เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้เล่นหุ้น..มือใหม่

เคล็ดไม่ลับสำหรับผู้เล่นหุ้น..มือใหม่
เกาะติดเคล็ดลับเล่นหุ้นอย่างไรให้มีกำไรแบบ "ยั่งยืน" จากเหล่าเกจิแวดวงการลงทุน ทั้ง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร และพีรนาถ โชควัฒนา เจ้าของรางวัล "ผู้ถือหุ้นดีเด่น" คนล่าสุด

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูหุ้นมูลค่าคนต้นๆ ของเมืองไทย เปรียบเปรยไว้ว่าการลงทุนก็เหมือนการ "เลี้ยงลูก" ซึ่งจะให้ออกดอกออกผลสวยงาม ก็ต้องมองกันไกลๆ

ดร.นิเวศน์ ให้นิยามไว้ว่า การลงทุนที่ยั่งยืนจะต้องเป็น "การลงทุนหุ้นเพื่อชีวิต (ที่ดีในวันหน้า)" หรือ Investment for Life

"ในโลกสมัยใหม่ การมีหุ้นต้องเลี้ยงดูให้เหมือนกับการมีลูก หรือการลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีในวันหน้า เราต้องค้นหาหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งเมื่อถึงวันหนึ่ง หุ้นเหล่านี้จะเลี้ยงเราได้ เพราะหุ้นเป็นธุรกิจและอนาคตของเรา" ดร.นิเวศน์ กล่าว


กูรูหุ้นมูลค่าบอกว่า หลักใหญ่ใจความของ Investment for Life ชัดเจนว่า การลงทุน คือ การทำธุรกิจเพื่อเลี้ยงชีวิตในอนาคต หุ้นที่เลือกไว้ในพอร์ต จะต้องอยู่กับเรานานๆ จึงต้องเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตทุกบริษัท

ในทางกลับกัน หากเห็นแววว่าหุ้นที่ถืออยู่มีปัญหา ไม่สามารถทำกำไรได้ ก็ต้องตัดใจ "กำจัด" ออกจากพอร์ตโดยไว เพื่อไม่ให้เงินลงทุนจมอยู่กับธุรกิจที่ไร้อนาคต

นอกจากจะต้องร่อนตะแกรงเลือกหุ้นที่ดีจริงๆ ดร.นิเวศน์ ยังบอกด้วยว่า การลงทุนเพื่อชีวิต (ที่ดีวันข้างหน้า) จำเป็นต้องมีหุ้นหลายๆ ตัวในพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยง หากหุ้นบางตัวเกิดขาดทุน

"ถ้าไปเจอะกิจการที่ดีมากๆ ทุกปีจ่ายปันผล 3-4% จะดีกว่าการฝากเงินธนาคารได้ 1-2% ต่อปี เพราะถือว่าเงินไม่ได้เติบโต เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ได้ปันผล 3-4% ต่อปี ยิ่งนานเข้าก็จะได้เงินปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะกิจการเติบโตเร็ว ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปทุกปี ฉะนั้นก่อนที่จะซื้อหุ้นต้องดูผลประกอบการย้อนหลังไป 3-4 ปี เมื่อข้อมูลบอกชัดว่าหุ้นโต ก็แสดงว่าบริษัทมีศักยภาพ"

แล้วจะเลือกหุ้นอย่างไร และมีหุ้นกี่ตัวถึงจะพอ

ดร.นิเวศน์ แนะนำว่า พอร์ตควรจะมีหุ้นประมาณ 5 บริษัท ต้องผ่านการเลือกเฟ้นอย่างดี จากนั้นก็ติดตามว่าบริษัทยังมีกำไรเติบโต และจ่ายปันผลที่ดีต่อเนื่อง โดยสถิติแล้ว หุ้นที่ดีจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.50 บาท เช่น จากปีละ 4 บาท หรือเฉลี่ย 4% ต่อปี ก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ มีหุ้นบางตัวเคยจ่ายถึง 100 บาทต่อปี แต่อาจมองไม่เห็นเพราะบริษัทลดราคาพาร์ลงมา

ด้วยวิธีลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เวลาผ่านไป เมื่อเราอายุ 50-60 ปี เงินปันผลก็จะเลี้ยงชีวิตเราได้

ดร.นิเวศน์ ยกตัวอย่างพอร์ตของตัวเองไว้ว่า เขาลงทุนในหุ้นที่ดีจากเงิน 10 ล้านบาท เวลาผ่านไป 10 ปี ได้ปันผล (ปี 2549) ปีเดียว 10 ล้านบาท เพราะเขาเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นๆ ตั้งแต่ราคายังถูก และเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นแย่มาก จึงเป็นโอกาสลงทุนก่อนคนอื่น

