ประวัติ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง www.Amazon.com

ประวัติ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง www.Amazon.com
เจฟฟ์ เบซอสเป็น คนหนุ่มที่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และสิ่งที่เขา
สร้างสรรค์ขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการของคนได้อย่างทั่วถึงทุกมุมโลก เรียกได้ว่าเขา
สามารถประสบความส าเร็จจากธุรกิจนี้จนสามารถท ารายได้อย่างเป็นกอบเป็นก าเลยทีเดียว
ถ้าเราจะมองว่าใครซักคนจะสามารถประสบความส าเร็จได้นั้น ซึ่งแรกที่ CEO โลกส่วน


ใหญ่ที่ผมน ามาพูดมีกันแทบจะทุกคนคือการที่พวกเขาเหล่านั้นได้ท าในสิ่งที่ตนเองรัก และมี
ความสุขกับสิ่งที่ท า แต่ที่ส าคัญไม่น้อยไปกว่านั้นคือสิ่งที่พวกเขาก าลังท านั้นเป็นที่ต้องการของ
ตลาด และตอบสนองความต้องการของมนุษย์จนสามารถสร้างความพอใจได้อย่างเต็มที่ หา ก
สองสิ่งนี้สอดคล้องกัน ไม่ว่าคนจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ ย่อมประสบความส าเร็จได้อย่างไม่
ยากเย็นโดยไม่ต้องเสียเวลาไปบนบานศาลกล่าวหรือหาเครื่องลางของขลังที่ไหน
ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลและที่มาที่ไป ยกตัวอย่างจากชีวิตของผมไม่ว่าจะ
เป็นใครหรือองค์กรใดที่ผมมีความรู้จักใกล้ชิดสนมสนมหรือเคยท าธุรกิจด้วยนั้น ผมไม่เคยเห็น
ใครที่จะสามารถประสบความส าเร็จได้ด้วยดวงหรือโชคเพียงอย่างเดียว
โดยเฉพาะลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอมตะไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไทยหรือที่เวียดนาม กว่า
99% ล้วนแล้วแต่ร่ ารวยกันทุกบริษัท อันเป็นผลมาจากการท าธุรกิจอย่างมีแบบแผน และมี
นโยบายการตลาดที่ดี มีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ และที่ส าคัญสิ่งที่พวกเขาก าลังท า
อยู่นั้นจะต้องตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้อย่างไม่มีขีดจ ากัด2
ธุรกิจออนไลน์ช่วยอ านวยความสะดวกให้กับคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างมาก เพราะ
ในอดีตหากเราต้องการจะสื้อสินค้าอะไรสักอย่างนั้น เราจะต้องเดินทางไปที่ร้านค้าที่รวบรวม
สินค้าต่าง ๆ ไว้ หรือไม่เช่นนั้นอาจต้องเดินทางไปยังแหล่งผลิตกันเลย แต่ส าหรับในโลก ทุก
วันนี้ การซื้อขายสิ้นค้าง่ายเพียงปลายนิ้วส าผัส เป็นผลมาจากเทคโนโลยีที่ก้าวไกลมากขึ้น
อินเตอร์เน็ตได้ปฏิวัติชีวิตของคนทั่วโลก ปัจจุบันเราสามารถดูตัวอย่างและท าการสั่งซื้อขาย
สินค้าทางออนไลน์ได้ และเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่มีผู้รู้จักมากที่สุดและใช้บริการมากที่สุด
คือ Amazon.com
Amazon.com เป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์สัญชาติอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดของ
สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ 15 ปีที่แล้วเท่านั้นและด าเนินกิจการมาได้เพียง 14 ปี โดยเริ่มต้น
จากการขายหนังสือก่อน แล้วจากนั้น จึงขยับขยายไปขายสินค้าอื่นๆ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
ท าให้Amazon.com กลายเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่มีคนรู้จักกันทั่วโลก
