จะต้องออมเงินอย่างไรให้ได้ผลดี

ออมเงินอย่างไรให้ได้ผล
ออมเงินอย่างไรให้ได้ผล

ในชีวิตของคนเรานั้นมีช่วงที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นวัยเงินวัยทองอย่างไรเสียก้ไม่เกิน 30 ปี ช่วงเวลานี้เราจะทำมาหากินได้เงินจำนวนหนึ่งมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะแตกต่างกันอย่างไร ทุกคนต้องเผชิญปัญหาเหมือนกันหมด คือยอดเงินที่ได้มีจำนวนจำกัด ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราจะสามารถเก็บออมจากเงินจำนวนนี้ได้มากน้อยเพียงใดภายหลังจากใช้จ่ายเพื่อการบริโภคแล้ว และที่สำคัญยิ่งก็คือ เราสามารถใช้เงินออมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเงินเวลาทองของตนให้ทำงานรับใช้เราได้มากน้อยเพียงใด หนทางเดียวที่มนุษย์จะออมได้ก็คือ ใช้จ่ายเพื่อการบริโภคน้อยกว่ารายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่การพูดนั้นง่ายกว่าการทำ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ปรารถนาความสุขจากการเสพด้วยการใช้จ่ายซื้อของสารพัดอย่า่งไม่รู้จบ วิธีการที่จะได้ผลต้องเป็นการออมแบบบังคับซึ่งได้แก่การหักส่วนหนึ่งของเงินเดือนไว้เป็นเงินออมเลย ไม่ว่าจะเป็นทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ออมทรัพย์หรือเงินหักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เรียกว่ายังไม่ได้รับเงินเดือนก้ถูกหักเงินเสียแล้ว ก็ต้องบังคับตัวเองให้ออมมากขึ้นด้วยการเปิดบัญชีออมทรัพย์ไว้หลายบัญชี แต่ละบัญชีก็เพื่อหนึ่งวัตถุประสงค์ การออมแบบบังคับเท่านั้นจึงจะเอาชนะ ความสุขสมอย่างทันด่วน ของเราได้ถ้าคิดจะออมหลังจากใช้จ่ายตามปกติแล้ว รับรองได้ว่าการออมไม่มีทางเกิดขึ้นได้ การออมนั้นต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินในบัญชีออมเป็นอันขาด ต้องทำเป็นลืมไปเลย เพราะต่อไปนี้เงินจะรับใช้เราดอกเบี้ยจะบานเพื่อเราตลอดเวลา

จงเต็มใจกับการถูกบังคับให้ออม

การออมด้วยการถูกบังคับ เช่น การหักเงินเดือนของตนเองซื้อทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ตนเองเป็นสมาชิก หรือหักเงินเดือนเข้าสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำนาญข้าราชการ หรือเงินเดือนซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือหักเงินเดือนซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต การพยายามออมเงินของบุคคลโดยไม่ถูกหักเงินเดือนแบบบังคับก็เป็นไปได้ แต่มีคนพิเศษจำนวนน้อยเท่านั้นที่สามารถออมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยไม่กลับเอาเงินออมมาใช้เสียก่อนที่จะเอาไปลงทุนอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว สำหรับการหักเงินเดือนแบบบังคับเป็นเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นได้ประโยชน์หลายต่ออย่างน่าสนใจ

ประการแรก ได้เงินออมเป็นกอบเป็นกำไว้ใช้ในอนาคต

ประการที่สอง มีมืออาชีพบริหารเงินออมของเรา เช่นนำเงินออมไปซื้อหุ้นบริษัทที่มีผลกำไร หรือซื้อตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน

ประการที่สาม เงินที่สมทบเข้ากองทุนในแต่ละปีจะเป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้แบบเต็มๆ ทำให้ลดภาษีลงไป ใครที่ซื้อทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่เต็มตามสิทธิของท่าน ก็จงรีบดำเนินการเพื่อจะได้รับประโยชน์อันพึงได้อย่าให้เหมือนคนจำนวนมากที่มองข้ามสิทธิประโยชน์อันพึงได้เหล่านี้

การออมเงิน คือประตูสู่การมีอิสรภาพทางการเงินแน่นอน
ที่มา http://www.thaiinsuranceetc.com



บิล เกตส์ (Bill Gates) ประวัติผู้ก่อตั้ง บริษัทไมโครซอฟท์

บิล เกตส์ (Bill Gates) ประวัติผู้ก่อตั้ง บริษัทไมโครซอฟท์
Photo courtesy of Microsoft

เมื่อเอ่ยถึงผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแน่นอนว่าชื่อแรกที่วิ่งเข้ามาในความคิดของใครหลายๆคนต้องนึกถึงชื่อของบิล เกตส์(Bill Gates) มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรไมโครซอฟท์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เป็นแน่แท้โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของเขาที่ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดทรัพย์สมบัติดังกล่าวก็เกิดขึ้นได้จากน้ำพักน้ำแรงการทำงานบวกกับสติปัญญาแนวความคิดและการบริหารที่ชาญฉลาดของเขาในการดำเนินธุรกิจ กับความคิดที่ง่ายๆแต่ลึกซึ้งและได้ใจความว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเราทุกคนมีคอมพิวเตอร์ราคาถูกใช้กัน” และนั่นจึงเป็นที่มาของการตามล่าและสร้างความฝันให้เกิดขึ้นของบิลด้วยวัยเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยทันทีและนั่นได้กลายมาเป็นปฐมบทความยิ่งใหญ่ฉากแรกของผู้ชายที่ชื่อบิล เกตส์ ที่ไม่ยอมปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงแค่เรื่องทางความคิดแต่กลับลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง บวกกับความเพียรพยายามศึกษาหาความรู้และมุ่งความสนใจและจุดโฟกัสไปในสิ่งที่ตนเองรักและชื่นชอบตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้เขายังถือเป็นผู้ให้การสนับสนุนงานทางด้านการกุศลเพื่อสังคมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลกคนหนึ่งด้วย นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่าจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างมากที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ


วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม (เกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955) หรือที่มักเป็นที่รู้จักในชื่อ บิลล์ เกตส์
เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์
ส่วนบุคคลคนอื่น ๆ ได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็นอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับ
เครื่องอัลแตร์ 8800 (เค่รื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ) เขาได้ร่วมกับ นายพอล อัลเลน
ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชันขึ้น ซึ่งในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร
และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้ บิลล์ เกตส์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด
ในโลกหลายปีติดต่อกัน

วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สามได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน (KBE)
จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2

ประวัติ

บิลล์ เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์
มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway,
First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ชื่อเต็มของเขาคือ
วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์

บิลล์ เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองที่เขาได้พัฒนาทักษะ
ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เพื่อให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ
ดีกว่าเดิม บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้แอบย่องเข้าไปในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน
ทั้งคู่ถูกจับได้แต่ก็ได้เจรจาตกลงกับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียนได้ใช้ฟรี ต่อมา
บิลล์ เกตส์ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ต้องพักการเรียนไปโดยไม่จบการศึกษา เพื่อที่จะได้เริ่มประกอบอาชีพ
ทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสตีฟ บาลเมอร์ หนึ่ง
ในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักระหว่างที่เป็นนักศึกษาปี 1

ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เขาได้ร่วมกับ พอล อัลเลน เขียนต้นแบบ ภาษาอัลแตร์เบสิก ซึ่งเป็น
โปรแกรมอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกที่ประสบ
ความสำเร็จทางการค้าในกลางคริสตทศวรรษที่ 70) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาษาเบสิก ซึ่งเป็น
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้ง่าย ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยดาร์ทเมาท์คอลเลจ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน

เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์
(เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์
(เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2002)

ในปี ค.ศ. 1994 บิลล์ เกตส์ได้ม้วนกระดาษไลเชสเตอร์ ซึ่งรวบรวมงานเขียนของเลโอนาร์โด ดา วินชีมาไว้ในครอบครอง
และในปี ค.ศ. 2003 ได้นำม้วนกระดาษนี้ออกแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองซีแอทเทิล

ในปี ค.ศ. 1997 เกตส์ได้ตกเป็นเหยื่อของแผนการขู่กรรโชกทรัพย์อันแปลกประหลาด ของนายอดัม ควินน์ เพลตเชอร์
ชาวเมืองชิคาโก ซึ่งเกตส์ก็ได้ขึ้นให้การต่อศาลในการพิจารณาคดีดังกล่าว เพลตเชอร์ถูกตัดสินลงโทษเมื่อเดือนกรกฎาคม
ค.ศ. 1998 และถูกจำคุกเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 เกตส์ถูกนายโนเอล โกดังจู่โจมด้วยการ
ปาขนมพายหน้าครีมใส่ ระหว่างการไปปรากฏตัวที่ประเทศเบลเยียม