"การลงทุนต้องใจเย็น อย่ากังวล เหมือนเวลาเราเลี้ยงลูก ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเป็นอย่างไร ถ้ามั่นใจว่าเราเลือกหุ้นตัวดีๆ เฝ้าดูแลว่าผู้บริหารบริษัทขยันทำงาน จ่ายปันผลตรงเวลา เมื่อเวลาผ่านไป เงินปันผลก็จะทบขึ้นไปเรื่อยๆ

พอถึงวันหนึ่งจะมีเงินเลี้ยงเราในตอนแก่ โดยเราไม่ต้องทำงานก็ได้ เหมือนกับเรามีลูกเลี้ยงดู"

นี่คือหลักคิดของ Investment for Life ลงทุนเพื่อชีวิต (ที่ดีในวันข้างหน้า) ในสไตล์ ดร.นิเวศน์ เซียนหุ้นมูลค่าของเมืองไทย

ทางด้าน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนภาษี รายนี้ไม่ใช่เซียนหุ้น แต่เป็นที่ปรึกษาภาษีตัวยง

โดยความเป็นจริง พอร์ตลงทุนของ ดร.สุวรรณ ไม่ได้มากมาย แต่เขามีเคล็ดลับจากเพื่อนเศรษฐีใกล้ๆ ตัวมาเล่าให้ฟัง

เพื่อนคนนี้เป็นชาวต่างชาติ ที่มีลีลาลงทุนแตกต่างจาก ดร.นิเวศน์ อย่างสิ้นเชิง โดยใช้วิธีซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุผลว่าเสียค่าคอมมิชชั่นเพียง 0.20% และนำเงินไปฝากโบรกเกอร์เพื่อหักบัญชีซื้อขายหุ้น ซึ่งจะเสียค่าคอมมิชชั่นเพียงแค่ 0.15% เท่านั้น

ส่วนการเลือกหุ้น เขาจะดูหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ และซื้อขายหุ้นจำนวนมากครั้งละ 4-5 แสนหุ้น

"เขาได้ศึกษาหุ้นมาแล้ว เช่น มีหุ้นบางตัวราคา 10.60 บาท ตลอดหลายปีที่ผ่านมาราคาไม่เคยต่ำไปกว่านี้ แต่เวลาขาขึ้นจะขึ้นขั้นละ 10 สตางค์ เมื่อเขาซื้อ 10.60 บาท พอขึ้นไป 10.80 บาท จะขายออก เขาบอกว่าได้กำไร 2-3% ภายใน 3 วัน ดีกว่าฝากแบงก์ได้ 2-3% ต่อปี

ลงทุนเดือนละครั้งก็คุ้มค่าและอยู่ได้อย่างสบายๆ เพราะเขาลงทุนทีละจำนวนมากๆ"

คาถาลงทุนของสุวรรณ พอสรุปได้ว่า..

หนึ่ง.. นักลงทุนรายย่อยถือยาวแบบรายใหญ่อาจลำบาก อาจใช้วิธี "เล่นช่วงสั้น" ได้บ้าง แต่จะต้องดูหุ้นบางตัวที่ความเสี่ยงต่ำมากๆ เพราะถ้าผิดพลาด ราคาลงไปต่ำ ถือไปสักพัก ราคาก็จะขึ้นมาเอง ที่สำคัญหุ้นนั้นจะต้องมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงๆ เพื่อจะเข้าออกได้ง่าย

"อย่าคิดว่าได้กำไร 2-3% ต่อเดือนมันน้อย เพราะความจริงจะได้ปีละ 36% ซึ่งเดือนละ 2-3% ได้แน่นอน ผมก็ลองเล่นตามวิธีของฝรั่งคนนี้ ก็ได้ผลกำไรค่อนข้างดี แต่ผมซื้อทีละ 5 แสนหุ้น หรือคราวละล้านหุ้น ได้กำไร 2-3% คิดเป็นเงินก็แสนกว่าบาทแล้ว"

สอง..พอซื้อขายได้กำไร ส่วนหนึ่งของกำไรก็ให้รางวัลแก่ชีวิตตัวเอง กินเที่ยวอย่างมีความสุข กำไรอีกส่วนเก็บไว้ในกองทุนหุ้นหรือตราสารหนี้ เมื่อกำไรเติบโตมากพอควร ก็ให้เอาไปซื้อ "ทองคำ" เก็บเอาไว้ เพราะในชีวิตคนเรา แม้จะบอกว่าหุ้นตัวนี้ไม่มีทางเจ๊งเพราะเป็นหุ้นรัฐบาล แต่พอราคามันลงไปลึกๆ อาจจะฟื้นตัวได้ยาก