เจฟฟ์ เบซอส นอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้ง Amazon.com แล้ว ปัจจุบันเขายังด ารงต าแหน่ง
เป็นทั้งประธานคณะกรรมการผู้บริหารบริษัท ( Chairman) ประธานกรรมการบริหารบริษัท
(CEO)และประธานบริหารบริษัท ( President) ของบริษัทนี้มานาน 15 ปี เรื่องราวชีวิตของเขา
อาจช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ที่มองหา “โอกาส” ใหม่ๆให้แก่ชีวิตอยู่เสมอ
ประวัติ
เจฟฟรีย์ เพรสตัน เบซอส (Jeffrey Preston Bezos) เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1964
ที่เมืองอัลบูเคอร์คิว (Albuquerque) มลรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา แม่ของเขาชื่อ แจ็คกี้ ไกซ์
จอน์เกนสัน ( Jackie Gise) ตั้งท้องเจฟฟ์ตั้งแต่ตอนที่ยังมีอายุได้ 17 ปี จึงได้แต่งงานกับพ่อของ
เจฟฟ์ แต่หลังจากที่เจฟฟ์เกิดได้ไม่นานพ่อของเขาก็ทิ้งแม่และเขาไป
พอเจฟฟ์มีอายุได้ประมาณ 4 ขวบ แม่แต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงของเขามีชื่อว่ามิเกล หรือ
“ไมค์” เบซอส (Miguel ‘Mike’ Bezos) เป็นคนคิวบาและหนีมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ตอนที่มี
อายุได้เพียง 15 ปี ไมค์ท างานไปด้วยขณะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัลบูเคอร์คิว ( University of 3
Albuquerque) พอแม่ของเจฟฟ์แต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงก็รับเขาเป็นลูก เลยท าให้เจฟฟ์ใช้นามสกุล
ของพ่อเลี้ยงมาตั้งแต่บัดนั้น
พ่อเลี้ยงของเขาท างานเป็นวิศวกรของบริษัทเอ็กซอน ( Exxon) ท าให้ต่อมาครอบครัว
ของเขาต้องย้ายบ้าน 2 ครั้งเพื่อตามพ่อเลี้ยงไป ต่อมาแม่ของเจฟฟ์ก็มีน้องคนละพ่อให้กับเขา 2
คน เป็นน้องสาวชื่อคริสติน่า ( Christina)และน้องชายชื่อมาร์ค (Mark) ที่มีอายุอ่อนกว่าเขา 5 ปี
และ 6 ปี
เจฟฟ์ไม่เคยได้เจอหน้าพ่อแท้ๆ ของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากพ่อทิ้งเขากับแม่ไป
ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดได้ไม่นาน เขาจึงไม่ มีความทรงจ าใดๆ เกี่ยวกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง เขาโต
ขึ้นมาโดยที่มีไมค์เป็นพ่อมาโดยตลอด จนกระทั่งพอเขามีอายุได้ 10 ขวบแม่และพ่อเลี้ยงจึงได้
เล่าความจริงให้เขาฟัง เรื่องนี้ไม่ได้ท าให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อพ่อเลี้ยงเปลี่ยนไป เพราะเขา
ถือว่าไมค์เป็นพ่อแท้ๆ ของเขามาโดยตลอดเพราะไมค์คือคนที่เลี้ยงเขามาไม่ใช่คนที่ทิ้งเขาและ
แม่ไป เจฟฟ์ไม่เคยนึกสงสัยหรืออยากรู้เลยว่าพ่อแท้ๆ ของเขาคือใคร มีอยู่ครั้งเดียวที่เขานึกถึง
ข้อเท็จจริงที่ไมค์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเขาคือตอนที่เขาไปหาหมอแล้วหมอซักประวัติพ่อแม่เพื่อใช้
ประการการวินิจฉัยในการตรวจ
ดั้งเดิมแล้วครอบครัวของฝ่ายแม่มีรกรากอยู่ที่เท็กซัส แต่ตาของเจฟฟ์คือลอว์เรนซ์ เพรส
ตัน ไกซ์ ( Lawrence Preston Gise)ก่อนหน้านี้ตาของเขาท างานเกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยี
อวกาศและระบบการป้องกันขีปนาวุธ เคยท างานเป็นผู้อ านวยการส่วนภูมิภาคของ
คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู ( Atomic Energy Commission) ที่ประจ าอยู่ที่เมืองอัลบูเคอร์
