตัวมานานแล้ว เพราะเชื่อว่าน้ำมันคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเท่านั้น ดังนั้น ส่วนตัวผมจึงเลือกลงทุนในทองมากกว่า เพราะไม่ขึ้นกับปัจจัยในประเทศ ข้าวยากมากแพงอย่างไรไม่สำคัญ เพราะทองขึ้นอยู่กับตลาดโลก

ถาม : สิ่งที่นักลงทุนต้องคำนึงถึงในการลงทุน

ตอบ : สำหรับผมแล้วคือผลตอบแทนและความสุขใจกับสิ่งที่ได้ทำ เพราะการลงทุนอย่าหวังผลตอบแทนอย่างเดียว ต้องหวังความสุขด้วย อย่างผมดูหุ้นก็เฉย ๆ แต่พอมาดูทองมันขึ้นเอาขึ้นเอา ดูแล้วมันมีความสุข ความสุขที่มันให้เราหาค่าไม่ได้ ซื้อหุ้นไม่เห็นหุ้นเพราะอยู่กับโบรกหมด ไปลงในกองทุนหรือฝากเงินก็ไม่เห็นเงินนอกจากไปกดเอทีเอ็มออกมา การลงทุนที่มีวัตถุให้ดูคือบ้านกับทองคำ ทองดูแล้วมันมีความสุขไม่เคยเบื่อจริง ๆ

ถาม : สิ่งที่อยากฝากกับรัฐบาลชุดนี้

ตอบ : อยากให้รัฐบาลส่งเสริมการออมให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่าประชาชนมีหนี้เป็นจำนวนมาก รัฐบาลต้องส่งเสริมและให้มาตรการจูงใจในการออม เช่น สิงคโปร์ที่เข้มงวดในการออมมาก ทุกคนต้องเอาเงินใส่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลย 20% นายจ้างใส่อีก 20% ทุกคนจะได้ออม 40%

แต่สำหรับประเทศไทยมีกฎเยอะแล้วแค่หามาตรการมาจูงใจให้คนออมมากขึ้นแล้ว หากผมแนะนำมนุษย์เงินเดือนทุกคนคือ มนุษย์เงินเดือนมีรายได้ 2 ทาง คือ เงินเดือนกับโบนัส อย่างโบนัส ใช้ 20% ออม 80% แต่เงินเดือน ใช้ 80% ออม 20% ถ้าทำได้อย่างนี้มีเงินเก็บแน่นอน โดยหาได้มากน้อยเท่าใดไม่สำคัญ แต่จ่ายมากน้อยเท่าใดเป็นเรื่องสำคัญกว่า คือต้องใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้

เชื่อว่าคำตอบเหล่านี้คงเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ประธานชมรมคนออมเงินได้เปิดใจไว้ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคนว่ารักหรือชอบ...เสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์ใด แต่ที่สำคัญที่สุดคือการตามติดข้อมูลอย่างใกล้ชิด ก่อนจะกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ...

