เคล็ดลับรวยหุ้น โดย'พีรนาถ โชควัฒนา'เซียนหุ้นรายใหญ่

เคล็ดลับรวยหุ้น โดย'พีรนาถ โชควัฒนา'เปิดเคล็ดลับรวยหุ้น 'พีรนาถ โชควัฒนา' ทายาทอาณาจักรแสนล้าน 'เครือสหพัฒน์' ปลีกวิเวกจากธุรกิจของตระกูล ก้าวสู่เส้นทาง 'เซียนหุ้นรายใหญ่'


สัปดาห์ที่แล้วเกริ่นไปแล้วสำหรับประวัติส่วนตัว พีรนาถ โชควัฒนา เซียนหุ้นรายใหญ่วัย 49 ปี ที่ไม่ขอเปิดเผยใบหน้า เขาเป็น "หลานชายคนโต" จากจำนวนทั้งหมด 17 คน ของ ดร.เทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒน์ เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน ของ บุญเอก โชควัฒนา ลูกชายคนโตของนายห้างเทียม กับ สายพิณ โชควัฒนา จึงนับเป็น "ทายาทรุ่นที่สาม" ของตระกูลโชควัฒนา

ปัจจุบันพีรนาถไม่มีตำแหน่งและไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเครือสหพัฒน์ จนเพื่อนนักลงทุนรายใหญ่ที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่ใกล้ๆ แซวว่า อาศัยนามสกุลโชควัฒนา ใช้อย่างเดียวว่างั้น!!! ขณะเดียวกันเจ้าตัวก็ไม่ยอมเปิดเผยมูลค่าพอร์ตลงทุน บอกเพียงว่ามูลค่าพอร์ตเติบโตขึ้นทุกปีและมีเงินใช้ไม่ขาดมือ ขณะที่เพื่อนนักลงทุนบอกกับนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า พอร์ตเท่าไรอย่าสนใจ รู้แค่ว่าชาตินี้ (พีรนาถ) ใช้ไม่หมดก็พอ!!!

“ลำพังเงินเดือนวุฒิปริญญาตรีหมื่นกว่าบาท เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน จะทำให้มีเงินเก็บสักเท่าไร” ทันทีที่สิ้นสุดความคิด พีรนาถ ก็เดินเข้าโบรกเกอร์ บล.พัฒนสิน เพื่อเปิดพอร์ตลงทุนทันทีแบบไม่ลังเล

เขาเคยขาดทุนหนักตอนวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ชนิด "หมดเนื้อหมดตัว" เพราะเชื่อมาร์เก็ตติ้งที่เชียร์ให้เล่น "มาร์จิน" แต่เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนจากเล่นเก็งกำไรไปวันๆ ตามกระแสข่าว มาเป็นลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะหุ้นที่ "ไม่มีหนี้" และราคา "ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน" ก็สามารถกลับมามีกำไรเป็นกอบเป็นกำ แถมใช้หนี้หมดเกลี้ยงภายในระยะเวลาไม่นาน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่เซียนหุ้นรายนี้ใช้แล้วประสบความสำเร็จสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามในตลาดหุ้น พีรนาถ เล่าว่าคือการ ผสมผสานระหว่างการดู "กราฟทางเทคนิค" ซึ่งจะบอก "จังหวะ" การลงทุน กับการเลือกหุ้นโดยใช้ "ปัจจัยพื้นฐาน" ตอนนี้เรียกได้ว่า "ไม่มีเส้นกราฟ ผมซื้อหุ้นไม่ได้ (หัวเราะ)"

เขาอธิบายกลยุทธ์ของตัวเองให้ฟังว่า เมื่อสัญญาณทางเทคนิคของหุ้นตัวไหน "กำลังมา" (เทรนด์เป็นขาขึ้น) ก็จะเจาะเข้าไปดู "เนื้อธุรกิจ" (ปัจจัยพื้นฐาน) ของหุ้นตัวนั้น ถ้าดูแล้วเห็นว่าบริษัทนั้นโมเดลธุรกิจไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป ไม่เหนื่อย!! ที่จะทำความรู้จัก ก็จะเข้าไปซื้อไว้ในจำนวนที่น้อยๆ ก่อน

"ผมจะเข้าไปซื้อมาส่วนหนึ่งราวๆ ไม่กี่หมื่นบาท อย่างน้อยเพื่อให้เรามีสิทธิเข้าประชุมผู้ถือหุ้น จากนั้นก็ไปศึกษาธุรกิจอย่างละเอียด ถ้าหุ้นดีจริงจะทยอยซื้อเพิ่มเติมในจำนวนที่มากขึ้น โดยไม่มีกำหนดว่าต้องซื้อทั้งหมดเท่าไร (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์) ตรงกันข้ามหากสัญญาณเทคนิคมา แต่เนื้อธุรกิจยุ่งยากเกินไป ผมจะไม่ซื้อ ปล่อยผ่านไปเลย"
พีรนาถ บอกว่า ที่ผ่านๆ มา ปล่อยหุ้นสัญญาณเทคนิคดี (กราฟสวย) ไปหลายตัวแล้ว โดยให้เหตุผลว่า "ผมแก่เกินไปที่จะให้ไปนั่งศึกษาโมเดลหุ้นที่ยากๆ มันเหนื่อย!" ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแบบนั้นแล้ว ที่ผ่านมาลงทุนด้วยกลยุทธ์ที่เล่าให้ฟังนี้ ก็สามารถทำกำไรได้ค่อนข้างมาก

เซียนหุ้นนามสกุลโชควัฒนาบอกจุดหักเหที่นำเอากราฟเทคนิคมาประยุกต์ใช้ร่วมกับปัจจัยพื้นฐานว่า ช่วงที่ตัดสินใจศึกษาเส้นเทคนิคเป็นเพราะมีความรู้สึกว่า ถ้าเรายังมีความคิดว่าเราเป็น "เจ้าของบริษัท" ในหุ้นที่ถืออยู่ อาจทำให้เรามีปัญหาการ "ยึดติด" และ "เข้าข้างบริษัท" จนลืมมองหรือมองข้ามหลายๆ จุดที่เป็น "จุดอ่อน" ของบริษัท พอมีคนรู้จักมาชวนให้ไปเรียนจึงตัดสินใจไปแบบไม่ลังเล