"ผมเชื่อว่าแนวโน้มราคาน้ำมันในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 100 เหรียญ /บาร์เรล ตอนนี้อยู่ที่ 83 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาทองคำขึ้นมา 743 เหรียญ/ออนซ์ ราคาทองตอนนี้ขึ้นมาบาทละ 11,960 บาท ถ้าราคาน้ำมันวิ่งขึ้น 100 เหรียญ/บาร์เรล โอกาสที่ทองคำจะขึ้นไปได้อีก"

สุดท้าย สาม.. นอกจากได้กำไรจากหุ้น แล้วย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์อย่างอื่น เช่น ทองคำ แล้ว ก็อาจนำกำไรไปซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่าก็ได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังต่ำอยู่ เช่น คอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า ซึ่งในระยะยาวจะมีศักยภาพที่ดีมาก

ด้าน.. "พีรนาถ โชควัฒนา" นักลงทุน ผู้ได้รับรางวัล "ผู้ถือหุ้นคุณภาพ" ให้หลักลงทุนหุ้นสำหรับรายย่อยว่า อย่างแรก..ต้องลงทุนกับตัวเองก่อน

เขาบอกว่า การเริ่มต้นลงทุนที่ดี จะต้องลงทุนกับตัวเองก่อนว่า หากดูงบการเงินไม่ออก สิ่งแรกก็ต้องหาความรู้ เช่น ไปเรียนเพิ่มเติม ซื้อหนังสือดีๆ อ่าน เราต้องสละเวลา เสียเงินเล็กน้อยดีกว่าต้องไปขาดทุนในตลาดหุ้น

"อย่างแรกจึงต้องมีจุดมุ่งหมายว่าลงทุนเพื่ออะไร เช่น ลงทุนเป็นรายได้เสริม เพื่อวันหนึ่งอาจเป็นรายได้หลัก เราต้องมีจุดมุ่งหมายก่อน"

สอง.. ต้องเชื่อว่าตัวเราทำได้ เพราะไม่มีอะไรยากเกินไปที่จะทำไม่ได้ แต่เราจะต้องเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด

สาม..คิดการลงทุนให้เหมือนการค้า การทำธุรกิจ เพราะกำไรที่สูงมากๆ อาจเป็นเพราะบางปีธุรกิจมีกำไรดี จึงไม่ควรตั้งเป้าหมายสูงเกินไป

"กำไรจากการลงทุนในหุ้น 15% ต่อปี มีเงินลงทุน 1 ล้าน ผ่านไป 15 ปี ก็ได้ 10 ล้านแล้ว" สุวรรณกล่าว

สี่.. ควรศึกษาและวิเคราะห์บริษัทเอง ไม่ควรซื้อหุ้นตามคนอื่นบอก เพราะเราจะไม่รู้ว่าต้นทุนคนอื่นเท่าไร หากเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าผิดพลาดก็จะเรียนรู้ว่าตัวเองพลาดเพราะอะไร

"ตอนเริ่มอาจลงทุนในหุ้นด้วยจำนวนเงินตัวละน้อยๆ เช่น อาจลงทุน 1 หมื่นบาท ผมก็ซื้อทีละน้อยเช่นกัน เพราะบางครั้งราคาหุ้นกับพื้นฐานหุ้นอาจไม่เหมือนกัน"

เหล่านี้คือคาถาลงทุนในหุ้นบางส่วนบางตอนที่ผู้เชี่ยวชาญลงทุน ฝากให้ไว้กับนักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่ ที่กำลังคิดจะลงสนามเล่นหุ้น..



+++++

ล้อมกรอบ หน้า B5 ใช้รูปมนตรี ศรไพศาล

เฟ้นหาหุ้นดี แบบ..มนตรี ศรไพศาล



ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการโบรกเกอร์และตลาดหุ้นมานาน.. "มนตรี ศรไพศาล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง ได้ให้หลักในการลงทุนในหุ้น 5 ประการสำหรับผู้กำลังจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นว่า...

หนึ่ง..ต้องหาหุ้นที่ดีให้ได้ มนตรีบอกว่า เมื่อคิดจะเล่นหุ้นต้องรู้จักตัวหุ้น และเข้าใจในตัวหุ้นนั้นให้ดี โดยควรจะเลือกหุ้นที่เป็นผู้นำของธุรกิจนั้น และต้องมีการเติบโตที่ดี แล้วถือลงทุนต่อไป

สอง.."ซื้อถูก ขายแพง" จะไม่มีทางขาดทุน

มนตรีกล่าวว่า นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่า เวลาเปรียบเทียบหุ้นอย่าวัดกันที่ราคา แต่ต้องดูที่ค่าพี/อี เรโช ของหุ้น เพื่อพิจารณาว่าอะไรถูก อะไรแพง