ทีมเศรษฐกิจ
ที่มา เดลินิวส์

การธุรกิจของเล่นเด็ก ของ ดร.แฟ็ด มุ้งสู่ 20 ล้านดอลล่าร์ ตอนที่2

การธุรกิจของเล่นเด็ก ของ ดร.แฟ็ด มุ้งสู่ 20 ล้านดอลล่าร์ ตอนที่2


เงินเดือนที่รับเสนอ 70,000 US ต่อปีกับตำแหน่งดีๆเป็นสิ่งที่ท้าทายทีเดียว แต่มีอะไรบางอย่างได้เตือนผมว่าการร่วมงานในบริษัทใหญ่ๆไม่ไช่วิถีชีวิตขิงผม ธนาคารโลกทำให้ผมเซ็งกับงานตั้งโต๊ะกับที่คลิ๊พกระดาษ
แทนที่ผมจะรับข้อเสนอจาก โกล์ดแมน,แซก ผมตัดสินใจดำเนินธุรกิจด้วยตัวผมเองโดยเช่าที่มุมหนึ่งในสำนักงานเพื่อนที่วอชิงตัน ดีซี ราคา 100 USต่อเดือนและเขียนป้ายติดว่าขายสินค้านำเข้า-ส่งออกผมยังไม่รู้ว่าจะนำสินค้าอะไรนำเข้าหรือว่าจะส่งอะไรออกในเวลานั้น ผมรู้แต่เพียงว่ามันเป็นวิธีหลีกเลี่ยงอย่างปลอดภัยจากโกล์ดแมน แซกผมทราบว่าผมจะเป็นคนกลางในการนำเสนอสินค้าอเมริกันที่ชาวญี่ปุ่นต้องการและสินค้าญี่ปุ่นที่ชาวอเมริกันต้องการด้วย
ดังนั้นผมจึงส่งผ้ารองรีดและอาหารแมวไปญี่ปุ่น ส่งชุดคาราเต้ไปอเมริกา ซึ่งทำให้ผมมีชีวิตอย่างสบายสบายได้ เมื่อคุณท่องเที่ยวไปและเอ่ยเพียงว่าคุณทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ทุกคนก็ประทับใจคุณแล้ว บางทีผมก็ไม่ต้องการให้สินค้าผ้ารองรีดเทฟล่อนตีตลาดไปทั่วโลก ขอเพียงแต่มีเงินฝากธนาคาร และผมได้เป็นนายของตัวเอง
เรื่องนั้นเป็นความคิดของผมก่อนที่ผมจะสนใจ ทาโก้ ในปี 1982 เกือบทุกคนในโลกมักจะคิดว่าความปรารถนาในชีวิตคือทำในสิ่งที่รอบคอบ มีสติ สนุกสนานในช่วงเวลาหนึ่งกับสิ่งเหลวไหลอย่างเจ้าตุ๊กตายางทาโก้ ขว้างมันกลับไปที่เด็กๆ และเป็นเรื่องจรืงจังอย่างบทความเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางประกาศนียบัตรธุรกิจใน น.ส.พ.วอลล์สตีท
แต่ผมไม่ได้กลับไปทำงานกับ น.ส.พ. วอลล์สตีทต่อ ผมรู้สึกตื่นเต้นเกินไป เจ้าตัวยาง 8 ขาซึ่งจะมีชีวิตเมื่อถูกขว้างไปที่กำแพงหน้าต่างหรือกระจก ซึ่งไม่ใช่เพื่ออะไรนอกจากปีนช้าๆลงกำแพง สิ่งนี้มันดึงดูดใจเจ้าของเล่นชิ้นนี้มันคอยกวนใจผม ผมยังคงได้ยินเสียงว่า "ถ้าเผื่อ?" ผมบอกกับตัวเองอย่างมันใจว่าได้แย่งซื้อสิทธิของเล่นชิ้นนี้ ผมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้อย่างสบายใจเพราะมันหมายความว่าผมไม่เกิดความรู้สึกว่าเสี่ยงภัย ดังนั้นผมไม่ได้ละทิ้งทุกอย่างทันทีและไม่ได้เลิกกิจการที่รองรีดและอาหารแมวเพื่อเจ้าตัวยางนี้
แต่ผมได้ตัดสินใจใช้โทรศัพย์เล็กน้อย ผมจะต้องเสียอะไรล่ะ? 3วันต่อมาผมโทรหาพ่อและได้ถามถึงข้อมูลเจ้าทาโก้ ต่อจากนั้นก็โทรไปร้านค้าเพื่อสอยถามถึงผู้ผลิต และผมได้โทรไปที่ผู้ผลิตอีกที่หนึ่ง
การโทรศัพย์ถึง 3 ครั้ง ทำให้ผมเรียนรู้ว่าสิทธ US อยู่แค่เอื้อมมือ ไม่ใช่ว่าผมมีเงินจะซื้อมันแต่เพราะมันอยู่ที่นั่นผมจึงได้สเตปแรก ขณะที่ความรู้ส฿กส่วนหนึ่งของผมเป็นสุขที่ได้รับสิทธิ์อีกส่วนก็รู้สึกหวาดหวั่น ถ้าผมเพียงแต่มีประสาทควบคุมผมจะสามารถจัดการบางสิ่งได้
การที่เจ้าทาโก้ไม่ถูกแย่งซื้อ ทำให้ผมวิตกบ้างเพราะตามทฤษฏีของมาร์ค กรูโซ่ที่ต้องการสมาชิกซึ่งไม่จำกัดคุณสมบัติ ถ้าเจ้าทาโก้ ดีอย่างที่ผมคิดทำไมไม่มีใครสนใจมัน มันหมายความว่าอะไรล่ะ บริษัทของเล่นในอเมริกาผู้ชาญฉลาดจึงใม่สนใจมัน???
ผมได้เลิกคิดถึงมันเพราะคิดว่าบริษัทใหญ่ๆมักเกิดความผิดพลาด เนื่องจากพวกเขาคิดถึงงานระดับใหญ่จนลืมเรื่องเล็กๆ การทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า - 5 โมงเย็น ทำให้พวกเขาไม่สนใจความคิดล้านดอลล่าร์ที่อาจจะมาเยือนตอน 5โมงครึ่ง ผู้เชี่ยวชาญในการทำะุรกิจอย่างปลอดภัยจะเรียนรู้ค่านายหน้าตลาดและเล็งเป้าหมายไปที่ความต้องการของตลาดเพื่อมิไห้เกิดปัญหากับธุรกิจ
อ่านต่อตอน 3

การธุรกิจของเล่นเด็ก ของ ดร.แฟ็ด มุ้งสู่ 20 ล้านดอลล่าร์ ตอนที่1

การธุรกิจของเล่นเด็ก ของ ดร.แฟ็ด มุ้งสู่ 20 ล้านดอลล่าร์
ดอกเตอร์แฟ็คได้ก่อกำเนิดขึ้น เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2525