"ตอนเรียนเทคนิคผมเข้าใจหลักการหมดเลยแต่ พูดง่าย..ทำยาก ทุกวันนี้ก็ยังศึกษาอยู่พยายามนำสิ่งที่ถนัดมาดัดแปลงให้เป็นตัวเรามากที่สุด ยอมรับว่าในช่วงที่มั่วๆ กับเส้นเทคนิค ผมเสียเงินไปเยอะโดยเฉพาะค่าคอมมิชชั่น เพราะเลือกใช้กลยุทธ์ “ขึ้นซื้อ..ลงขาย” ต่างจากช่วงที่เล่นแนวแวลู อินเวสเตอร์ ไม่ค่อยเปลืองค่าคอมมิชชั่นท่าไร เมื่อมันเปลืองเงิน ผมจึงนำมันมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน ซึ่งมันก็ใช้ได้ผลดีมาก (พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ)"

ถามว่าวันนี้มีหุ้นในพอร์ตกี่ตัว พีรนาถ ตอบว่า มีเป็น "ร้อยตัว" (ทำท่าคิด) แต่ตัวหลักๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดมีประมาณ 10 ตัว ส่วนที่ไม่ใช่ตัวหลักๆ ใช่ว่าหุ้นเขาไม่ดี แต่เป็นเพราะว่าเราเข้าใจธุรกิจเขาน้อยเกินไป และไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด

"ในพอร์ตผมจะมีหุ้นที่เป็น Laggard (ขึ้นช้ากว่าเพื่อน) ประมาณ 3 ตัว ในตัวหลัก 10 ตัว ผมขอไม่เปิดเผยรายชื่อหุ้น บางตัวถือมานาน 3-4 ปี บางตัวถือ 8 ปี ซึ่งปีก่อน (2554) 3 ตัวนี้ให้ผลตอบแทนประมาณ 17% ผมคาดว่าจะซื้อเพิ่มเติมในปี 2555 เพราะอาจให้ผลตอบแทนดีกว่าเดิม"

ทำไม! ถึงสนใจหุ้น Laggard ที่ชาวบ้านเขาขึ้นกันแต่ตัวนี้ยังไม่ขึ้น เขาบอกข้อดีของหุ้น 3 ตัวที่ถืออยู่ว่า ข้อหนึ่ง..ราคาหุ้นยังต่ำ และยังมีอัพไซด์อีกมาก ข้อสอง..ผู้บริหารเก่ง แต่มีความผิดพลาดเล็กน้อยในอดีต ซึ่งคนยังไม่ยอมลืม คิดดูสิ! เขาสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้ ผมยังทำไม่ได้เลย เขาเก่งมั้ยละ! ส่วนตัวเชื่อว่าผู้บริหารจะสามารถนำพาธุรกิจดีขึ้น เพราะได้ผ่านช่วงเลวร้ายมาแล้ว ข้อสุดท้าย..ในระยะ 5 ปีข้างหน้า บริษัทจะเติบโตทุกปี ด้วยตัวของเขาเอง

"หุ้น Laggard ที่ผมถืออยู่ 2 ใน 3 บริษัทจ่ายปันผลทุกปี ส่วนอีกหนึ่งบริษัทจ่ายปันผลเกือบทุกปี ถามว่าวันนี้หุ้น 3 ตัวนี้ สร้างผลตอบแทนให้ผมคุ้มค่าหรือยัง ณ ราคาวันนี้บวกกับเงินปันผลอาจไม่ค่อยคุ้มเท่าไร แต่อีกไม่นานจะคุ้มค่า..ผมเชื่อแบบนั้น"

สำหรับการหาข้อมูล พีรนาถจะคลุกวงในด้วยตัวเอง เขาจะไม่เชื่อโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อต่างๆ ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ บทความดังๆ ก็ไม่อ่าน ไม่ฟังเพื่อน (แต่มักมีข้อมูลจากเพื่อนผ่านเข้าหูตลอด) และไม่ฟังมาร์เก็ตติ้ง คนที่จะเป็นมาร์เก็ตติ้งของพีรนาถจะต้องอยู่เฉยๆ รอรับคำสั่งอย่างเดียว อย่าชี้แนะ! ไม่ต้องออกความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น

สาเหตุที่ทำให้เซียนหุ้นรายนี้ต้อง "ปิดตัวเอง" จากการรับฟังโฆษณาชวนเชื่อจากภายนอก เป็นเพราะ "เข็ด" มาจากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 มาร์เก็ตติ้งชวนให้เล่น Net Settlement และใช้มาร์จินเล่นหุ้น แถมมาทักไม่ให้ซื้อหุ้นตัวที่อยากได้ แต่กลับไปเชียร์ให้ซื้อตัวอื่น ทำให้ “ขาดทุนย่อยยับ”
เจ้าตัวเลยถือคติ "จะไม่ลอกการบ้านใคร" แต่ก็ยอมรับว่า "นี่คือ ข้อเสียอย่างหนึ่งของผม"

"ที่ผ่านมาผมก็มักวิเคราะห์ "ข้อเสีย" ตัวเองเสมอ เพราะการไม่ฟังอะไรเลย ก็ทำให้ "ขาดทุน" ได้เหมือนกัน ที่ผ่านมาก็พยายามแก้ความคิดของตัวเองว่าเป็นเพราะอะไรจึงขาดทุน ช่วงนี้ก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคมากขึ้นมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก"

การฝึกฝนตัวเองของพีรนาถ ยังคงฝึกฝนอยู่อย่างต่อเนื่องเหมือนความรู้ที่ศึกษาไม่มีที่สิ้นสุด ทุกวันนี้เขาใช้เวลากับการอ่านกราฟเทคนิควันละหลายชั่วโมง พยายามคิดหาเหตุผลจากกราฟว่า ทำไม! หุ้นตัวนี้ถึงโดนขาย ขายเพราะอะไร ใครเป็นคนขาย อย่างช่วงที่หุ้นโออิชิ กรุ๊ป (OISHI) ลงเยอะๆ ก็เข้าไปดูรายละเอียดก็เห็นว่าเป็นเพราะ ตัน ภาสกรนที ขายออกมา ทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล

"จริงๆ ผมเล่นหุ้นคนเดียว แต่จะมีเพื่อนๆ คอยมาแลกเปลี่ยนทัศนะคติกัน แต่ไม่เคยเชื่อกันเลย (หัวเราะ) เล่นหุ้นกันคนละสไตล์ เพราะชอบไม่เหมือนกัน นานๆ ทีจะใจตรงกันแบบไม่ได้นัดหมาย" พีรนาถบอก ขณะที่เซียนหุ้นรายใหญ่เจ้าของนามแฝง “กาละมัง” พูดแทรกขึ้นระหว่างการสนทนาว่า "จริงๆ เขา (พีรนาถ) พอร์ตใหญ่กว่าผม ใจกล้ากว่าผม"

พีรนาถไม่ยอมวิเคราะห์ว่าหุ้นกลุ่มไหนกำลังจะมาแรง บอกแต่เพียงว่าหุ้น 3 ตัวที่ถืออยู่ "น่าจะมา" ระหว่างนั้นเพื่อนตะโกนบอกนักข่าวบิซวีคว่า เดี๋ยวแอบบอกชื่อหุ้นให้หลังไมค์ พีรนาถรีบห้ามไว้ "ผมคิดว่าไม่ควรลงชื่อหุ้น ผมอยากให้หุ้นของผมไปช้าๆ เมื่อมีเงินก็จะได้มาเก็บเพิ่ม ราคาไปเร็วมันไม่ดีเท่าไร"

ทายาทรุ่นที่สามตระกูลโชควัฒนาพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า "การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตผม ที่ผ่านมาผมลงทุนหุ้นเกิน 100% มาตลอด ไม่มีตลาดหุ้นก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไร โดนแม่บ่นประจำ ไม่รู้จะบอกเพื่อนว่าลูกทำอาชีพอะไร"

"ผมคิดว่าลงทุนในตลาดหุ้นดีกว่าไปทำงานอย่างอื่น (สมัครงานที่ไหนใครจะรับคนนามสกุลนี้) เพราะเราไม่ต้องไปทำอย่างอื่นให้มันมีความเสี่ยง ผมจะลงทุนในตลาดหุ้นตลอดไป ไม่มีอะไรมาทำให้ผมเลิกเล่น"

ทุกวันนี้ พีรนาถจะซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เล่นอยู่หลายโบรก เช่น บล.เอเซีย พลัส, บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นต้น ส่วนใหญ่จะนั่งประจำอยู่ที่ออฟฟิศที่ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ วิถีชีวิตประจำวันตื่นเช้ามาอ่านข่าว กดดูกราฟ ถ้าชอบตัวไหนก็ซื้อเลย..หากมีเงินนะ!!! เขาบอก

ในฐานะเซียนหุ้นรุ่นพี่ที่ผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ เหวอะหวะมาแล้วจากแบล็คมันเดย์ วิกฤติต้มยำกุ้ง มาถึงแฮมเบอร์เกอร์ไครซีส อยากฝากถึงนักลงทุนมือใหม่ว่า ก่อนลงทุนต้องหาตัวเองให้เจอ อย่าลงทุนตาม “เซเลบ” (คนดัง) ถ้าเป็นแบบนั้นน่าเป็นห่วงจะขาดทุนไม่รู้ตัว

"นักลงทุนต้องรู้จักวิเคราะห์พื้นฐานให้เป็น เมื่อถือหุ้นแล้วต้องหัดไปประชุมผู้ถือหุ้น อย่างตัวผมเองมักจะยกมือถามคำถามต่างๆ เป็นคนสุดท้าย หากมีเรื่องที่ต้องการคำตอบแล้วยังไม่มีใครถามในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ที่สำคัญผมไม่คิดอยากถือหุ้นใหญ่กว่าเจ้าของ ปล่อยให้เขาดูแลผลประโยชน์ให้เราดีกว่า"

ปิดท้าย!!! เซียนหุ้นรายใหญ่นามสกุลโชควัฒนา ถ่อมตัวว่า "ผมเล่นหุ้นไม่เก่ง" ยังยืนยันคำเดิม แม้ในอดีตจะเคยได้รับรางวัลผู้ถือหุ้นคุณภาพจาก TSD ในปี 2550 "ผมยังไม่รู้เลยว่าได้ด้วยเหตุผลอะไร ใครเสนอชื่อผมขึ้นไป แล้วใครมาสัมภาษณ์ผม" เจ้าตัวยังงงๆ
ที่มา bangkokbiznews.com






เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้เล่นหุ้น..มือใหม่

เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้เล่นหุ้น..มือใหม่
เกาะติดเคล็ดลับเล่นหุ้นอย่างไรให้มีกำไรแบบ "ยั่งยืน" จากเหล่าเกจิแวดวงการลงทุน ทั้ง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร และพีรนาถ โชควัฒนา เจ้าของรางวัล "ผู้ถือหุ้นดีเด่น" คนล่าสุด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูหุ้นมูลค่าคนต้นๆ ของเมืองไทย เปรียบเปรยไว้ว่าการลงทุนก็เหมือนการ "เลี้ยงลูก" ซึ่งจะให้ออกดอกออกผลสวยงาม ก็ต้องมองกันไกลๆ

ดร.นิเวศน์ ให้นิยามไว้ว่า การลงทุนที่ยั่งยืนจะต้องเป็น "การลงทุนหุ้นเพื่อชีวิต (ที่ดีในวันหน้า)" หรือ Investment for Life

"ในโลกสมัยใหม่ การมีหุ้นต้องเลี้ยงดูให้เหมือนกับการมีลูก หรือการลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีในวันหน้า เราต้องค้นหาหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งเมื่อถึงวันหนึ่ง หุ้นเหล่านี้จะเลี้ยงเราได้ เพราะหุ้นเป็นธุรกิจและอนาคตของเรา" ดร.นิเวศน์ กล่าว


กูรูหุ้นมูลค่าบอกว่า หลักใหญ่ใจความของ Investment for Life ชัดเจนว่า การลงทุน คือ การทำธุรกิจเพื่อเลี้ยงชีวิตในอนาคต หุ้นที่เลือกไว้ในพอร์ต จะต้องอยู่กับเรานานๆ จึงต้องเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตทุกบริษัท

ในทางกลับกัน หากเห็นแววว่าหุ้นที่ถืออยู่มีปัญหา ไม่สามารถทำกำไรได้ ก็ต้องตัดใจ "กำจัด" ออกจากพอร์ตโดยไว เพื่อไม่ให้เงินลงทุนจมอยู่กับธุรกิจที่ไร้อนาคต

นอกจากจะต้องร่อนตะแกรงเลือกหุ้นที่ดีจริงๆ ดร.นิเวศน์ ยังบอกด้วยว่า การลงทุนเพื่อชีวิต (ที่ดีวันข้างหน้า) จำเป็นต้องมีหุ้นหลายๆ ตัวในพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยง หากหุ้นบางตัวเกิดขาดทุน

"ถ้าไปเจอะกิจการที่ดีมากๆ ทุกปีจ่ายปันผล 3-4% จะดีกว่าการฝากเงินธนาคารได้ 1-2% ต่อปี เพราะถือว่าเงินไม่ได้เติบโต เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ได้ปันผล 3-4% ต่อปี ยิ่งนานเข้าก็จะได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะกิจการเติบโตเร็ว ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปทุกปี ฉะนั้นก่อนที่จะซื้อหุ้นต้องดูผลประกอบการย้อนหลังไป 3-4 ปี เมื่อข้อมูลบอกชัดว่าหุ้นโต ก็แสดงว่าบริษัทมีศักยภาพ"

แล้วจะเลือกหุ้นอย่างไร และมีหุ้นกี่ตัวถึงจะพอ

ดร.นิเวศน์ แนะนำว่า พอร์ตควรจะมีหุ้นประมาณ 5 บริษัท ต้องผ่านการเลือกเฟ้นอย่างดี จากนั้นก็ติดตามว่าบริษัทยังมีกำไรเติบโต และจ่ายปันผลที่ดีต่อเนื่อง โดยสถิติแล้ว หุ้นที่ดีจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.50 บาท เช่น จากปีละ 4 บาท หรือเฉลี่ย 4% ต่อปี ก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ มีหุ้นบางตัวเคยจ่ายถึง 100 บาทต่อปี แต่อาจมองไม่เห็นเพราะบริษัทลดราคาพาร์ลงมา

ด้วยวิธีลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เวลาผ่านไป เมื่อเราอายุ 50-60 ปี เงินปันผลก็จะเลี้ยงชีวิตเราได้

ดร.นิเวศน์ ยกตัวอย่างพอร์ตของตัวเองไว้ว่า เขาลงทุนในหุ้นที่ดีจากเงิน 10 ล้านบาท เวลาผ่านไป 10 ปี ได้ปันผล (ปี 2549) ปีเดียว 10 ล้านบาท เพราะเขาเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นๆ ตั้งแต่ราคายังถูก และเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นแย่มาก จึงเป็นโอกาสลงทุนก่อนคนอื่น

"การลงทุนต้องใจเย็น อย่ากังวล เหมือนเวลาเราเลี้ยงลูก ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเป็นอย่างไร ถ้ามั่นใจว่าเราเลือกหุ้นตัวดีๆ เฝ้าดูแลว่าผู้บริหารบริษัทขยันทำงาน จ่ายปันผลตรงเวลา เมื่อเวลาผ่านไป เงินปันผลก็จะทบขึ้นไปเรื่อยๆ

พอถึงวันหนึ่งจะมีเงินเลี้ยงเราในตอนแก่ โดยเราไม่ต้องทำงานก็ได้ เหมือนกับเรามีลูกเลี้ยงดู"

นี่คือหลักคิดของ Investment for Life ลงทุนเพื่อชีวิต (ที่ดีในวันข้างหน้า) ในสไตล์ ดร.นิเวศน์ เซียนหุ้นมูลค่าของเมืองไทย

ทางด้าน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนภาษี รายนี้ไม่ใช่เซียนหุ้น แต่เป็นที่ปรึกษาภาษีตัวยง

โดยความเป็นจริง พอร์ตลงทุนของ ดร.สุวรรณ ไม่ได้มากมาย แต่เขามีเคล็ดลับจากเพื่อนเศรษฐีใกล้ๆ ตัวมาเล่าให้ฟัง

เพื่อนคนนี้เป็นชาวต่างชาติ ที่มีลีลาลงทุนแตกต่างจาก ดร.นิเวศน์ อย่างสิ้นเชิง โดยใช้วิธีซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุผลว่าเสียค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.20% และนำเงินไปฝากโบรกเกอร์เพื่อหักบัญชีซื้อขายหุ้น ซึ่งจะเสียค่าคอมมิชชั่นเพียงแค่ 0.15% เท่านั้น

ส่วนการเลือกหุ้น เขาจะดูหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ และซื้อขายหุ้นจำนวนมากครั้งละ 4-5 แสนหุ้น

"เขาได้ศึกษาหุ้นมาแล้ว เช่น มีหุ้นบางตัวราคา 10.60 บาท ตลอดหลายปีที่ผ่านมาราคาไม่เคยต่ำไปกว่านี้ แต่เวลาขาขึ้นจะขึ้นขั้นละ 10 สตางค์ เมื่อเขาซื้อ 10.60 บาท พอขึ้นไป 10.80 บาท จะขายออก เขาบอกว่าได้กำไร 2-3% ภายใน 3 วัน ดีกว่าฝากแบงก์ได้ 2-3% ต่อปี

ลงทุนเดือนละครั้งก็คุ้มค่าและอยู่ได้อย่างสบายๆ เพราะเขาลงทุนทีละจำนวนมากๆ"

คาถาลงทุนของสุวรรณ พอสรุปได้ว่า..