คิว ดังนั้นครอบครัวของแม่จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอัลบูเคอร์คิวตอนที่ตามาท างาน แล้วต่อมา
ตาของเขาเกษียนก่อนก าหนดเพื่อไปท าฟาร์มปศุสัตว์ที่บ้านเดิมในเท็กซัส ไร่ของตามีเนื้อที่
ประมาณ 6 หมื่นกว่าไร่ เจฟฟ์ได้ไปท างานช่วยตาในฟาร์มเป็นประจ าทุกๆ ปี ในช่วงฤดูร้อน
เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบจนโตเป็นวัยรุ่นอายุ16 ปี เจฟฟ์ผูกพันกับตาของเขา
มาก โดยเขาจะเรียกตาว่า “ป๊อบส์” 4
สิ่งส าคัญอย่างหนึ่งของการเป็นชาวไร่คือการพึ่งตัวเองและท าอะไรหลายๆอย่างด้วย
ตัวเอง ตั้งแต่การซ่อมรถแทรกเตอร์ วางท่อ ซ่อมที่ปั๊มน้ า ไปจนกระทั่งถึงการรักษาสัตว์
บุคคลที่เป็นแบบอย่างให้กับเจฟฟ์มากที่สุดคือตาของเขา เพราะการที่เขาได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับตา
ท าให้เขาเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมาจากตา สิ่งนี้ สร้างนิสัยความอยากรู้อยากเห็นและการ
ประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผ่านการให้เจฟฟ์เรียนรู้เกมและของเล่นเพื่อ
การศึกษาต่างๆ และ ตาก็คือที่ปรึกษาคนส าคัญของเขา นอกจากนี้บุคคลอื่นๆ ที่เป็นแบบอย่าง
ให้กับเขาเช่นโทมัส เอดิสัน และวอลต์ ดิสนีย์ เนื่องจากว่าเขาเป็นคนที่สนใจเรื่องนักประดิษฐ์
และการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มาตั้งแต่เป็นเด็ก
ช่วงเวลาที่เป็นเด็ก เด็กทุ กคนย่อมมีความใฝ่ฝันว่าโตขึ้นมาอยากจะเป็นอะไร ส าหรับ
เจฟฟ์แล้วอาชีพแรกที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นเมื่อตอนที่มีอายุเพียง 6 ขวบ คืออาชีพนักโบราณคดี
โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องอินเดียน่าโจนส์ พอโตขึ้นมาหน่อย เขาอยากเป็น
นักบินอวกาศ พอตอนเรียนชั้นมัธยมอยากเป็นนักฟิสิกส์ และพอเรียนมหาวิทยาลัยอยากเป็น
โปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์
สมัยเรียนเจฟฟ์เป็นเด็กดีและคร่ าเคร่งกับการเรียนมาก เขาเป็นเด็กรักเรียนชอบไป
โรงเรียน เขาส่งการบ้านตรงเวลา เป็นเด็กดีประจ าห้อง เจฟฟ์ไม่เคยมีปัญหาสมัยเรียน ปัญหาที่
เขาเคยพบตอนเรียนมีเพียงเรื่องที่เขา “เสียเกียรติ” ประจ าห้องสมุดไปครั้งหนึ่งเนื่องจากเขาเผลอ
หัวเราะเสียงดังลั่นห้องสมุด เขาเ ป็นคนที่มีนิสัยหัวเราะเสียงดังลั่นติดตัว แม้กระทั่งน้องชาย
น้องสาวยังไม่ยอมไปดูหนังพร้อมกันกับเขาเนื่องจากอายที่เขาหัวเราะเสียงดังมากเกินไป
เขาเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือและเคยแข่งขันอ่านหนังสือว่าใครสามารถอ่านหนังสือ
ได้มากที่สุด แต่เขาไม่ได้รางวัลชนะเลิศ เพราะมีคนอ่านหนังสือมากกว่าเขาเสียอีก เขาอ่าน
หนังสือหลายแนว หนังสือแนวที่เขาชอบเช่นนวนิยายวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เจฟฟ์มีฮีโร่เป็น
นักประดิษฐ์ สนใจเรื่องการประดิษฐ์ และชอบอ่านหนังสือแนววิทยาศาสตร์ จึงท าให้เขาเป็นนัก
ประดิษฐ์ตัวน้อย บ้านที่เขาอยู่เต็มไปด้วยสิ่งที่เขาประดิษฐึ้นมาเอง ทั้งสัญญาณเตือนภัย5
หลากหลายรูปแบบและวิทยุสื่อสารที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาเองเขาฉายแววความสามารถทางด้าน
การช่างและประดิษฐ์มาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก
ช่วงเจฟฟ์เรียนมัธยมปลายครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองไมอามี่ในรัฐฟลอริด้า เขา
จึงได้ไปเข้าเรียนชั้นมัธยมที่นั่นในโรงเรียนชื่อว่า Miami Palmetto Senior High School และใน
ระหว่างที่เรียนที่นี่เขาได้เข้าร่วมโครงการฝึกนักเรียนวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟลอริด้าอีก
ด้วย โดยในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับรางวัล Silver Knight Award ซึ่งมอบให้กับนักเรียนยอดเยี่ยม
ทางด้านต่างๆ ที่เรียนอยู่ในฟลอริด้า เนื่องจากว่าสมัยเรียนมัธยมเจฟฟ์มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะ
เป็นนักฟิสิกส์ ดังนั้นเขาจึงเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
ชีวิตการเรียนวิชาฟิสิกส์ของเจฟฟ์ในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันด าเนินไปเรื่อยๆ แต่การเรียน
ในมหาวิทยาลัยที่มีแต่ระดับหัวกะทิไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อในวันหนึ่งเขาลงเรียนในวิชา
Quantum Mechanics เขาค้นพบว่าตัวเองคงไม่อาจเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ได้ ถึงแม้ว่าเจฟฟ์จะ
ท าเกรดได้ดี แต่ก็มีเพื่อนอีกหลายคนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องล าบากอะไรเลย
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เรียนวิชานี้เจฟฟ์ก็ได้ลงเรียนวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
(computer science)และพบว่าตัวเองถูกวิชานี้ดึงดูดเข้าไป และรู้สึกว่ายิ่งเรียนยิ่งรู้สึกว่ามันเป็น
เรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิชาเอกจากฟิสิกส์มาเป็นวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แทน
ส าหรับเจฟฟ์แล้วเขาคุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี เพราะตอนที่เขามีอายุได้ประมาณ 10
ขวบ เขาเคยได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรมอยู่บ้าง พอโตขึ้นมาสมัยเรียนมัธยมเขาได้
คอมพิวเตอร์ Apple II Plus มาใช้ และ ใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับมัน เมื่อ เข้าเรียนที่พรินซ์ตัน
ถึงแม้ว่าเขาจะเรียนวิชาเอกฟิสิกส์แต่เขาก็ลงเรียนวิชาที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทุกวิชา ส าหรับ
นักศึกษาวิชาเอกฟิสิกส์อย่างเขานั้นเห็นว่าเป็นเรื่งที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานมาก ดังนั้น
หลังจากที่เขาเรียนรู้ว่าเขาคงไม่สามารถเป็นนักฟิสิกส์ได้ เขาจึงเปลี่ยนมาเรียนวิทยาศาสตร์
คอมพิวเตอร์แทน6
ในปี ค.ศ. 1986 เจฟฟ์เรียนจบปริญญาตรีจากปรินซ์ตันด้วยเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
และวิศวกรรมการไฟฟ้า ด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยมระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เมื่อเรียนจบ
เขาเริ่มต้นการท างานกับบริษัทหุ้นในวอลสตรีทของกรุงนิวยอร์ก ณ เวลานั้นก าลังมีความ
ต้องการนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มากเพื่อออกแบบคอมพิวเตอร์มาวิเคราะห์แนวโน้มของ
ตลาดหุ้น การท าอาชีพนี้ท าให้เขาได้ใช้ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ผสมผสานกับการเงิน