ผมไม่ได้สนใจเรื่องนี้จนกระทั่งหลายเดือนต่อมา ประมาณครึ่งทางเมื่อผมได้ผลิตแว๊กกี่ วอลล์วอลล์เกอร์ได้ 10 ล้านดอลล่าร์เป็นครั้งแรก เย็นวันนั้นได้พลิกชีวิตราวกับเป็นเจ้าของบริษัทธุรกิจส่งสินค้าเข้า-สิ้นค้าออกในมาดสุขุมและได้เริ่มงานใหม่ราวกับเป็นผู้นำสิ้นค้าใหม่ภายในประเทศ ภายใน 3 ปีของการดำเนินชีวิตใหม่ ผมอยากจะขายผลิตภัณฑ์ของเล่นเด็กซัก 60 ล้านชิ้นและส่วนหนึ่งจะนำขายที่ USA
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อคุณปู่ที่อยู่ที่ญี่ปุนส่งพัสดุมาให้ลูกชายผมที่ชื่อจัสตินกับเคนโซ่ อายุ 1 ขวบ และ 3 ขวบ ตามลำดับ สิ่งที่สดุดตาผมในกองหนังสือภาพและตุ๊กตาทหารคือตุ๊กตายางมีหนวดยื่นมา 8 หนวดเขาเรียกมันว่า Taco "ทาโก้"ซึ่งภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ปลาหมึก
ผมขอลูกๆดูเจ้าตัวทาโก้และทดลองปามันไปที่กำแพง มันเกาะติดที่กำแพง 2-3 วินาที แล้วมันก็เริ่มกระปรี้กระเปร่าสั่นตัวเอียงลงและหมดแรง
ผมรู้สึกว่าคลั่งไคล้เจ้าตัวนี้มาก ที่ทำให้เด็ก 3 ขวบ (เคนโซ่ชอบขว้างมันไปที่กำแพง) และผู้ใหญ่ก็สนุกสนานกัน มันเดินไต่ไปที่กำแพงอย่างมีชีวิตชีวา แล้วก็เดินลงมาตามกำแพงอีกครั้งนึง
ก่อนที่ผมจะรู้จักเจ้าตัวทาโก้ ผมไม่เคยสนใจของเล่นเลย ผมส่งผ้ารองรีดเทฟล่อน(Teflon) เป็นสิ้นค้าออกให้ที่ประเทศญี่ปุ่นและนำเข้าชุดคาราเต้จากประเทศเกาหลี มันเป็นธุรกิจที่น่าเชื่อถือ และได้กำไรงามแม้ว่าจะเป็นธุรกิจธรรมดาๆ
ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจส่งออกนั้น ผมมีงานวิจัยที่ธนาคารโลก ซึ่งเป็นงานที่ซีเรียสต้องใส่สูทผูกไท สวมรองเท้าปลายแหลม ในที่ทำงานที่มีหน้าต่างบานเดียว ผมได้ไปซูดานและอินเดียเพื่อดูโครงงาน 100 ล้านดอลล่าร์ และตัดสินใจว่าพวกเราควรจะทุ่มลงทุนอีก 2 ล้านดอลล่าร์
ผมไม่ต้องการปักหลักกับงานที่มั่นคงที่ธนาคารโลกตลอดชีวิต ผมจึงกลับไปเรียนต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจต่อแต่การเรียนปริญญาโทบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ดทำให้ผมลาออกจากธนาคาโลกมันเยี่ยมที่เดียวถ้าคุณจะยึดงานฝ่ายจัดการส่วนกลางที่ ไอบีเอ็ม และก้าวไปสู่ตำแหน่รองประธานก่อนอายุ 40 ปี

การทำธุรกิจระยะสั้นอย่างมือสมัครเล่น

"การทำธุรกิจระยะสั้นอย่างมือสมัครเล่น"ที่คุณกำลังจะอ่านอยู่นี้อาจจะเป็นความคิดหลายๆแง่มุม


ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในสายตาของนักวิชาการที่เปิดตำราหรืออิงทฤษฏี แต่ทามกลางสิ่งที่ถูกมองข้ามไป มันได้กลายเป็นขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลและน่าจับตามองของคนบางคน และกำลังจะถูกลอกเลียนแบบกันอย่างรวดเร็ว หากคุณกล้าพอที่จะตัดสินใจทำธุรกิจด้วยตัวคุณเอง ไม่แยแสและยึดติดกับตำแหน่งใดๆในบริษัทใหญ่โต หรือเงินเดือนที่แพงๆ
โอการที่ท้าทายรอคุณอยู่แค่ปลายจมูกนี้เอง หรือคุณจะปัดเงินจำนวนมหาศาลทิ้งโดยไม่สนใจได้ลงคนเชียวหรือ การทำเงินให้ได้เป็นล้านจากแนวความคิดธุรกิจแบบฉับไวระยะสั้นดูน่าสนุกและน่าตื่นเต้นมาก และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่มันก็มีหลักการ และต้องมีความมุ้งมั่น ให้ได้ไปถึงจุดนั้นเช่นกัน

คลังบทความของบล็อก

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์