หนึ่ง.. นักลงทุนรายย่อยถือยาวแบบรายใหญ่อาจลำบาก อาจใช้วิธี "เล่นช่วงสั้น" ได้บ้าง แต่จะต้องดูหุ้นบางตัวที่ความเสี่ยงต่ำมากๆ เพราะถ้าผิดพลาด ราคาลงไปต่ำ ถือไปสักพัก ราคาก็จะขึ้นมาเอง ที่สำคัญหุ้นนั้นจะต้องมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงๆ เพื่อจะเข้าออกได้ง่าย

"อย่าคิดว่าได้กำไร 2-3% ต่อเดือนมันน้อย เพราะความจริงจะได้ปีละ 36% ซึ่งเดือนละ 2-3% ได้แน่นอน ผมก็ลองเล่นตามวิธีของฝรั่งคนนี้ ก็ได้ผลกำไรค่อนข้างดี แต่ผมซื้อทีละ 5 แสนหุ้น หรือคราวละล้านหุ้น ได้กำไร 2-3% คิดเป็นเงินก็แสนกว่าบาทแล้ว"

สอง..พอซื้อขายได้กำไร ส่วนหนึ่งของกำไรก็ให้รางวัลแก่ชีวิตตัวเอง กินเที่ยวอย่างมีความสุข กำไรอีกส่วนเก็บไว้ในกองทุนหุ้นหรือตราสารหนี้ เมื่อกำไรเติบโตมากพอควร ก็ให้เอาไปซื้อ "ทองคำ" เก็บเอาไว้ เพราะในชีวิตคนเรา แม้จะบอกว่าหุ้นตัวนี้ไม่มีทางเจ๊งเพราะเป็นหุ้นรัฐบาล แต่พอราคามันลงไปลึกๆ อาจจะฟื้นตัวได้ยาก

"ผมเชื่อว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 100 เหรียญ /บาร์เรล ตอนนี้อยู่ที่ 83 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาทองคำขึ้นมา 743 เหรียญ/ออนซ์ ราคาทองตอนนี้ขึ้นมาบาทละ 11,960 บาท ถ้าราคาน้ำมันวิ่งขึ้น 100 เหรียญ/บาร์เรล โอกาสที่ทองคำจะขึ้นไปได้อีก"

สุดท้าย สาม.. นอกจากได้กำไรจากหุ้น แล้วย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์อย่างอื่น เช่น ทองคำ แล้ว ก็อาจนำกำไรไปซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าก็ได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังต่ำอยู่ เช่น คอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า ซึ่งในระยะยาวจะมีศักยภาพที่ดีมาก

ด้าน.. "พีรนาถ โชควัฒนา" นักลงทุน ผู้ได้รับรางวัล "ผู้ถือหุ้นคุณภาพ" ให้หลักลงทุนหุ้นสำหรับรายย่อยว่า อย่างแรก..ต้องลงทุนกับตัวเองก่อน

เขาบอกว่า การเริ่มต้นลงทุนที่ดี จะต้องลงทุนกับตัวเองก่อนว่า หากดูงบการเงินไม่ออก สิ่งแรกก็ต้องหาความรู้ เช่น ไปเรียนเพิ่มเติม ซื้อหนังสือดีๆ อ่าน เราต้องสละเวลา เสียเงินเล็กน้อยดีกว่าต้องไปขาดทุนในตลาดหุ้น

"อย่างแรกจึงต้องมีจุดมุ่งหมายว่าลงทุนเพื่ออะไร เช่น ลงทุนเป็นรายได้เสริม เพื่อวันหนึ่งอาจเป็นรายได้หลัก เราต้องมีจุดมุ่งหมายก่อน"

สอง.. ต้องเชื่อว่าตัวเราทำได้ เพราะไม่มีอะไรยากเกินไปที่จะทำไม่ได้ แต่เราจะต้องเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด

สาม..คิดการลงทุนให้เหมือนการค้า การทำธุรกิจ เพราะกำไรที่สูงมากๆ อาจเป็นเพราะบางปีธุรกิจมีกำไรดี จึงไม่ควรตั้งเป้าหมายสูงเกินไป

"กำไรจากการลงทุนในหุ้น 15% ต่อปี มีเงินลงทุน 1 ล้าน ผ่านไป 15 ปี ก็ได้ 10 ล้านแล้ว" สุวรรณกล่าว

สี่.. ควรศึกษาและวิเคราะห์บริษัทเอง ไม่ควรซื้อหุ้นตามคนอื่นบอก เพราะเราจะไม่รู้ว่าต้นทุนคนอื่นเท่าไร หากเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าผิดพลาดก็จะเรียนรู้ว่าตัวเองพลาดเพราะอะไร

"ตอนเริ่มอาจลงทุนในหุ้นด้วยจำนวนเงินตัวละน้อยๆ เช่น อาจลงทุน 1 หมื่นบาท ผมก็ซื้อทีละน้อยเช่นกัน เพราะบางครั้งราคาหุ้นกับพื้นฐานหุ้นอาจไม่เหมือนกัน"

เหล่านี้คือคาถาลงทุนในหุ้นบางส่วนบางตอนที่ผู้เชี่ยวชาญลงทุน ฝากให้ไว้กับนักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่ ที่กำลังคิดจะลงสนามเล่นหุ้น..



+++++

ล้อมกรอบ หน้า B5 ใช้รูปมนตรี ศรไพศาล

เฟ้นหาหุ้นดี แบบ..มนตรี ศรไพศาล



ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการโบรกเกอร์และตลาดหุ้นมานาน.. "มนตรี ศรไพศาล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง ได้ให้หลักในการลงทุนในหุ้น 5 ประการสำหรับผู้กำลังจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นว่า...