เกียรติประวัติ

- ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยวาเซดะ ค.ศ. 2005
- รางวัลเกียรติยศผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน จากสหราชอาณาจักร ตามประกาศเมื่อปี ค.ศ. 2005 [1]
- ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสถาบันเทคโนโลยีหลวง (Roytal Institute of Technology) - กรุงสต็อกโฮล์ม
ประเทศสวีเดน ค.ศ. 2002
- ติดหนึ่งใน 100 อันดับบุคคลสำคัญผู้มีอิทธิพลต่อประชาชนในสื่อต่าง ๆ จากการจัดอันดับของ หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียน ค.ศ. 2001
- ติดอันดับบุคคลผู้มีอำนาจ, นิตยสารซันเดย์ ไทม ค.ศ. 1999
- อันดับ 2 ในการจัดอันดับ 100 ดาวรุ่ง, นิตยสารอัพไซด์ ค.ศ. 1999
- อันดับ 1 ในการจัดอันดับ 50 ดาวรุ่งในโลกไซเบอร์, นิตยสารไทม ค.ศ. 1998
- อันดับที่ 28 ใน 100 อันดับบุคคลสำคัญผู้มีอิทธิพลในวงการกีฬา, นิตยสารสปอร์ตติง นิวส์ ค.ศ. 1997
- ผู้บริหารระดับสูงแห่งปี, นิตยสารชีฟ เอกเซกคูทีฟ ออฟฟิซเซอร์ ค.ศ. 1994
- นักกีฏวิทยา ได้ตั้งชื่อแมลงวันตอมดอกไม้พันธุ์หนึ่งว่า Eristalis gatesi ตามชื่อของบิลล์ เกตส์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา


ประมาณการทรัพย์สินของเกตส์

บิลล์ เกตส์ ติดอันดับหนึ่ง จากการจัดอันดับ "ฟอร์บ 400" ระหว่างปี ค.ศ. 1993-2005 และติดอันดับหนึ่งในการจัดอันดับ
มหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บ ในปี ค.ศ. 1996 และระหว่างปี ค.ศ. 1998-2005 ซึ่งจากการจัดอันดับดังกล่าว สรุปได้ว่า
ทรัพย์สินสุทธิของเขามีมูลค่าดังต่อไปนี้:

- ค.ศ. 1996 - 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 1997 - 36.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ของโลก
- ค.ศ. 1998 - 51.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 1999 - 90.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2000 - 60.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2001 - 58.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2002 - 52.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2003 - 40.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2004 - 46.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2005 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2006 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก

การที่ทรัพย์สินสุทธิของเกตส์ มีมูลค่าลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา
มีสาเหตุมาจากการที่หุ้นของไมโครซอฟท์มีราคาลดลง รวมถึงการที่เขาได้บริจาค
เงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้องค์กรการกุศลของเขา และแม้เขาจะมีรายได้ลดลง
ตามรายงานของนิตยสารฟอร์บในปีค.ศ. 2004 เกตส์ยังได้บริจาคเงินรวมกว่า 28,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับองค์กรการกุศลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เขาได้กลายเป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลกไปเสียแล้ว แม้จะนับเอาประมุขของรัฐ
(ผู้ซึ่งทรัพย์สินมาจากสถานะทางสังคม) ไว้ในการจัดอันดับด้วยก็ตาม
(แม้ว่าการจัดอันดับตามมาตรฐานของนิตยสารฟอร์บนั้น จะไม่รวมเอาประมุขของ
รัฐเอาไว้ด้วย ฟอร์บได้จัดทำบัญชีประมาณการทรัพย์สินของประมุขแต่ละประเทศไว้ต่างหาก
เมื่อนำรายชื่อจากการจัดอันดับทั้งสองแบบมารวมกันแล้ว พบว่าเกตส์เป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในโลก)
ข้อมูลอ้างอิง : http://th.wikipedia.org/

ประวัติ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง www.Amazon.com

ประวัติ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง www.Amazon.com
เจฟฟ์ เบซอสเป็น คนหนุ่มที่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และสิ่งที่เขา
สร้างสรรค์ขึ้นสามารถตอบสนองความต้องการของคนได้อย่างทั่วถึงทุกมุมโลก เรียกได้ว่าเขา
สามารถประสบความส าเร็จจากธุรกิจนี้จนสามารถท ารายได้อย่างเป็นกอบเป็นก าเลยทีเดียว
ถ้าเราจะมองว่าใครซักคนจะสามารถประสบความส าเร็จได้นั้น ซึ่งแรกที่ CEO โลกส่วน