ฉะนั้น ในการลงทุนจะต้องดูจังหวะเข้าลงทุน อย่างช่วงที่คนกลัวตลาด จะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นถูก เช่นเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นขึ้นมาจาก 300 ไป 500 จุด นักลงทุนรายย่อยจะรอหุ้นขึ้นจนมั่นใจ แล้วค่อยเข้าซื้อ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าต้องถือหุ้นเน่าจนเศร้าใจ แล้วค่อยขาย นักลงทุนจึงต้องเข้าใจจังหวะในการเข้าเลือกซื้อหุ้นด้วย

"นักลงทุนมืออาชีพจะดูภาพรวมตลาดก่อน แล้วค่อยมาเลือกจังหวะซื้อหุ้น กลยุทธ์ในช่วงตลาดขาขึ้น นักลงทุนควรจะ "ซื้อ แล้วถือ" อย่างช่วงที่การเมืองเริ่มมั่นคง เพราะกำลังนำไปสู่เลือกตั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน หุ้นจึงเริ่มดี จึงต้องใช้กลยุทธ์..ซื้อแล้วถือไว้

แต่หากช่วงที่ตลาดเป็น "ไซด์เวย์" หรือหุ้นขึ้นแบบซิกแซ็ก ช่วงที่มีข่าวร้าย ราคาหุ้นลงไม่ลึก กลยุทธ์ต้องเป็นแบบ “ข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อ” เช่น 19 ธันวาคม 2549 วันนั้นต้องขาย แต่บางคนจนมุม เพราะถือหุ้นจำนวนมาก หรือกู้เงินมา ทำให้ลำบากสุด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นจังหวะควรซื้อ"

หรือกรณีที่ทิศทางลงทุนในภาวะ "Inflationary" คือ การปล่อยให้เศรษฐกิจเติบโตมาก แต่มีเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้าง จากการที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้าจีนมาก จากการที่ประเทศจีนมีพันธบัตรสหรัฐมากสุดถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญ จึงต้องการให้ค่าเงินหยวนของจีนแข็งขึ้นบ้าง แต่จีนคงไม่ยอม เพราะจีนต้องการให้เงินหยวนอ่อนค่าต่อ

ฉะนั้นอเมริกาจึงต้องพยุงดอลลาร์ไม่ให้อ่อนไปมาก โดยปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้าง ผลที่ตามมาคือ ราคาทอง ราคาน้ำมันสูงขึ้น จึงมีผลดีต่อหุ้นในระยะสั้น

มนตรีบอกว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ จึงต้องใช้วิธี ..ข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อ

สาม.. ถือหุ้นให้นานพอ ในบางครั้งนักลงทุนหุ้นจะนำเงินที่จำเป็นมาใช้ในการลงทุนหุ้น เมื่อเกิดสถานการณ์คับขัน ก็ต้องขายหุ้นในภาวะที่ตลาดหุ้นแย่ นักลงทุนจึงควรมีเงินที่เย็นพอเพื่อถือหุ้นได้ยาวนานและสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้

สี่..ติดตามข่าวสารต่างๆ

ห้า..ติดอาวุธให้ครบ มนตรีเปรียบการลงทุนในหุ้นเหมือนกับการขับรถยนต์ ช่วงที่อ่านหนังสือสอนขับรถอย่างเดียว จะยังขับรถไม่เป็น แต่พอได้ขับไปได้ 2 ปี ก็จะพอขับเป็น เมื่อขับไปได้ 5 ปี จึงจะเริ่มขับรถเก่ง แต่ถ้าจะเป็นมืออาชีพต้องขับรถ 10 ปี

"การเล่นหุ้นก็เช่นกัน..อ่านตำราเล่นหุ้นจะเล่นหุ้นไม่เป็น แต่พอเล่นไปได้ 2 ปีถึงจะเป็น 5 ปีจะเก่งได้ ผ่านไป 10 ปี ถึงจะขับรถแข่งมืออาชีพได้

แต่คนที่จะขับรถแข่งในสนามได้ จะต้องมีอาวุธครบมือ โดยจะต้องรู้จักลงทุนในตราสารอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด เช่น ตลาดฟิวเจอร์ ออปชั่น แต่ก่อนซื้อก่อน ขายทีหลัง แต่พอมีตลาดฟิวเจอร์ ทำให้สามารถขายก่อน ซื้อทีหลังได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยลงทุนได้พอควร

รวมถึงการมีกองทุน "อีทีเอฟ" เป็นการกระจายความเสี่ยงลงทุนได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนควรศึกษา" มนตรีทิ้งท้าย
ที่มา bangkokbiznews.com







ไม่มีความคิดเห็น:

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์