หนึ่ง..ต้องหาหุ้นที่ดีให้ได้ มนตรีบอกว่า เมื่อคิดจะเล่นหุ้นต้องรู้จักตัวหุ้น และเข้าใจในตัวหุ้นนั้นให้ดี โดยควรจะเลือกหุ้นที่เป็นผู้นำของธุรกิจนั้น และต้องมีการเติบโตที่ดี แล้วถือลงทุนต่อไป

สอง.."ซื้อถูก ขายแพง" จะไม่มีทางขาดทุน

มนตรีกล่าวว่า นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่า เวลาเปรียบเทียบหุ้นอย่าวัดกันที่ราคา แต่ต้องดูที่ค่าพี/อี เรโช ของหุ้น เพื่อพิจารณาว่าอะไรถูก อะไรแพง

ฉะนั้น ในการลงทุนจะต้องดูจังหวะเข้าลงทุน อย่างช่วงที่คนกลัวตลาด จะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นถูก เช่นเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นขึ้นมาจาก 300 ไป 500 จุด นักลงทุนรายย่อยจะรอหุ้นขึ้นจนมั่นใจ แล้วค่อยเข้าซื้อ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าต้องถือหุ้นเน่าจนเศร้าใจ แล้วค่อยขาย นักลงทุนจึงต้องเข้าใจจังหวะในการเข้าเลือกซื้อหุ้นด้วย

"นักลงทุนมืออาชีพจะดูภาพรวมตลาดก่อน แล้วค่อยมาเลือกจังหวะซื้อหุ้น กลยุทธ์ในช่วงตลาดขาขึ้น นักลงทุนควรจะ "ซื้อ แล้วถือ" อย่างช่วงที่การเมืองเริ่มมั่นคง เพราะกำลังนำไปสู่เลือกตั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน หุ้นจึงเริ่มดี จึงต้องใช้กลยุทธ์..ซื้อแล้วถือไว้

แต่หากช่วงที่ตลาดเป็น "ไซด์เวย์" หรือหุ้นขึ้นแบบซิกแซ็ก ช่วงที่มีข่าวร้าย ราคาหุ้นลงไม่ลึก กลยุทธ์ต้องเป็นแบบ “ข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อ” เช่น 19 ธันวาคม 2549 วันนั้นต้องขาย แต่บางคนจนมุม เพราะถือหุ้นจำนวนมาก หรือกู้เงินมา ทำให้ลำบากสุด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นจังหวะควรซื้อ"

หรือกรณีที่ทิศทางลงทุนในภาวะ "Inflationary" คือ การปล่อยให้เศรษฐกิจเติบโตมาก แต่มีเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้าง จากการที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้าจีนมาก จากการที่ประเทศจีนมีพันธบัตรสหรัฐมากสุดถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญ จึงต้องการให้ค่าเงินหยวนของจีนแข็งขึ้นบ้าง แต่จีนคงไม่ยอม เพราะจีนต้องการให้เงินหยวนอ่อนค่าต่อ

ฉะนั้นอเมริกาจึงต้องพยุงดอลลาร์ไม่ให้อ่อนไปมาก โดยปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้าง ผลที่ตามมาคือ ราคาทอง ราคาน้ำมันสูงขึ้น จึงมีผลดีต่อหุ้นในระยะสั้น

มนตรีบอกว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ จึงต้องใช้วิธี ..ข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อ

สาม.. ถือหุ้นให้นานพอ ในบางครั้งนักลงทุนหุ้นจะนำเงินที่จำเป็นมาใช้ในการลงทุนหุ้น เมื่อเกิดสถานการณ์คับขัน ก็ต้องขายหุ้นในภาวะที่ตลาดหุ้นแย่ นักลงทุนจึงควรมีเงินที่เย็นพอเพื่อถือหุ้นได้ยาวนานและสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้

สี่..ติดตามข่าวสารต่างๆ

ห้า..ติดอาวุธให้ครบ มนตรีเปรียบการลงทุนในหุ้นเหมือนกับการขับรถยนต์ ช่วงที่อ่านหนังสือสอนขับรถอย่างเดียว จะยังขับรถไม่เป็น แต่พอได้ขับไปได้ 2 ปี ก็จะพอขับเป็น เมื่อขับไปได้ 5 ปี จึงจะเริ่มขับรถเก่ง แต่ถ้าจะเป็นมืออาชีพต้องขับรถ 10 ปี

"การเล่นหุ้นก็เช่นกัน..อ่านตำราเล่นหุ้นจะเล่นหุ้นไม่เป็น แต่พอเล่นไปได้ 2 ปีถึงจะเป็น 5 ปีจะเก่งได้ ผ่านไป 10 ปี ถึงจะขับรถแข่งมืออาชีพได้

แต่คนที่จะขับรถแข่งในสนามได้ จะต้องมีอาวุธครบมือ โดยจะต้องรู้จักลงทุนในตราสารอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด เช่น ตลาดฟิวเจอร์ ออปชั่น แต่ก่อนซื้อก่อน ขายทีหลัง แต่พอมีตลาดฟิวเจอร์ ทำให้สามารถขายก่อน ซื้อทีหลังได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยลงทุนได้พอควร

รวมถึงการมีกองทุน "อีทีเอฟ" เป็นการกระจายความเสี่ยงลงทุนได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนควรศึกษา" มนตรีทิ้งท้าย
ที่มา bangkokbiznews.com







วิธีเลือกลงทุนกับทองคำอย่างไร

วิธีเลือกลงทุนกับทองคำอย่างไร
คอลัมน์ Design your life By Mutualfund

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด
โทร 02-659-8888 กด 1 WWW.one-asset.com

เลือกลงทุนทองคำอย่างไร

นวัตกรรมการลงทุนในตลาดทองคำนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยในปัจจุบันนั้นนักลงทุนเริ่มหันมาสนใจในการลงทุนทองคำผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมทองคำ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ หรืออีทีเอฟทองคำ

โจทย์ของการลงทุนในวันนี้จึงมีคำถามว่า นักลงทุนจะใช้ประโยชน์จากตราสารทางการเงินที่อ้างอิงทองคำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างไร



สำหรับประเด็นนี้ขอแยกประเด็นตามความสามารถของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท เริ่มด้วยกองทุนรวมทองคำ กองทุนประเภทนี้โดยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นลักษณะของการซื้อตราสารทางการเงินในต่างประเทศ เช่น กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อขายได้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กองทุนรวมทองคำประเภทนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ซื้อขายบ่อย และยอมรับได้ที่จะซื้อทองคำระหว่างวันแต่ได้ราคา ณ สิ้นวัน ซึ่งกองทุนประเภทนี้นักลงทุนสามารถเลือกได้ว่ากองทุนไหนมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงิน (Hedging) หรือกองทุนไหนเลือกที่จะไม่ป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน (Unhedging)

ต่อไปเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ สำหรับสินค้าชนิดนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีการซื้อขายเก็งกำไร ระยะสั้น หรืออาจจะเป็นนักลงทุนที่มีความต้องการที่จะบริหารพอร์ตโฟลิโอของตัวเองโดยใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในฐานะของเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging Instrument)