ใหญ่ที่ผมน ามาพูดมีกันแทบจะทุกคนคือการที่พวกเขาเหล่านั้นได้ท าในสิ่งที่ตนเองรัก และมี
ความสุขกับสิ่งที่ท า แต่ที่ส าคัญไม่น้อยไปกว่านั้นคือสิ่งที่พวกเขาก าลังท านั้นเป็นที่ต้องการของ
ตลาด และตอบสนองความต้องการของมนุษย์จนสามารถสร้างความพอใจได้อย่างเต็มที่ หา ก
สองสิ่งนี้สอดคล้องกัน ไม่ว่าคนจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ ย่อมประสบความส าเร็จได้อย่างไม่
ยากเย็นโดยไม่ต้องเสียเวลาไปบนบานศาลกล่าวหรือหาเครื่องลางของขลังที่ไหน
ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลและที่มาที่ไป ยกตัวอย่างจากชีวิตของผมไม่ว่าจะ
เป็นใครหรือองค์กรใดที่ผมมีความรู้จักใกล้ชิดสนมสนมหรือเคยท าธุรกิจด้วยนั้น ผมไม่เคยเห็น
ใครที่จะสามารถประสบความส าเร็จได้ด้วยดวงหรือโชคเพียงอย่างเดียว
โดยเฉพาะลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมอมตะไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไทยหรือที่เวียดนาม กว่า
99% ล้วนแล้วแต่ร่ ารวยกันทุกบริษัท อันเป็นผลมาจากการท าธุรกิจอย่างมีแบบแผน และมี
นโยบายการตลาดที่ดี มีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ และที่ส าคัญสิ่งที่พวกเขาก าลังท า
อยู่นั้นจะต้องตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้อย่างไม่มีขีดจ ากัด2
ธุรกิจออนไลน์ช่วยอ านวยความสะดวกให้กับคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างมาก เพราะ
ในอดีตหากเราต้องการจะสื้อสินค้าอะไรสักอย่างนั้น เราจะต้องเดินทางไปที่ร้านค้าที่รวบรวม
สินค้าต่าง ๆ ไว้ หรือไม่เช่นนั้นอาจต้องเดินทางไปยังแหล่งผลิตกันเลย แต่ส าหรับในโลก ทุก
วันนี้ การซื้อขายสิ้นค้าง่ายเพียงปลายนิ้วส าผัส เป็นผลมาจากเทคโนโลยีที่ก้าวไกลมากขึ้น
อินเตอร์เน็ตได้ปฏิวัติชีวิตของคนทั่วโลก ปัจจุบันเราสามารถดูตัวอย่างและท าการสั่งซื้อขาย
สินค้าทางออนไลน์ได้ และเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่มีผู้รู้จักมากที่สุดและใช้บริการมากที่สุด
คือ Amazon.com
Amazon.com เป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์สัญชาติอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดของ
สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ 15 ปีที่แล้วเท่านั้นและด าเนินกิจการมาได้เพียง 14 ปี โดยเริ่มต้น
จากการขายหนังสือก่อน แล้วจากนั้น จึงขยับขยายไปขายสินค้าอื่นๆ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
ท าให้Amazon.com กลายเป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่มีคนรู้จักกันทั่วโลก
เจฟฟ์ เบซอส นอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้ง Amazon.com แล้ว ปัจจุบันเขายังด ารงต าแหน่ง
เป็นทั้งประธานคณะกรรมการผู้บริหารบริษัท ( Chairman) ประธานกรรมการบริหารบริษัท
(CEO)และประธานบริหารบริษัท ( President) ของบริษัทนี้มานาน 15 ปี เรื่องราวชีวิตของเขา
อาจช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ที่มองหา “โอกาส” ใหม่ๆให้แก่ชีวิตอยู่เสมอ
ประวัติ
เจฟฟรีย์ เพรสตัน เบซอส (Jeffrey Preston Bezos) เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1964
ที่เมืองอัลบูเคอร์คิว (Albuquerque) มลรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา แม่ของเขาชื่อ แจ็คกี้ ไกซ์
จอน์เกนสัน ( Jackie Gise) ตั้งท้องเจฟฟ์ตั้งแต่ตอนที่ยังมีอายุได้ 17 ปี จึงได้แต่งงานกับพ่อของ
เจฟฟ์ แต่หลังจากที่เจฟฟ์เกิดได้ไม่นานพ่อของเขาก็ทิ้งแม่และเขาไป
พอเจฟฟ์มีอายุได้ประมาณ 4 ขวบ แม่แต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงของเขามีชื่อว่ามิเกล หรือ
“ไมค์” เบซอส (Miguel ‘Mike’ Bezos) เป็นคนคิวบาและหนีมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ตอนที่มี
อายุได้เพียง 15 ปี ไมค์ท างานไปด้วยขณะเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัลบูเคอร์คิว ( University of 3
Albuquerque) พอแม่ของเจฟฟ์แต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงก็รับเขาเป็นลูก เลยท าให้เจฟฟ์ใช้นามสกุล
ของพ่อเลี้ยงมาตั้งแต่บัดนั้น
พ่อเลี้ยงของเขาท างานเป็นวิศวกรของบริษัทเอ็กซอน ( Exxon) ท าให้ต่อมาครอบครัว
ของเขาต้องย้ายบ้าน 2 ครั้งเพื่อตามพ่อเลี้ยงไป ต่อมาแม่ของเจฟฟ์ก็มีน้องคนละพ่อให้กับเขา 2
คน เป็นน้องสาวชื่อคริสติน่า ( Christina)และน้องชายชื่อมาร์ค (Mark) ที่มีอายุอ่อนกว่าเขา 5 ปี
และ 6 ปี
เจฟฟ์ไม่เคยได้เจอหน้าพ่อแท้ๆ ของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากพ่อทิ้งเขากับแม่ไป
ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดได้ไม่นาน เขาจึงไม่ มีความทรงจ าใดๆ เกี่ยวกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง เขาโต
ขึ้นมาโดยที่มีไมค์เป็นพ่อมาโดยตลอด จนกระทั่งพอเขามีอายุได้ 10 ขวบแม่และพ่อเลี้ยงจึงได้
เล่าความจริงให้เขาฟัง เรื่องนี้ไม่ได้ท าให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อพ่อเลี้ยงเปลี่ยนไป เพราะเขา
ถือว่าไมค์เป็นพ่อแท้ๆ ของเขามาโดยตลอดเพราะไมค์คือคนที่เลี้ยงเขามาไม่ใช่คนที่ทิ้งเขาและ
แม่ไป เจฟฟ์ไม่เคยนึกสงสัยหรืออยากรู้เลยว่าพ่อแท้ๆ ของเขาคือใคร มีอยู่ครั้งเดียวที่เขานึกถึง
ข้อเท็จจริงที่ไมค์ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเขาคือตอนที่เขาไปหาหมอแล้วหมอซักประวัติพ่อแม่เพื่อใช้
ประการการวินิจฉัยในการตรวจ
ดั้งเดิมแล้วครอบครัวของฝ่ายแม่มีรกรากอยู่ที่เท็กซัส แต่ตาของเจฟฟ์คือลอว์เรนซ์ เพรส
ตัน ไกซ์ ( Lawrence Preston Gise)ก่อนหน้านี้ตาของเขาท างานเกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยี
อวกาศและระบบการป้องกันขีปนาวุธ เคยท างานเป็นผู้อ านวยการส่วนภูมิภาคของ
คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู ( Atomic Energy Commission) ที่ประจ าอยู่ที่เมืองอัลบูเคอร์
คิว ดังนั้นครอบครัวของแม่จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอัลบูเคอร์คิวตอนที่ตามาท างาน แล้วต่อมา
ตาของเขาเกษียนก่อนก าหนดเพื่อไปท าฟาร์มปศุสัตว์ที่บ้านเดิมในเท็กซัส ไร่ของตามีเนื้อที่
ประมาณ 6 หมื่นกว่าไร่ เจฟฟ์ได้ไปท างานช่วยตาในฟาร์มเป็นประจ าทุกๆ ปี ในช่วงฤดูร้อน
เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบจนโตเป็นวัยรุ่นอายุ16 ปี เจฟฟ์ผูกพันกับตาของเขา
มาก โดยเขาจะเรียกตาว่า “ป๊อบส์” 4
สิ่งส าคัญอย่างหนึ่งของการเป็นชาวไร่คือการพึ่งตัวเองและท าอะไรหลายๆอย่างด้วย
ตัวเอง ตั้งแต่การซ่อมรถแทรกเตอร์ วางท่อ ซ่อมที่ปั๊มน้ า ไปจนกระทั่งถึงการรักษาสัตว์
บุคคลที่เป็นแบบอย่างให้กับเจฟฟ์มากที่สุดคือตาของเขา เพราะการที่เขาได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับตา
ท าให้เขาเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมาจากตา สิ่งนี้ สร้างนิสัยความอยากรู้อยากเห็นและการ
ประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผ่านการให้เจฟฟ์เรียนรู้เกมและของเล่นเพื่อ
การศึกษาต่างๆ และ ตาก็คือที่ปรึกษาคนส าคัญของเขา นอกจากนี้บุคคลอื่นๆ ที่เป็นแบบอย่าง
ให้กับเขาเช่นโทมัส เอดิสัน และวอลต์ ดิสนีย์ เนื่องจากว่าเขาเป็นคนที่สนใจเรื่องนักประดิษฐ์
และการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มาตั้งแต่เป็นเด็ก
ช่วงเวลาที่เป็นเด็ก เด็กทุ กคนย่อมมีความใฝ่ฝันว่าโตขึ้นมาอยากจะเป็นอะไร ส าหรับ
เจฟฟ์แล้วอาชีพแรกที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นเมื่อตอนที่มีอายุเพียง 6 ขวบ คืออาชีพนักโบราณคดี
โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องอินเดียน่าโจนส์ พอโตขึ้นมาหน่อย เขาอยากเป็น
นักบินอวกาศ พอตอนเรียนชั้นมัธยมอยากเป็นนักฟิสิกส์ และพอเรียนมหาวิทยาลัยอยากเป็น
โปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์
สมัยเรียนเจฟฟ์เป็นเด็กดีและคร่ าเคร่งกับการเรียนมาก เขาเป็นเด็กรักเรียนชอบไป
โรงเรียน เขาส่งการบ้านตรงเวลา เป็นเด็กดีประจ าห้อง เจฟฟ์ไม่เคยมีปัญหาสมัยเรียน ปัญหาที่
เขาเคยพบตอนเรียนมีเพียงเรื่องที่เขา “เสียเกียรติ” ประจ าห้องสมุดไปครั้งหนึ่งเนื่องจากเขาเผลอ
หัวเราะเสียงดังลั่นห้องสมุด เขาเ ป็นคนที่มีนิสัยหัวเราะเสียงดังลั่นติดตัว แม้กระทั่งน้องชาย
น้องสาวยังไม่ยอมไปดูหนังพร้อมกันกับเขาเนื่องจากอายที่เขาหัวเราะเสียงดังมากเกินไป
เขาเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือและเคยแข่งขันอ่านหนังสือว่าใครสามารถอ่านหนังสือ
ได้มากที่สุด แต่เขาไม่ได้รางวัลชนะเลิศ เพราะมีคนอ่านหนังสือมากกว่าเขาเสียอีก เขาอ่าน
หนังสือหลายแนว หนังสือแนวที่เขาชอบเช่นนวนิยายวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เจฟฟ์มีฮีโร่เป็น
นักประดิษฐ์ สนใจเรื่องการประดิษฐ์ และชอบอ่านหนังสือแนววิทยาศาสตร์ จึงท าให้เขาเป็นนัก
ประดิษฐ์ตัวน้อย บ้านที่เขาอยู่เต็มไปด้วยสิ่งที่เขาประดิษฐึ้นมาเอง ทั้งสัญญาณเตือนภัย5
หลากหลายรูปแบบและวิทยุสื่อสารที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาเองเขาฉายแววความสามารถทางด้าน
การช่างและประดิษฐ์มาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก
ช่วงเจฟฟ์เรียนมัธยมปลายครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองไมอามี่ในรัฐฟลอริด้า เขา
จึงได้ไปเข้าเรียนชั้นมัธยมที่นั่นในโรงเรียนชื่อว่า Miami Palmetto Senior High School และใน
ระหว่างที่เรียนที่นี่เขาได้เข้าร่วมโครงการฝึกนักเรียนวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟลอริด้าอีก
ด้วย โดยในปี ค.ศ. 1982 เขาได้รับรางวัล Silver Knight Award ซึ่งมอบให้กับนักเรียนยอดเยี่ยม
ทางด้านต่างๆ ที่เรียนอยู่ในฟลอริด้า เนื่องจากว่าสมัยเรียนมัธยมเจฟฟ์มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะ
เป็นนักฟิสิกส์ ดังนั้นเขาจึงเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
ชีวิตการเรียนวิชาฟิสิกส์ของเจฟฟ์ในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันด าเนินไปเรื่อยๆ แต่การเรียน
ในมหาวิทยาลัยที่มีแต่ระดับหัวกะทิไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อในวันหนึ่งเขาลงเรียนในวิชา
Quantum Mechanics เขาค้นพบว่าตัวเองคงไม่อาจเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ได้ ถึงแม้ว่าเจฟฟ์จะ
ท าเกรดได้ดี แต่ก็มีเพื่อนอีกหลายคนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องล าบากอะไรเลย
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เรียนวิชานี้เจฟฟ์ก็ได้ลงเรียนวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
(computer science)และพบว่าตัวเองถูกวิชานี้ดึงดูดเข้าไป และรู้สึกว่ายิ่งเรียนยิ่งรู้สึกว่ามันเป็น
เรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิชาเอกจากฟิสิกส์มาเป็นวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แทน
ส าหรับเจฟฟ์แล้วเขาคุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี เพราะตอนที่เขามีอายุได้ประมาณ 10
ขวบ เขาเคยได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรมอยู่บ้าง พอโตขึ้นมาสมัยเรียนมัธยมเขาได้
คอมพิวเตอร์ Apple II Plus มาใช้ และ ใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับมัน เมื่อ เข้าเรียนที่พรินซ์ตัน
ถึงแม้ว่าเขาจะเรียนวิชาเอกฟิสิกส์แต่เขาก็ลงเรียนวิชาที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทุกวิชา ส าหรับ
นักศึกษาวิชาเอกฟิสิกส์อย่างเขานั้นเห็นว่าเป็นเรื่งที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานมาก ดังนั้น
หลังจากที่เขาเรียนรู้ว่าเขาคงไม่สามารถเป็นนักฟิสิกส์ได้ เขาจึงเปลี่ยนมาเรียนวิทยาศาสตร์
คอมพิวเตอร์แทน6
ในปี ค.ศ. 1986 เจฟฟ์เรียนจบปริญญาตรีจากปรินซ์ตันด้วยเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์
และวิศวกรรมการไฟฟ้า ด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยมระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เมื่อเรียนจบ
เขาเริ่มต้นการท างานกับบริษัทหุ้นในวอลสตรีทของกรุงนิวยอร์ก ณ เวลานั้นก าลังมีความ
ต้องการนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มากเพื่อออกแบบคอมพิวเตอร์มาวิเคราะห์แนวโน้มของ
ตลาดหุ้น การท าอาชีพนี้ท าให้เขาได้ใช้ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ผสมผสานกับการเงิน
เจฟฟ์เริ่มต้นท างานที่บริษัท Fitel ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อจับธุรกิจ
เกี่ยวกับการสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการค้าขายเงินตราระหว่างประเทศ โดยเขา
ท างานที่นี่ประมาณ 2 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986– 1988
จากนั้นย้ายไปท าที่บริษัท Bankers Trust โดยเริ่มจากต าแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์จน
ก้าวหน้าจนได้เป็นรองประธานบริษัท เขาท างานอยู่บริษัทนี้อีก 2 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988–1990
แล้วจากนั้นจึงย้ายไปท างานที่บริษัท E.D. Shaw & Co. บริษัทที่ท าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้
ในตลาดหุ้นโดยเฉพาะ เจฟฟ์ท างานในต าแหน่งนักวิเคราะห์ทางด้านการเงิน และต าแหน่ง
หน้าที่การงานของเขารุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ได้เป็นถึงรองประธานอาวุโสของบริษัท
ในระหว่างที่ท างานที่บริษัท E.D. Shaw & Co. เจฟฟ์ได้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานที่ชื่อแมค
เคนซี่ ทัทเทิ้ล ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน โดยเธอท างานในต าแหน่งนักวิจัยของบริษัทและ
ท าหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเขา เจฟฟ์ตกหลุมรักเธอและทั้งคู่จึงแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1993 ตอนที่
เจฟฟ์มีอายุได้ 29 ปี แต่ปัจจุบันภรรยาของเจฟฟ์มีอาชีพเป็นนักเขียน ทั้งคู่มีลูก 4 คน โดยเจฟฟ์
ท างานในบริษัท E.D. Shaw & Co. ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1990 – 1994 โดยได้เป็นรองประธานอาวุโส
ของบริษัทในปี ค.ศ. 1992
แรกเริ่มแล้วอินเตอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในกิจการของกระทรวงกลาโหมของ
สหรัฐฯ เพื่อเชื่อมสัญญาณระหว่างคอมพิวเตอร์เพื่อส่งข้อมูลในกรณีที่มีเรื่องฉุกเฉินอย่างเหตุภัย
ธรรมชาติหรือการโจมตีจากข้าศึก ต่อมาระบบนี้ได้แพร่ไปสู่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลและ
นักวิจัยในมหาวิทยาลัยเพื่อใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ต่อมาอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตหรือ World 7
Wide Web นั้นได้ขยายตัวมากขึ้นในหมู่ผู้ใช้ในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และ ณ ปี ค.ศ. 1994 ยังไม่มี
การท าธุรกิจการค้าทางอินเตอร์เน็ต
การท างานในวงการนั้นท าให้เจฟฟ์ได้มีโอกาสรู้ว่าในตอนนั้น ณ ปี ค.ศ. 1994 โลก
World Wide Web ก าลังเติบโต (คือมีคนใช้งาน)ถึง 2,300% ต่อปี ซึ่งเป็นสถิติที่สูงมาก และนั่น
จึงเป็นจุดที่น ามาสู่การก่อตั้ง Amezon.com โดยข้อมูลตรงนี้ท าให้เขาเห็นโอกาสที่จะลงทุนท า
ธุรกิจบนโลกอินเตอร์เน็ต
ธุรกิจที่เจฟฟ์ตัดสินใจลงทุนในโลกอินเตอร์เน็ตคือ e-commerce online ที่ท าการค้าขาย
สินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต และตัวเลือกสินค้าที่เจฟฟ์ต้องการเอามาน าเสนอในโลกอินเตอร์เน็ตของ
เจฟฟ์คือหนังสือ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ ด้วยความที่เป็นคนที่มีพื้นฐานการเรียนวิทยาศาสตร์
มาจึงท าให้เขาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการลงทุนท าธุรกิจอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน
เขาศึกษาธุรกิจสั่งสินค้าทางจดหมายที่มียอดสูงที่สุด 20 อันดับแรก และหนังสือก็เป็นตัวเลือกที่
ดีที่สุด
ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้ธุรกิจหนังสือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะท าได้ เขาลงทุนบินข้าม
ทวีปจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก โดยจุดมุ่งหมายของเขาคือการเข้าร่วมงานการประชุมผู้ขาย
หนังสือแห่งสหรัฐอเมริกาที่จัดขึ้นที่เมืองลอสแองเจอลิส การเข้าร่วมงานนั้นท าให้เขารู้ว่าบริษัท
ขายส่งหนังสือเจ้าหลักๆ นั้นได้ท าการรวบรวมข้อมูลของหนังสือเข้าไปไว้ในระบบ
อิเล็กทรอนิกส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ขาดคือแหล่งข้อมูลเดี่ยวๆ แหล่งเดียวที่ผู้
ซื้อจะสามารถเขามาตรวจสอบดูว่ามีหนังสือในสต็อกไหม ราคาเท่าไหร่ และจะสั่งซื้อผ่านแหล่ง
นั้นได้โดยตรง และแหล่งที่ว่านั้นก็คือโลกอินเตอร์เน็ตนั่นเอง
เขาตัดสินใจที่จะท าธุรกิจของตัวเองนี้ที่ซีแอตเติ้ล ที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากนิวยอร์ก ดังนั้น