เจฟฟ์เริ่มต้นท างานที่บริษัท Fitel ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อจับธุรกิจ
เกี่ยวกับการสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการค้าขายเงินตราระหว่างประเทศ โดยเขา
ท างานที่นี่ประมาณ 2 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986– 1988
จากนั้นย้ายไปท าที่บริษัท Bankers Trust โดยเริ่มจากต าแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์จน
ก้าวหน้าจนได้เป็นรองประธานบริษัท เขาท างานอยู่บริษัทนี้อีก 2 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988–1990
แล้วจากนั้นจึงย้ายไปท างานที่บริษัท E.D. Shaw & Co. บริษัทที่ท าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้
ในตลาดหุ้นโดยเฉพาะ เจฟฟ์ท างานในต าแหน่งนักวิเคราะห์ทางด้านการเงิน และต าแหน่ง
หน้าที่การงานของเขารุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ได้เป็นถึงรองประธานอาวุโสของบริษัท
ในระหว่างที่ท างานที่บริษัท E.D. Shaw & Co. เจฟฟ์ได้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานที่ชื่อแมค
เคนซี่ ทัทเทิ้ล ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน โดยเธอท างานในต าแหน่งนักวิจัยของบริษัทและ
ท าหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเขา เจฟฟ์ตกหลุมรักเธอและทั้งคู่จึงแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1993 ตอนที่
เจฟฟ์มีอายุได้ 29 ปี แต่ปัจจุบันภรรยาของเจฟฟ์มีอาชีพเป็นนักเขียน ทั้งคู่มีลูก 4 คน โดยเจฟฟ์
ท างานในบริษัท E.D. Shaw & Co. ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1990 – 1994 โดยได้เป็นรองประธานอาวุโส
ของบริษัทในปี ค.ศ. 1992
แรกเริ่มแล้วอินเตอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในกิจการของกระทรวงกลาโหมของ
สหรัฐฯ เพื่อเชื่อมสัญญาณระหว่างคอมพิวเตอร์เพื่อส่งข้อมูลในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินอย่างเหตุภัย
ธรรมชาติหรือการโจมตีจากข้าศึก ต่อมาระบบนี้ได้แพร่ไปสู่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลและ
นักวิจัยในมหาวิทยาลัยเพื่อใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ต่อมาอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตหรือ World 7
Wide Web นั้นได้ขยายตัวมากขึ้นในหมู่ผู้ใช้ในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และ ณ ปี ค.ศ. 1994 ยังไม่มี
การท าธุรกิจการค้าทางอินเตอร์เน็ต
การท างานในวงการนั้นท าให้เจฟฟ์ได้มีโอกาสรู้ว่าในตอนนั้น ณ ปี ค.ศ. 1994 โลก
World Wide Web ก าลังเติบโต (คือมีคนใช้งาน)ถึง 2,300% ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่สูงมาก และนั่น
จึงเป็นจุดที่น ามาสู่การก่อตั้ง Amezon.com โดยข้อมูลตรงนี้ท าให้เขาเห็นโอกาสที่จะลงทุนท า
ธุรกิจบนโลกอินเตอร์เน็ต
ธุรกิจที่เจฟฟ์ตัดสินใจลงทุนในโลกอินเตอร์เน็ตคือ e-commerce online ที่ท าการค้าขาย
สินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต และตัวเลือกสินค้าที่เจฟฟ์ต้องการเอามาน าเสนอในโลกอินเตอร์เน็ตของ
เจฟฟ์คือหนังสือ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ ด้วยความที่เป็นคนที่มีพื้นฐานการเรียนวิทยาศาสตร์