และสุดท้ายคืออีทีเอฟทองคำ หรือ Gold ETF โกลด์อีทีเอฟ นั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมการลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายทองคำผ่านตลาดหุ้นได้แบบ Real-Time ซึ่งนักลงทุนไม่ต้องเสียเวลาไปที่ร้านทอง แต่ก็สามารถซื้อขายทองคำแท่งได้จริง ๆ ตามราคาทองคำในตลาดโลก ที่มีการปรับค่าเงินเป็นเงินบาทแล้ว ตัวอย่างของกองทุนประเภทนี้ เช่น กองทุน Gold99 ซึ่งบริหารโดยบลจ.วรรณ นั้นเป็นกองทุนอีทีเอฟ ทองคำแท่งกองแรกของประเทศไทย ซึ่งเปิดทำการซื้อขายในตลาดหุ้นเมื่อปี 2011 นักลงทุนหุ้นที่มีพอร์ตของตัวเองอยู่แล้วสามารถซื้อขาย Gold99 ได้ทันทีตามเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์

ข้อดีที่นับว่าเป็นจุดเด่นของการมีอีทีเอฟทองคำแท่งแบบ Gold99 ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็คือ นักลงทุนสามารถทำการจัดสรรการลงทุน หรือ Asset Allocation ได้อย่างสะดวก ในภาวะที่ต้องการเปลี่ยนจากเงินสดเป็นหุ้น เปลี่ยนจากหุ้นเป็นทอง เป็นต้น

ลักษณะของสินค้าทางการเงินทั้ง 3 ชนิดนั้นมีจุดที่เหมือนและแตกต่างกัน ซึ่งในฐานะของนักลงทุนนั้นต้องหาจุดสมดุลของพอร์ตโฟลิโอตัวเองเพื่อปรับใช้สินค้าทางการเงินที่เหมาะกับสไตล์การลงทุนของตัวเองให้มากที่สุด
ที่มา manager.co.th





อีกทางเลือกกองทุนอีทีเอฟทองคำ ทางเลือกใหม่..สำหรับผู้สนใจลงทุนทองคำ

อีกทางเลือกกองทุนอีทีเอฟทองคำ ทางเลือกใหม่..สำหรับผู้สนใจลงทุนทองคำ
โดยธณาพล อิทธินิธิภัค
ผู้จัดการงานจัดหาผลิตภัณฑ์พิเศษ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกขึ้นมากมายอย่างต่อเนื่อง ไล่มาตั้งแต่วิกฤตดอทคอมในปี 2544-2545 สงครามในประเทศอิรัก (2547) วิกฤตหนี้สินด้อยคุณภาพหรือ Subprime ในสหรัฐฯ (2551) ปัญหาความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง (2554) และต่อเนื่องมาจนถึงปัญหาหนี้สินในยุโรปที่กำลังกดดันเศรษฐกิจโลกอยู่ในปัจจุบัน ผลจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้ทองคำซึ่งจัดว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ( Save Haven) ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทองคำแท่งในตลาดโลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 18.61%* ต่อปี


ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเพียง 3.29% * ต่อปีเท่านั้น จึงทำให้เกิดกระแสการลงทุนในทองคำมากขึ้น และเกิดช่องทางในการลงทุนในทองคำนอกเหนือจากการลงทุนในทองคำแท่งเพิ่มขึ้นมากมาย เช่น กองทุนทองคำ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (Gold Futures) เป็นต้น และหนึ่งในช่องทางการลงทุนล่าสุดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในทองคำก็คือการลงทุนใน กองทุนอีทีเอฟทองคำ

จุดเด่นของกองทุนประเภทอีทีเอฟทองคำที่แตกต่างจากกองทุนรวมทองคำทั่วไปก็คือ การที่นักลงทุนสามารถรู้ราคาแบบ Real Time และสามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวัน ทำให้สามารถทำกำไรระหว่างวันได้เช่นเดียวกันกับหุ้น โดยจะมีราคาอ้างอิงจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิโดยประมาณ (iNAV) ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุกๆ 15 - 30 วินาที เพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลในการส่งคำสั่งซื้อ หรือคำสั่งขาย โดย iNAV จะคำนวณจากราคาทองคำที่อ้างอิง เช่น กองทุนเปิดเค โกล์ด อีทีเอฟ หรือ KG965 ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งลงทุนในทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% ก็จะมีการนำราคาทองคำโลกความบริสุทธิ์ 99.5% ซึ่งมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา มาคำนวณ และปรับน้ำหนักความบริสุทธิ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานทองคำแท่งในประเทศไทยที่ 96.5% จากนั้น จึงปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้นๆ และประกาศทุกๆ 30 วินาที หรือประมาณ 600 ครั้งต่อวัน ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาทองคำแท่งที่มีการประกาศจากสมาคมค้าทองคำแล้ว จะมีการประกาศเปลี่ยนแปลงถี่หรือบ่อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสมาคมค้าทองคำ ทำให้นักลงทุนสามารถจับจังหวะการลงทุนในระหว่างวันตามราคาทองคำโลกที่เปลี่ยนแปลงไปผ่านกองทุนอีทีเอฟทองคำได้ ในขณะที่การลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำทั่วไปนักลงทุนจะต้องรอจนถึงวันทำการถัดมาจึงจะทราบราคาซื้อขาย (NAV) จึงไม่สามารถทำกำไรในระหว่างวัน

ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้ลงทุนควรจะต้องทราบคือ ราคาที่ผู้ลงทุนเสนอซื้อ หรือขาย ควรจะเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับ iNAV ให้มากที่สุด เนื่องจากจะเป็นราคาที่สะท้อนค่าของมูลค่าหน่วยลงทุนในขณะนั้นๆมากที่สุด ซึ่งจุดเด่นของกองทุนอีทีเอฟทองคำคือจะมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) เป็นผู้ทำหน้าที่เสริมสภาพคล่องในการซื้อขาย เพื่อให้ราคาซื้อขายในตลาด ใกล้เคียงกับ iNAV โดยในส่วนของกองทุน KG965 ได้รับความร่วมมือกับผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของประเทศ 3 ราย คือ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด (ในเครือห้างทองแม่ทองสุก) บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (ในเครือห้างทองฮั่วเซ่งเฮง) และบริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ จำกัด (ในปี 2548 บริษัท ออสสิริส จำกัด เป็นผู้จำหน่ายทองคำแท่งเพื่อการลงทุน และเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนทองคำแท่งแห่งแรกในประเทศไทย) เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลสภาพคล่องของกองทุน เพื่อให้มั่นใจว่าราคาซื้อขายจะใกล้เคียงกับ iNAV มากที่สุด