เขาต้องลาออกจากงานเก่าและย้ายครอบครัว ถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งส าคัญ เพราะงานที่เขา
ก าลังท าอยู่ ณ ตอนนั้น ถือว่าเป็นอาชีพที่ดี มีความ มั่นคง และมีรายได้งามมาก การที่จะเลิก
ท างานนี้เพื่อไปเสี่ยงก่อตั้งบริษัทขายหนังสืออนไลน์ถือว่าเป็นเรื่องที่บ้ามากในตอนนั้น8
แต่เขาก็มุ่งมั่นเกินกว่าที่จะเปลี่ยนใจและจะไม่เสียใจถึงแม้ว่ามันจะล้มเหลว เขาจะเสียใจ
มากกว่าหากเขาคิดแล้วแต่ไม่พยายามลงมือท า ดังนั้นเขาจึงลาออกและบอกภรรยา ซึ่งภรรยา
ของเขาไม่ได้คัดค้านเขา แต่พร้อมจะสนับสนุนสามีเพื่อท าสิ่งที่เขาต้องการ
ก่อนที่จะครบรอบวันเกิดครบ 30 ปี เจฟฟ์ลาออกจากงานเพื่อท าตามแผนที่เขาวางไว้
จากนั้นเขาและภรรยาก็บินไปที่เท็กซัสเพื่อไปรับรถยนต์คันหนึ่งที่พ่อเลี้ยงของเขามอบให้เป็น
ของขวัญ เขาและภรรยาขับรถคันนี้เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ซีแอตเทิ้ล
ตลอดการเดินทาง ภรรยาของเจฟฟ์เป็นคนขับรถให้ ในขณะที่เขาท างานวางแผนธุรกิจ
และชื่อของบริษัทใหม่ของเขาคือ Amazon ซึ่งเป็นชื่อของแม่น้ าของอเมริกาใต้ที่ดูเหมือนว่าจะ
ยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและมีแม่น้ าสาขาเล็กๆ มากมาย
บริษัทของเจฟฟ์คือบ้านขนาด 2 ห้องนอน เขาทดลองเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์แล้ว
จากนั้นก็ขอให้เพื่อนๆ และคนรู้จักจ านวน 300 ร้อยคนทดลองใช้ระบบของเขา และจากการ
ทดลองใช้จากบรรดาเพื่อนๆ คนรู้จักที่เข้ามาทดลองใช้ผ่านแหล่งคอมพิวเตอร์ตามที่ต่างๆ พบว่า
โปรแกรมที่เขาเขียนขึ้นมาท างานได้ดี และแล้ว ในวันที่ 16 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1995 เจฟฟ์เปิด
ท างานหน้าเว็บไซต์ Amazon.com ให้คนมาสั่งซื้อหนังสือได้โดยให้บริการทั่วโลกโดยไม่ได้
จ ากัดแต่เฉพาะในสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว
เขาได้ขอให้เพื่อนๆ ที่ทดลองระบบของเขาช่วยกระจายข้อมูล และผลปรากฎว่าหลังจาก
ที่เปิดท าการได้ 30 วัน Amazon.com สามารถขายหนังสือได้ใน 50 รัฐของสหรัฐฯ และมียอด
สั่งซื้อจากประเทศอื่นๆ อีก 45 ประเทศโดยที่เขาไม่ได้ออกข่าวโฆษณาแต่อย่างใด พอเข้าเดือน
กันยายน Am azon.com มีรายได้จากการขายหนังสือตกสัปดาห์ละ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
หลังจากที่เปิดท าการได้ไม่กี่เดือนแต่มีการตอบรับที่ดีขนาดนี้เขาและทีมงานของเขาจึงพัฒนา
เว็บไซต์ต่อไป เช่น one-click shopping, ค าวิจารณ์สินค้าจากลูกค้าที่ซื้อ และการตรวจสอบความ
ถูกต้องของอีเมล์สั่งซื้อ9
เมื่อเริ่มท าธุรกิจ เจฟฟ์บอกกับบรรดานักร่วมลงทุนรายแรกๆ ที่มาลงขันว่าธุรกิจนี้มี
โอกาสที่จะล้มเหลวถึง 70% เพราะถือว่าเป็นธุรกิจใหม่ แต่พวกเขาก็กล้าเสี่ยง หนึ่งในนัก
ลงทุนเหล่านั้นมีแม่และพ่อเลี้ยงของเขารวมอยู่ด้วย พ่อแม่ของเขาได้ช่วยลงขันเงินจ านวน
300,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เงินจ านวนนี้เป็นเงินก้อนส าคัญที่พ่อกับแม่สะสมมาเพื่อใช้ตอน
เกษียน ถึงแม้ว่าเจฟฟ์จะบอกว่าการลงทุนครั้งนี้จะมีโอกาสประสบผลส าเร็จเพียงแค่ 30%
เท่านั้นก็ตาม ผลปรากฎว่าธุรกิจนี้เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เร็วเสียจนแม้กระทั่งเจฟฟ์และคนอื่นๆ
ยังคาดไม่ถึง เจฟฟ์น า Amazon.com เข้าตลาดหุ้นในปี ค.ศ. 1997
บริษัทขายส่งหนังสือยักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Barnes and Noble และ Borders ก็หันมา
กระโจนขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน แต่ 2 ปีต่อมา มูลค่าตลาดของหุ้นของ
Amazon.com นั้นสูงกว่าบริษัทขายส่งหนังสือยักษ์ใหญ่ 2 เจ้านั้นรวมกันเสียอีก
อย่างไรก็ตามธุรกิจขายของออนไลน์ของเจฟฟ์ไม่ได้หยุดแค่หนังสือ เขาเรียนรู้ว่าเขา
สามารถเพิ่มมูลค่าการตลาดได้มากขึ้นโดยการเพิ่มสินค้าชนิดอื่นๆ เข้ามา จากเป้าหมายเดิมที่
ต้องการให้ Amazon.com กลายเป็น “ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ณ เวลานี้เขามีเป้าหมาย
เพิ่มขึ้นมาให้บริษัทของเขาเป็น “ร้านขายสินค้าทุกอย่างที่ใหญ่ที่สุดในโลก” อีกด้วย โดยสินค้า
อื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาคือซีดีเพลง วีดิโอ ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย
ปลายปี ค.ศ. 1999 บรรดานักลงทุนที่ลงขันท าธุรกิจกับเขาในตอนแรกกลายเป็นมหา
เศรษฐีพันล้าน ปัจจุบันนี้หุ้นจ านวนหนึ่งในสามส่วนถือครองโดยครอบครัวเบซอส แต่ในช่วงที่
ฟองสบู่ของธุรกิจดอทคอมแตก มีบริษัทดอทคอมล้มหายตายจากไปจ านวนมากมาย ช่วงเวลา
นั้น Amazon.com ก็ประสบกับปัญหาเช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทจากที่มีมูลค่า 106
ดอลลาร์ในปี ค.ศ. 1999 ลดลงเหลือแค่ 41.50 ดอลลาร์ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2000 เพื่อรับมือ
กับวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมแตกในครั้งนี้ เจฟฟ์ต้องให้บริษัทปรับโครงสร้างใหม่ เขาต้องปลด
พนักงานออกถึง 1,300 คนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2001 และปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อ
ความอยู่รอด 10
ส านักงานใหญ่ของ Amazon.com อยู่ที่ซีแอตเทิล แต่ปัจจุบันนี้บริษัทมีสาขาอยู่ใน
ประเทศอื่นๆ อีกด้วย คือที่แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ณ ปี ค.ศ. 2008 มีพนักงาน
จ านวน 20,500 คน มีรายได้ ปี ค.ศ. 2008 อยู่ประมาณ 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ณ วันนี้ Amazon.com กลายเป็นร้านขายของที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร้านขายของร้านนี้มี
สินค้ามากมายหลากหลายชนิดให้ลูกค้าสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตนับตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ โดย
สินค้าหลักคือหนังสือ และจากความส าเร็จในการบริหารธุรกิจเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่คนทั่ว
โลกรู้จักมากที่สุดในโลก
ในปี ค.ศ. 1999 นิตยสารไทม์ ยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี (Person of the Year)และในปี
ค.ศ. 2008 นิตยสารด้านการข่าวอย่าง U.S. News & World Report ยกให้เขาเป็นหนึ่งใน
American’s Best Leaders และในปี ค.ศ. 2008 นี้ เขาได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน (Carnegie Mellon University)
นอกจากนี้เขายังมองการณ์ไกลไปถึงธุรกิจระดับจักรวาลคือธุรกิจการบินอวกาศและการ
ท่องอวกาศ ในปี ค.ศ. 2000 เจฟฟ์ก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Blue Origin ขึ้น มีส านักงานใหญ่อยู่ที่
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ณ เวลานี้อยู่ในระหว่างช่วงก าลังทดลองและพัฒนาโครงการจรวดขนส่งยาน
อวกาศแบบวงโครจรต่ าที่ชื่อว่า New Shepard อยู่ โดยมีศูนย์การทดลองและปฏิบัติการอยู่ที่เท็ก
ซัส ที่ผ่านมามีการทดลองส่งยานขึ้นไปโคจรแล้วจ านวน 3 ครั้ง คือในปี ค.ศ. 2006 ได้ทดลอง 1
ครั้ง ปี ค.ศ. 2007 ทดลอง 2 ครั้ง โดยใช้ยานที่มีชื่อว่า Goddard
ถึงแม้ว่าจะเริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 แต่แผนการณ์นี้ถูกประกาศออกมาอย่างเป็น
ทางการให้สื่อและสาธารณชนรับรู้ในปี ค.ศ. 2003 เนื่องจากเจฟฟ์ได้กว้านซื้อที่ดินที่รัฐเท็กซัส
เพื่อใช้ในการทดลองนี้ บริษัทของเจฟฟ์มีแผนที่จะเปิดด าเนินการธุรกิจการท่องเที่ยวอวกาศในปี
ค.ศ. 2010 โดยจะท าการส่งเที่ยวบินออกไปวงโคจรต่ าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
ภาพลักษณ์ภายนอกที่ทุกคนเห็นเจฟฟ์ดูเป็นคนที่มีลักษณะดูสบายๆ มีอารมณ์ขัน และ
รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แต่เป็นที่รู้กันดีว่าเจฟฟ์เป็นผู้บริหารที่ใส่ใจในทุกๆ 11
รายละเอียดของทุกขั้นตอนในการด าเนินธุรกิจ เขาเป็นคนที่แน่วแน่ มีความคาดหวังต่อ
พนักงานว่าโครงการเตรียมงานต่างๆ ต้องเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็วและต้องมีประสิทธิภาพสูง
ปัจจุบันนี้เจฟฟ์และครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมืองซีแอตเทิล โดยเวลานี้พวกเขามีแผนการ
ใหม่นั่นคือการตอบแทนสังคม เราคงต้องมาคอยติดตามดูกันต่อไปว่าเจฟฟ์จะท าสิ่งใดให้คน
ทั่วโลกจดจ านอกเหนือไปจากการสร้างธุรกิจ Amazon.com ที่กลายเป็นต านานไปเสียแล้ว
ที่มา http://www.vikrom.net/update/file/ptjeff260709.pdf