มาจึงท าให้เขาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการลงทุนท าธุรกิจอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน
เขาศึกษาธุรกิจสั่งสินค้าทางจดหมายที่มียอดสูงที่สุด 20 อันดับแรก และหนังสือก็เป็นตัวเลือกที่
ดีที่สุด
ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้ธุรกิจหนังสือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะท าได้ เขาลงทุนบินข้าม
ทวีปจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก โดยจุดมุ่งหมายของเขาคือการเข้าร่วมงานการประชุมผู้ขาย
หนังสือแห่งสหรัฐอเมริกาที่จัดขึ้นที่เมืองลอสแองเจอลิส การเข้าร่วมงานนั้นท าให้เขารู้ว่าบริษัท
ขายส่งหนังสือเจ้าหลักๆ นั้นได้ท าการรวบรวมข้อมูลของหนังสือเข้าไปไว้ในระบบ
อิเล็กทรอนิกส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ขาดคือแหล่งข้อมูลเดี่ยวๆ แหล่งเดียวที่ผู้
ซื้อจะสามารถเขามาตรวจสอบดูว่ามีหนังสือในสต็อกไหม ราคาเท่าไหร่ และจะสั่งซื้อผ่านแหล่ง
นั้นได้โดยตรง และแหล่งที่ว่านั้นก็คือโลกอินเตอร์เน็ตนั่นเอง
เขาตัดสินใจที่จะท าธุรกิจของตัวเองนี้ที่ซีแอตเติ้ล ที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากนิวยอร์ก ดังนั้น
เขาต้องลาออกจากงานเก่าและย้ายครอบครัว ถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งส าคัญ เพราะงานที่เขา
ก าลังท าอยู่ ณ ตอนนั้น ถือว่าเป็นอาชีพที่ดี มีความ มั่นคง และมีรายได้งามมาก การที่จะเลิก
ท างานนี้เพื่อไปเสี่ยงก่อตั้งบริษัทขายหนังสืออนไลน์ถือว่าเป็นเรื่องที่บ้ามากในตอนนั้น8
แต่เขาก็มุ่งมั่นเกินกว่าที่จะเปลี่ยนใจและจะไม่เสียใจถึงแม้ว่ามันจะล้มเหลว เขาจะเสียใจ
มากกว่าหากเขาคิดแล้วแต่ไม่พยายามลงมือท า ดังนั้นเขาจึงลาออกและบอกภรรยา ซึ่งภรรยา
ของเขาไม่ได้คัดค้านเขา แต่พร้อมจะสนับสนุนสามีเพื่อท าสิ่งที่เขาต้องการ
ก่อนที่จะครบรอบวันเกิดครบ 30 ปี เจฟฟ์ลาออกจากงานเพื่อท าตามแผนที่เขาวางไว้
จากนั้นเขาและภรรยาก็บินไปที่เท็กซัสเพื่อไปรับรถยนต์คันหนึ่งที่พ่อเลี้ยงของเขามอบให้เป็น
ของขวัญ เขาและภรรยาขับรถคันนี้เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ซีแอตเทิ้ล
ตลอดการเดินทาง ภรรยาของเจฟฟ์เป็นคนขับรถให้ ในขณะที่เขาท างานวางแผนธุรกิจ
และชื่อของบริษัทใหม่ของเขาคือ Amazon ซึ่งเป็นชื่อของแม่น้ าของอเมริกาใต้ที่ดูเหมือนว่าจะ
ยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและมีแม่น้ าสาขาเล็กๆ มากมาย
บริษัทของเจฟฟ์คือบ้านขนาด 2 ห้องนอน เขาทดลองเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แล้ว
จากนั้นก็ขอให้เพื่อนๆ และคนรู้จักจ านวน 300 ร้อยคนทดลองใช้ระบบของเขา และจากการ
ทดลองใช้จากบรรดาเพื่อนๆ คนรู้จักที่เข้ามาทดลองใช้ผ่านแหล่งคอมพิวเตอร์ตามที่ต่างๆ พบว่า
โปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นมาท างานได้ดี และแล้ว ในวันที่ 16 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1995 เจฟฟ์เปิด
ท างานหน้าเว็บไซต์ Amazon.com ให้คนมาสั่งซื้อหนังสือได้โดยให้บริการทั่วโลกโดยไม่ได้
จ ากัดแต่เฉพาะในสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว
เขาได้ขอให้เพื่อนๆ ที่ทดลองระบบของเขาช่วยกระจายข้อมูล และผลปรากฎว่าหลังจาก
ที่เปิดท าการได้ 30 วัน Amazon.com สามารถขายหนังสือได้ใน 50 รัฐของสหรัฐฯ และมียอด
สั่งซื้อจากประเทศอื่นๆ อีก 45 ประเทศโดยที่เขาไม่ได้ออกข่าวโฆษณาแต่อย่างใด พอเข้าเดือน
กันยายน Am azon.com มีรายได้จากการขายหนังสือตกสัปดาห์ละ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
หลังจากที่เปิดท าการได้ไม่กี่เดือนแต่มีการตอบรับที่ดีขนาดนี้เขาและทีมงานของเขาจึงพัฒนา
เว็บไซต์ต่อไป เช่น one-click shopping, ค าวิจารณ์สินค้าจากลูกค้าที่ซื้อ และการตรวจสอบความ
ถูกต้องของอีเมล์สั่งซื้อ9
เมื่อเริ่มท าธุรกิจ เจฟฟ์บอกกับบรรดานักร่วมลงทุนรายแรกๆ ที่มาลงขันว่าธุรกิจนี้มี
โอกาสที่จะล้มเหลวถึง 70% เพราะถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ แต่พวกเขาก็กล้าเสี่ยง หนึ่งในนัก
ลงทุนเหล่านั้นมีแม่และพ่อเลี้ยงของเขารวมอยู่ด้วย พ่อแม่ของเขาได้ช่วยลงขันเงินจ านวน
300,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เงินจ านวนนี้เป็นเงินก้อนส าคัญที่พ่อกับแม่สะสมมาเพื่อใช้ตอน
เกษียน ถึงแม้ว่าเจฟฟ์จะบอกว่าการลงทุนครั้งนี้จะมีโอกาสประสบผลส าเร็จเพียงแค่ 30%
เท่านั้นก็ตาม ผลปรากฎว่าธุรกิจนี้เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เร็วเสียจนแม้กระทั่งเจฟฟ์และคนอื่นๆ
ยังคาดไม่ถึง เจฟฟ์น า Amazon.com เข้าตลาดหุ้นในปี ค.ศ. 1997
บริษัทขายส่งหนังสือยักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Barnes and Noble และ Borders ก็หันมา
กระโจนขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน แต่ 2 ปีต่อมา มูลค่าตลาดของหุ้นของ
Amazon.com นั้นสูงกว่าบริษัทขายส่งหนังสือยักษ์ใหญ่ 2 เจ้านั้นรวมกันเสียอีก
อย่างไรก็ตามธุรกิจขายของออนไลน์ของเจฟฟ์ไม่ได้หยุดแค่หนังสือ เขาเรียนรู้ว่าเขา
สามารถเพิ่มมูลค่าการตลาดได้มากขึ้นโดยการเพิ่มสินค้าชนิดอื่นๆ เข้ามา จากเป้าหมายเดิมที่
ต้องการให้ Amazon.com กลายเป็น “ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ณ เวลานี้เขามีเป้าหมาย
เพิ่มขึ้นมาให้บริษัทของเขาเป็น “ร้านขายสินค้าทุกอย่างที่ใหญ่ที่สุดในโลก” อีกด้วย โดยสินค้า
อื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาคือซีดีเพลง วีดิโอ ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย
ปลายปี ค.ศ. 1999 บรรดานักลงทุนที่ลงขันท าธุรกิจกับเขาในตอนแรกกลายเป็นมหา
เศรษฐีพันล้าน ปัจจุบันนี้หุ้นจ านวนหนึ่งในสามส่วนถือครองโดยครอบครัวเบซอส แต่ในช่วงที่
ฟองสบู่ของธุรกิจดอทคอมแตก มีบริษัทดอทคอมล้มหายตายจากไปจ านวนมากมาย ช่วงเวลา
นั้น Amazon.com ก็ประสบกับปัญหาเช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทจากที่มีมูลค่า 106
ดอลลาร์ในปี ค.ศ. 1999 ลดลงเหลือแค่ 41.50 ดอลลาร์ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2000 เพื่อรับมือ
กับวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมแตกในครั้งนี้ เจฟฟ์ต้องให้บริษัทปรับโครงสร้างใหม่ เขาต้องปลด
พนักงานออกถึง 1,300 คนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2001 และปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อ
ความอยู่รอด 10