นอกจากนี้ ประโยชน์อีกข้อของอีทีเอฟทองคำยังมาจากความคล่องตัวในการชำระเงิน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่เหมือนหุ้น ทำให้นักลงทุนสามารถชำระเงินได้ภายใน 3 วันทำการ (T+3) ซึ่งต่างจากการลงทุนในกองทุนเปิดทองคำที่ต้องชำระเงินในวันที่ส่งคำสั่งซื้อขาย (T+0) และยังใช้เงินลงทุนที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการที่นักลงทุนต้องไปซื้อทองคำแท่งด้วยตนเองที่ร้านทอง

เนื่องจากเมื่อเทียบกับการลงทุนในทองคำแท่งซึ่งมีขนาดเล็กสุดที่น้ำหนัก 5 บาท ก็จะต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำกว่า 100,000 บาทขึ้นไป ในขณะที่กองทุนอีทีเอฟทองคำ เช่น KG965 สามารถลงทุนได้ขั้นต่ำที่ 100 หุ้น หรือใช้เงินลงทุนเพียงแค่ 2,000 กว่าบาทเท่านั้น จึงสามารถทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น หรือทยอยซื้อถัวเฉลี่ยต้นทุนเมื่อราคาทองคำปรับตัวลดลง

โดยใช้เงินลงทุนทีละไม่มากได้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ยุโรปที่เริ่มจะลุกลามไปยังสเปน หรือการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีทิศทางการฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังค่อนข้างเปราะบางและอาจจะทำให้ทางการสหรัฐฯต้องมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (QE3) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง และจะส่งผลดีต่อราคาทองคำในระยะยาว จึงทำให้ทองคำยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ ทั้งเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว หรือเพื่อกระจายความเสี่ยงต่อพอร์ทโฟลิโอการลงทุน

นอกจากนี้ ราคาทองคำในปัจจุบันที่ค่อนข้างจะผันผวนมากในระหว่างวัน การลงทุนในกองทุนอีทีเอฟทองคำซึ่งทำให้สามารถจับจังหวะการลงทุนในทองคำได้ตลอดทั้งวันจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนที่มีความชำนาญ หรือจับจังหวะการลงทุนได้ มีโอกาสทำกำไรในช่วงที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นในระหว่างวันได้ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการทยอยเก็บ หรือสะสมทองคำในระยะยาว โดยไม่มีเวลาจับจังหวะการลงทุนในระหว่างวันด้วยตัวเอง การลงทุนในกองทุนรวมทองคำ ก็ยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เหมาะสมอยู่
ที่มา manager.co.th





บลจ.แนะลงบอนด์สั้นรับดอกเบี้ยขึ้น

บลจ.แนะลงบอนด์สั้นรับดอกเบี้ยขึ้น บลจ.ฟินันซ่า และ บลจ.ธนชาต แนะนักลงทุนลุยกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 6 เดือนรับดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้นปลายปีนี้

นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด คาดจากนโยบายรัฐบาลในการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและความกดดันจากราคาน้ำมันและราคาอาหารจะทำให้ต้นทุนในการผลิตภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวอย่างต่อเนื่อง คาดธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปลายปี 2555



ดังนั้น เรายังคงแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในระยะสั้นเพื่อรอรับการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว กองทุนเปิดฟินันซ่าตราสารหนี้พลัส โรล โอเวอร์ 6เดือน2 (FAM FIPR6M2) จะเปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ตั้งแต่ 26 เมษายน-8 พฤษภาคม 2555 นี้ ด้วยประมาณการผลตอบแทนที่ 3.42% ต่อปี โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท นักลงทุนสามารถใช้ช่องทางการลงทุนใหม่ล่าสุดของบริษัทโดยซื้อกองทุนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต skype ได้ที่ศูนย์บริการเคทีซี ทัช 14 สาขา

โดยกองทุน FAM FIPR6M2 เป็น specific fund หรือกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน มีนโยบายที่จะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ที่มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือ เงินฝาก ของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade)

ในครั้งนี้เราจะลงทุนในเงินฝากธนาคารต่างประเทศ สกุลเงิน USD หรือ CNY กับธนาคาร BOC, Macao หรือธนาคาร CIMB Niaga, Indonesia (Baa3) หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1), ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ, เงินฝาก AED ธนาคาร Union National Bank, UAE(P-1), ตราสารหนี้ ธนาคารเกียรตินาคิน หรือ (EMTN) Banco Bradessco,Brazil (BBB), ตราสารหนี้, ตั๋วแลกเงิน/หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่อยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ และตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย

ทางด้านนายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. ธนชาต จำกัด กล่าวว่า บริษัทเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income16 (TFixedIncome16) ระยะเวลาลงทุนประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3.10% ต่อปี โดยเสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันนี้-8 พฤษภาคม 2555

โดยกองทุนมีเป้าหมายลงทุนในเงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Union National Bank ประมาณ 20% เงินฝากสกุลเงิน Arab Emirates Dirham ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย Banco do Brazil / Banco Itau BBA S.A. ประมาณ 20% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดย บมจ.เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ /บมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส ประมาณ 15.90%

นอกจากนี้ จะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดยธนาคารกรุงไทย/ธนาคารเกียรตินาคิน ประมาณ 24.00% และลงทุนในเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ ประมาณ 0.10% อายุประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทนรวมของตราสารประมาณ 3.4565% ต่อปี โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายกองทุนประมาณ 0.1565% ต่อปี
ที่มา manager.co.th





ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์