10 อันดับธุรกิจมาแรงในปี 55 “การแพทย์-ความงาม” แรงสุด

10 อันดับธุรกิจมาแรงในปี 55 “การแพทย์-ความงาม” แรงสุด ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ม.หอการค้า เผย 10 อันดับ ธุรกิจดาวเด่น-ดาวดับ ปี 55 ระบุ การแพทย์-ความงาม มาแรงสุด เพราะคนใส่ใจห่วงใยสุขภาพ หันทำศัลยกรรมความงามมากขึ้น ส่วนโชวห่วยดับสนิท เพราะสู้รายใหญ่ไม่ได้

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง 10 อันดับธุรกิจเด่นปี 2555 ซึ่งจัดโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย


โดยคิดจากการให้คะแนนใน 5 ด้าน คือ ด้านยอดขาย ต้นทุน ส่วนต่างของยอดขายต่อต้นทุน (กำไรสุทธิ) ความสามารถในการรับผลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และความสอดคล้องกับกระแสนิยม รวม 50 คะแนน รวมถึงประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจ 55 ปัจจัยสนับสนุน และปัจจัยบั่นทอนในการทำธุรกิจ ซึ่งพบว่า ธุรกิจดาวเด่น 10 อันดับ 12 ธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการทางการแพทย์ และความงาม 45.1 คะแนน 2.อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล 44 คะแนน

3.ธุรกิจปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์คอนกรีต 43.9 คะแนน 4.สถานีบริการ/จำหน่ายน้ำมัน ก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี 43.8 คะแนน 5.สถาบันการเงิน 43.5 คะแนน 6.เทคโนโลยีสื่อสาร 43.3 คะแนน 7.ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต 43.2 คะแนน ส่วนอันดับ 8 มีคะแนนเท่ากันที่ 42.7 คะแนนใน 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร และธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง 9.ธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทน ขณะที่อันดับ 10 มี 2 ธุรกิจที่คะแนนเท่ากันที่ 42.4 คะแนน คือ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจอาหาร

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ กล่าวถึง 10 ธุรกิจดาวร่วงปี 2555 หรือธุรกิจที่มีโอกาสทำธุรกิจน้อย และผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพ ได้แก่ 1.ร้านค้าดั้งเดิม (โชวห่วย) 15.9 คะแนน 2.ผักและผลไม้อบแห้ง 16.7 คะแนน 3.หัตถกรรม (จักสาน งานไม้) 17.1 คะแนน 4.เครื่องหนัง (งานไม้เน้นฝีมือ งานเครื่องหนังทั่วไป) 17.2 คะแนน 5.เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ไม่เน้นงานฝีมือ) 18.4 คะแนน 6.สิ่งทอผ้าผืน (งานไม้เน้นฝีมือ ตัดเย็บทั่วไป) 18.7 คะแนน 7.เหล็กและการผลิตเหล็ก 19.9 คะแนน 8.อุตสาหกรรมฟอกย้อม 20.7 คะแนน 9.ธุรกิจประมง 24.1 คะแนน และ 10.อสังหาริมทรัพย์(บ้านแนวราบ) 24.9 คะแนน

“ธุรกิจดาวร่วงปี 2555 พิจารณาจากผลกระทบที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และทำให้ผู้ประกอบการแข่งขันไม่ได้ โดยเฉพาะต้นทุนด้านค่าแรงที่จะปรับขึ้นในปีหน้า ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม และสินค้าที่มีรูปแบบล้าสมัย ไม่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค เช่น เครื่องหนัง เครื่องแต่งกาย งานหัตถกรรม”

สำหรับธุรกิจเด่นหลังน้ำลด ได้แก่ ธุรกิจทำความสะอาด ธุรกิจเคลื่อนย้ายสิ่งของ วัสดุก่อสร้าง โรงรับจำนำ และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ส่วนธุรกิจเด่นในช่วงครึ่งหลังปี 2555 ได้แก่ อิเลกทรอนิกส์ ยานยนต์ ร้านทอง สื่อสิ่งพิมพ์และการบันเทิง ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง โดยอิเลกทรอนิกส์ และยานยนต์นั้น แม้ไตรมาสแรกปี 2555 จะมีความต้องการมากขึ้น แต่ผู้ผลิตไม่สามารถเดินเครื่องผลิตได้ตามความต้องการ เพราะยังฟื้นฟูโรงงาน และเครื่องจักรได้เต็มที่ คาดจะกลับมาเดินเครื่องเป็นปกติในครึ่งหลังของปี และทำให้ธุรกิจฟื้นตัวได้ครึ่งหลังของปีเช่นกัน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ควรใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัยทางการเงิน

ใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัยทางการเงิน

กว่าจะฝ่าด่านอรหันต์จนเป็นพรีเซนเตอร์บัตรเครดิตซิตี้แบงก์เคลียร์มาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะ 4 หนุ่มสาวรุ่นใหม่ต้องลงทุนทำกิจกรรมหลากหลายอย่างเพื่อพิชิตใจคณะกรรมการ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย วัดกึ๋นหรือไหวพริบ ตรวจสอบรสนิยมการแต่งกาย และท้ายสุดคือวิสัยทัศน์การตลาด เล่นเอาแต่ละคนหืดขึ้นคอทีเดียว


แต่ถึงจะเหนื่อยยากแค่ไหน ผู้รับการคัดเลือกทั้ง 4 คน ได้แก่ "บี" ทวีสันต์ สุทรารักษ์ "อาร์ต" พลกฤษณ์ ถมยา "หวานเย็น" ม.ล.ศิศิรา ดิศกุล และ "ตุ๊กตุ่น" รจเลข กานต์โกศล ต่างก็ปลื้มสุดๆ เพราะนอกจากจะได้รับรางวัลมูลค่า 2 แสนบาทต่อคนแล้ว ยังได้เป็นตัวแทนบัตรซิตี้แบงก์เคลียร์ในงานโฆษณาและสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ อีกด้วย

"บี" ทวีสันต์ ครูสอนฟิตเนสวัย 26 ปี เผยถึงความสามารถในการสอนออกกำลังกายว่า กีฬาทำให้เขากล้าคิด และพัฒนาสู่การเป็นผู้นำ หากสังเกตคนที่เล่นกีฬาจะเห็นว่าต่างมีไหวพริบในการแก้ปัญหา ดังนั้นเขาจึงเลือกเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาฯ และปัจจุบันเป็นครูสอนฟิตเนสที่แคลิฟอร์เนีย ฟิตเนส ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ด้วย

สำหรับเรื่องเงินๆ ทองๆ และการใช้บัตรเครดิตแบบมีวินัยนั้น บี เผยว่า แม้จะมีใช้ถึง 3 ใบแต่ก็ไม่เสียค่าธรรมเนียมรายปี ที่สำคัญคือ การรู้จักใช้ให้พอเพียงและควบคุมให้ได้

"เวลาเลือกใช้บัตรเครดิตต้องดูข้อแม้ก่อนว่าเก็บค่าธรรมเนียมหรือเปล่า โปรโมชั่นตรงกับความต้องการไหม แต่ทั้งนี้ต้องมีวินัยและใช้จ่ายอย่างพอเพียง ใช้แต่เรื่องจำเป็นและสำคัญ เพราะหากไม่คิดถึงอนาคตก็อาจจะมีปัญหาได้" ครูฟิตเนสหุ่นล่ำ กล่าว

ขณะที่หนุ่มเสียงดีวัย 28 ปี "อาร์ต" พลกฤษณ์ นักวิเคราะห์ตลาดแห่งยูบีซี เผยวิธีใช้บัตรเครดิตแบบประหยัดว่า ต้องรู้จักไลฟ์สไตล์ของตนเอง และใช้เป็น โดยเฉพาะการสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัลต่างๆ

"ส่วนใหญ่จะใช้กับเรื่องเพลง ซีดี และหนังสือ หรือเวลาไปต่างประเทศ เพราะผมชอบเดินทางบ่อยๆ แต่ไปแบบประหยัดนะ" อาร์ต เผยเคล็ดสั้นๆ แต่ย้ำว่าการไปต่างประเทศของเขานั้น ทำให้เห็นความแตกต่างและเรียนรู้โลกมากขึ้น