ส านักงานใหญ่ของ Amazon.com อยู่ที่ซีแอตเทิล แต่ปัจจุบันนี้บริษัทมีสาขาอยู่ใน
ประเทศอื่นๆ อีกด้วย คือที่แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ณ ปี ค.ศ. 2008 มีพนักงาน
จ านวน 20,500 คน มีรายได้ ปี ค.ศ. 2008 อยู่ประมาณ 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ณ วันนี้ Amazon.com กลายเป็นร้านขายของที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร้านขายของร้านนี้มี
สินค้ามากมายหลากหลายชนิดให้ลูกค้าสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตนับตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ โดย
สินค้าหลักคือหนังสือ และจากความส าเร็จในการบริหารธุรกิจเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่คนทั่ว
โลกรู้จักมากที่สุดในโลก
ในปี ค.ศ. 1999 นิตยสารไทม์ ยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี (Person of the Year)และในปี
ค.ศ. 2008 นิตยสารด้านการข่าวอย่าง U.S. News & World Report ยกให้เขาเป็นหนึ่งใน
American’s Best Leaders และในปี ค.ศ. 2008 นี้ เขาได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน (Carnegie Mellon University)
นอกจากนี้เขายังมองการณ์ไกลไปถึงธุรกิจระดับจักรวาลคือธุรกิจการบินอวกาศและการ
ท่องอวกาศ ในปี ค.ศ. 2000 เจฟฟ์ก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Blue Origin ขึ้น มีส านักงานใหญ่อยู่ที่
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ณ เวลานี้อยู่ในระหว่างช่วงก าลังทดลองและพัฒนาโครงการจรวดขนส่งยาน
อวกาศแบบวงโครจรต่ าที่ชื่อว่า New Shepard อยู่ โดยมีศูนย์การทดลองและปฏิบัติการอยู่ที่เท็ก
ซัส ที่ผ่านมามีการทดลองส่งยานขึ้นไปโคจรแล้วจ านวน 3 ครั้ง คือในปี ค.ศ. 2006 ได้ทดลอง 1
ครั้ง ปี ค.ศ. 2007 ทดลอง 2 ครั้ง โดยใช้ยานที่มีชื่อว่า Goddard
ถึงแม้ว่าจะเริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 แต่แผนการณ์นี้ถูกประกาศออกมาอย่างเป็น
ทางการให้สื่อและสาธารณชนรับรู้ในปี ค.ศ. 2003 เนื่องจากเจฟฟ์ได้กว้านซื้อที่ดินที่รัฐเท็กซัส
เพื่อใช้ในการทดลองนี้ บริษัทของเจฟฟ์มีแผนที่จะเปิดด าเนินการธุรกิจการท่องเที่ยวอวกาศในปี
ค.ศ. 2010 โดยจะท าการส่งเที่ยวบินออกไปวงโคจรต่ าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
ภาพลักษณ์ภายนอกที่ทุกคนเห็นเจฟฟ์ดูเป็นคนที่มีลักษณะดูสบายๆ มีอารมณ์ขัน และ
รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แต่เป็นที่รู้กันดีว่าเจฟฟ์เป็นผู้บริหารที่ใส่ใจในทุกๆ 11
รายละเอียดของทุกขั้นตอนในการด าเนินธุรกิจ เขาเป็นคนที่แน่วแน่ มีความคาดหวังต่อ
พนักงานว่าโครงการเตรียมงานต่างๆ ต้องเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็วและต้องมีประสิทธิภาพสูง
ปัจจุบันนี้เจฟฟ์และครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมืองซีแอตเทิล โดยเวลานี้พวกเขามีแผนการ
ใหม่นั่นคือการตอบแทนสังคม เราคงต้องมาคอยติดตามดูกันต่อไปว่าเจฟฟ์จะท าสิ่งใดให้คน
ทั่วโลกจดจ านอกเหนือไปจากการสร้างธุรกิจ Amazon.com ที่กลายเป็นต านานไปเสียแล้ว
ที่มา http://www.vikrom.net/update/file/ptjeff260709.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์