ต่างจากสาวหน้าใสวัย 22 ปี "หวานเย็น" ม.ล.ศิศิรา ไฮโซผู้แหวกแนวคอนเซ็ปต์การเป็นพรีเซ็นเตอร์บัตรเครดิต เพราะ "ไม่มีใช้แม้แต่ใบเดียว" แถมเหตุผลการเข้าประกวดครั้งนี้ยังเกิดจากแรงยุของคุณแม่ (กุณฑิกา ไกรฤกษ์) ที่บอกให้ลูกสาวลองหาเงินด้วยตัวเองดูบ้าง หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ที่ เชลซี คอลเลจ ออฟ อาร์ตส แอนด์ ดีไซน์ สาขาออกแบบตกแต่งภายใน จากประเทศอังกฤษ และกลับมาเมืองไทยได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น

"แม่จะบอกว่าเราใช้เงินไม่ค่อยคิด เงินหายากนะลองมีความพยายามหาเองบ้างซิ จะทำได้ไหม ก็เลยตัดสินใจมาประกวด แรกๆ ก็สนุกสนานดี แต่ไม่รู้ว่าจะต้องแสดงบนเวทีด้วย เพราะเป็นคนขี้อายมากไม่ชอบทำอะไรต่อหน้าคนเยอะๆ " หวานเย็น เผยพร้อมเฉลยท่าเต้นบริทนีย์ สเปียร์ ที่เธอแสดงบนเวทีว่า ต้องใช้เวลาในการฝึกวันละ 2 ชม. แม้จะไม่เซ็กซี่เหมือนต้นฉบับแต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้

เหตุผลที่คุณหนูไฮโซคนนี้ไม่ได้ใช้บัตรเครดิตนั้น เธอบอกว่า ชอบใช้เงินสดมากกว่า และถ้าอยากได้อะไรจริงๆ ค่อยชวนคุณแม่ไปด้วย แม้กระทั่งตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ซึ่งมีค่าครองชีพสูงลิ่ว "พ่อกับแม่จะให้เงินเป็นเดือน เราต้องไปบริหารเองว่าค่าโทรศัพท์ ค่าอาหารเท่าไหร่ ซึ่งก็พอๆ กับเด็กทั่วไป แต่ก็ไม่ถึงกับลำบาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนซื้อของจุกจิกและไม่ค่อยเหลือเก็บ" หวานเย็น กล่าวและยอมรับว่า ควบคุมการใช้เงินของตนเองไม่ค่อยดีนัก

ปิดท้ายกับเจ้าแม่บัตรเครดิตตัวจริง "ตุ๊กตุ่น" รจเลข ผู้ประกาศข่าวกีฬาของผู้จัดการทีวี วัย 26 ปี ซึ่งมีใช้ 6-7 ใบด้วยกันโดยเจ้าตัวบอกเหตุผลว่า เมื่อก่อนอยากใช้บัตรเครดิตเพราะรู้สึกว่าเท่ กระทั่งมีคนโทรมาอ้อนวอนขอให้ช่วยทำ และบางธนาคารไม่มีค่าธรรมเนียมการใช้ เธอจึงไม่ปฏิเสธ

"ยอมรับว่าไม่ค่อยมีวินัยในการช็อปปิ้ง พอมีบัตรก็ทำให้เราตัดสินใจได้เร็ว เพราะมันสนองความต้องการได้เร็ว พอสิ้นเดือนก็มาปาดเหงื่อ แล้วจะบอกกับตัวเองว่าเดือนหน้าจะใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น"

อย่างไรก็ตามผู้ประกาศสาว ได้แนะนำการใช้บัตรเครดิตอย่างคุ้มค่าว่า พยายามใช้สิทธิประโยชน์ของบัตรให้เต็มที่ บัตรบางใบก็ลดค่าอาหารได้ หรือบางบัตรมีแล้วสามารถจอดรถในที่พิเศษได้ นอกจากนี้สิ่งสำคัญคือ การชำระเงินควรชำระเต็มจำนวนเพราะดอกเบี้ยแพงนะ ขอบอก...

ที่มาhttp://www.komchadluek.net

วิธีใช้บัตรเครดิต Credit card อย่างปลอดภัย

วิธีใช้บัตรเครดิต Credit card อย่างปลอดภัย
วิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัย



เซ็นชื่อหลังบัตร Credit card ทันทีที่ได้รับบัตรมาใหม่
รักษาบัตร ของท่านเสมือนเป็นเงินสด
ไม่ควรเขียนหรือเก็บรหัสไว้รวมกับบัตร Credit card
ตรวจดูให้แน่ใจว่าได้รับบัตรคืนหลังการใช้ทุกครั้ง
หากเป็นไปได้ ควรให้บัตรอยู่ในสายตาตลอดเวลาในขณะที่ร้านค้ากำลังดำเนินการขออนุมัติวงเงิน
ตรวจสอบ Sales Slip ทุกครั้งว่าจำนวนเงินถูกต้องหรือไม่ก่อนเซ็นชื่อ และเก็บสำเนา รวมทั้งใบบันทึกรายการ ATM ไว้ทุกครั้ง
ไม่ควรบอกรหัสบัตรของท่านกับใครทางโทรศัพท์
ควรตรวจสอบใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายของบัตรทุกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากการเดินทาง โดยตรวจสอบจำนวนเงินในแต่ละรายการเทียบกับสำเนา Sales Slip ควรบันทึกหมายเลขบัตรแต่ละใบ รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกรณีฉุกเฉิน เช่น บัตรหาย หรือ ถูกโจรกรรม และเก็บแยกไว้ต่างหาก
หากรู้สึกว่าพนักงานขายทางโทรศัพท์คะยั้นคะยอขอหมายเลขบัตรเครดิตของท่าน ให้สงสัยไว้ก่อนและปฏิเสธไป
ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวใดๆ ของท่านกับใครขณะใช้บัตรเครดิต และแสดงบัตรประชาชนหรือเอกสารอื่นๆ เมื่อท่านเห็นสมควรว่าจำเป็นเท่านั้น
ไม่ควรเปิดเผยรหัสบัตรของท่านกับใคร ท่านควรเป็นผู้เดียวที่รู้
ในการตั้งรหัสบัตร พยายามเลือกรหัสที่ท่านสามารถจำได้ง่าย แต่ไม่ควรใช้ตัวเลขที่ผู้อื่นอาจเดาได้ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ วันเกิด ทะเบียนรถ เป็นต้น
หากบัตรของท่านติดอยู่ในเครื่อง ATM ควรระวังผู้ที่แสดงความหวังดีเข้ามาช่วยเหลือ เพราะผู้ที่มาช่วยอาจแฝงด้วยเจตนาที่ไม่ดีและอาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อล่วงรู้รหัสบัตรของท่าน แล้วอาจนำบัตรของท่านที่ค้างอยู่ในตู้ ATM มากดถอนเงินในภายหลัง อย่าชะล่าใจ…ภัยทุจริตบัตรเครดิต

คณะทำงานป้องกันทุจริตบัตร Credit card ชมรมธุรกิจบัตรเครดิต สมาคมธนาคารไทย ได้แจ้งประกาศเตือนภัย ผู้ถือบัตร คนไทยที่ใช้บัตรเครดิต ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย เนื่องจากมีปัญหาอาชญากรรมด้านบัตรเครดิตค่อนข้างรุนแรง หรือพูดง่ายๆ ก็คือมีอัตราการทุจริตจากการใช้บัตรเครดิตที่สูงมากในขณะนี้ หากไม่นับรวมกรณีที่ผู้ถือบัตรเจตนาทำทุจริตเสียเอง ลักษณะการทุจริตบัตรเครดิตประเภทต่างๆ เท่าที่มีการติดตามรวบรวมสถิติกันไว้พอจะ สรุปได้ ดังนี้

1. ผู้ถือบัตร ทำบัตรเครดิตหล่นหาย หรือลืมบัตรไว้ที่ร้านค้าที่ไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญไม่ทันได้แจ้ง อายัดบัตรโดยทันที พอมีคนเก็บบัตรได้ก็นำไปใช้ในทางทุจริต เช่น ปลอมลายเซ็นในเซลสลิป หรือนำบัตรไปใช้จ่าย ในจำนวนเงินไม่สูงนักต่อครั้ง

2. บัตรเครดิตถูกขโมยทั้งกรณี ที่ถูกขโมยก่อนส่งให้เจ้าของบัตร และกรณีที่ผู้ถือบัตรถูกโจรกรรมหรือล้วงกระเป๋า หลังจากที่ได้ รับบัตรแล้ว ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นการทุจริตที่มีความเสียหายสูงมากในขณะนี้ สำหรับเทคนิคการทุจริตโดยนำบัตรที่ถูกขโมยไปใช้ ที่พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นการปลอมลายเซ็นในเซลสลิป หรือไม่ก็สมรู้ร่วมคิดกับร้านค้าสมาชิกให้ใช้บัตรโดยมิชอบ

3. การขโมยข้อมูล Credit card ไปทำการปลอมแปลง ซึ่งการทุจริตประเภทนี้มีมากในแถบเอเชียเช่นมาเลเซีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
4. วิธีการก็มีตั้งแต่ง่ายๆ เช่น นำบัตรเครดิตที่หมดอายุ หรือถูกอายัดแล้วมาแก้ไขข้อมูลใหม่ ไปจนถึงวิธีที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคหน่อยเข้าช่วย เช่น ทำบัตรปลอมโดยการสำเนาข้อมูลในแถบแม่เหล็กจากบัตรจริง เป็นต้น

5. ร้านค้าทุจริต เช่น ร้านค้าแก้ไขตัวเลขจำนวนเงินในเซลสลิป ร้านค้าเจตนารูดบัตรทำรายการหลายครั้ง ร้านค้าขายสินค้า แพงเกินกว่าที่เป็นจริงหรือ สินค้ามีคุณภาพต่ำกว่าที่ได้ตกลงกัน ร้านค้าไม่จัดส่งสินค้าไปให้แก่ลูกค้าตามกำหนดเวลาที่ได้ ตกลงกันไว้ เป็นต้น

6. คำแนะนำที่น่าสนใจของชมรม ธุรกิจบัตรเครดิตก็คือ ให้พยายามหลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตกับร้านค้าที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ร้านดิวตี้ฟรีช็อป (ร้านค้าขายของปลอดภาษี) ของประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ร้านขายจิวเวลลี่ราคาแพงที่เน้นขาย เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกในประเทศเกาหลีและไต้หวัน ร้านอาหารในโรงแรม หรือร้าน ที่เปิด ดำเนินกิจการเฉพาะในตอนกลางคืน เป็นต้น

7. แต่ถ้าหากจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการในร้านค้าที่มีความเสี่ยงก็ต้องหัดเป็นคนช่างสังเกตเสียหน่อย รวมทั้งควรติดตามพนักงานขายไปจนถึงเคาน์เตอร์แคชเชียร์เลยเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการนำบัตรเครดิตไปรูดกับเครื่องอย่างอื่น นอกจากเครื่องอนุมัติวงเงินของแบงก์เท่านั้น หรือไม่ได้มีการรูดบัตรทำรายการซ้ำหลายครั้ง

8. ต้องตรวจสอบหมายเลขบัตร ชื่อผู้ถือบัตร และยอดเงินในเซลสลิปว่าถูกต้องหรือไม่ก่อนลงลายมือชื่อ

9. นอกจากนั้นผู้ถือบัตรควรจดหมายเลขบัตรเครดิต และหมายเลขโทรศัพท์ของแบงก์ผู้ออกบัตรติดตัวเอาไว้ด้วยหากทำบัตรหล่นหายหรือบัตรถูกขโมยหรือสงสัยว่าบัตรของตนเองจะถูกทุจริตจะได้สามารถแจ้งอายัดบัตรได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ตลอด 24 ชั่วโมง

:: แหล่งข้อมูลจาก : ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน),www.bfiia.org

อายุ 20 แล้วควรเรื่มใช้เงินอย่างไร

อายุ 20 แล้วควรเริ่มใช้เงินอย่างไร
พ้นจากวัยละอ่อนมาก็เข้าสู่วัยโลกกว้างที่จะต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ชีวิตจริงอาจจะดูโหดร้ายไปนิด แต่เรานำเทคนิคมาฝากให้การเก็บเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้นอีกนิด

อย่างแรกเลย...ก็หางานทำซะ!

ลงทุนกับเสื้อผ้า รองเท้า และทรงผมงามๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์
อย่าจ้างคนเขียนเรซูเม่ ลองดาว์นโหลดจากอินเทอร์เน็ตมาเทียบเป็นตัวอย่างดีกว่า

เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว

ตอนนี้คุณมีรายรับมากกว่าที่เคยมีในชีวิตแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มตาม ดังนั้น อย่าใช้เงินโดยคิดว่าเดี๋ยวค่อยเอาเงินเดือนครั้งถัดไปมาชดเชยแทนเด็ดขาด
ถ้าต้องย้ายที่อยู่ เตรียมเงินค่ามัดจำไว้ให้พร้อม อ่านข้อตกลงก่อนทำสัญญาเช่าดีๆ
ประกันภัยรถยนต์อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่เป็นสิ่งจำเป็นมาก และวิธีประหยัดเงินที่ดีที่สุดก็คือการขับรถอย่างระมัดระวังเสมอ

ประหยัดให้ดีๆ

อย่าซื้อของตามกระแส ให้รอจนราคาตกลงก่อน
ของหรูหราที่มาทีละนิดก็น่ากลัว กาแฟแก้วละ 40 บาทต่อวัน อาจทำให้เราจ่ายปีละ 14,600 บาทก็ได้นะ
หนทางสู่การล้มละลายนั้นถูกปูทางด้วย "เงินกู้รายวัน" และการลงทุนที่ดีเกินจริง จำไว้ว่าความรวยนั้นไม่มีทางลัด อยากรวยต้องฉลาดใช้ฉลาดเก็บนะจ๊ะ
ที่มา สนุก.คอม



วิธีการออมเงินไว้เพื่อไปเที่ยวรอบโลก

วิธีการออมเงินไว้เพื่อไปเที่ยวรอบโลก จะใกล้ไกลแค่ไหน คุณก็ออกท่องโลกได้สบายๆ ถ้า ความอยาก ไปบรรจบกับ ความพร้อม ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป ฝันหน้าไหนก็ไม่มีทางเป็นจริง พูดแบบบ้านๆ คือต่อให้อยากเที่ยวให้แค่ แต่ถ้าอัตคัตเรื่องเงินทอง อย่าได้หวังว่าจะออกไปตะลุยโลก

ส่วนใหญ่ทุกคนจะมีความอยากยืนพื้นอยู่แล้ว มากน้อยต่างกันไป ส่วนความพร้อมถึงจะไม่เท่ากัน แต่เรื่องนี้จัดการได้ รักจะเที่ยวต้องริสะสมเงินทองให้พร้อม เพราะ "เงินทอง" คือหัวใจสำคัญของการเดินทาง

ไม่ผิดกฎการบริหารจัดการเงินทองส่วนบุคคล ถ้าคุณจะนำเงินออมที่สู้เก็บหอมรอมริบออกไปเที่ยว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กู้เงินมาเที่ยว หรือประเภทเที่ยวก่อนผ่อนทีหลัง นั่นต่างหากที่ผิดกฎ
ไม่มีกฎตายตัวว่าแต่ละเดือนหรือแต่ละปีคุณควรจะออม เท่าไหร่ คนที่รู้ดีสุดคือตัวคุณเองนั่นแหละ เที่ยวถี่ก็ออมให้หนักเข้าไว้ เที่ยวปีละหนก็ออมแบบเบาๆได้

แต่ถ้ายังไม่แน่ใจในตัวเองว่าเป็นคนพวกไหน หรือแต่ละปีไม่มีแผนแน่นอน เอาไว้เป็นว่าเรามาตั้ง "กองทุนเพื่อการท่องโลก" ของตัวคุณเองก็ได้ และแยกออกมาไว้ต่างหากเลย อย่าให้ปะปนกับเงินออมเพื่อใช้หลังเกษียณซึ่งเป็นเงินออมระยะยาว หรือเงินออมเพื่อดาวน์บ้านซึ่งเป็นเงินออมระยะกลาง ถ้าทำแบบนี้ รับรองว่าถ้าจัดระเบียบไว้อย่างดี เที่ยวแค่ไหนก็ยังมีเหลือเงินเก็บเหลือใช้ในอนาคนแน่นอน


"5-10%"เป็นตัวเลขที่กำลังสวย ถ้าภาระทางการเงินก็ไม่ใช่น้อยอยู่แล้ว แต่ก็ยังรักจะเที่ยว ก็เก็บสักเดือนละ 5% ของรายได้ แต่ถ้าภาระน้อยหน่อยก็เพิ่มเติมเข้าไป เรียกว่าตามกำลังเป็นดีที่สุด แต่ถ้าคุณเป็นพวกปลอดภาระ โจทย์ก็ขึ้นอยู่กับจุดหมายปลายทางแล้วล่ะ ถ้าอยากเที่ยวไกลก็ออมหนักหน่อย ถ้าเที่ยวแค่ใกล้ๆ ก็อาจจะน้อยหน่อย

ดังนั้น จึงย้อนกลับถึงเรื่องการวางแผนการเดินทางของคุณตั้งแต่ต้น ว่าปักหมุดไว้ที่ไหน ถ้าจะไปเที่ยวยุโรปก็อาจจะโหมเก็บเงินหน่อย แต่ถ้าเที่ยวแค่อินเดีย เนปาลก็อาจค่อยเป็นค่อยไปได้ ดังนั้น "จุดหมายปลายทาง" จึงเป็นเรื่องที่มีผลกับการออม

อีกประเด็นคือเป็นเรื่อง "สไตล์การเที่ยว" ถ้าคุณแบกเป้เที่ยว คงใช้เงินน้อยกว่าการเที่ยวกับทัวร์ หรือเที่ยวด้วยตัวเองแต่พักหรู

ทางที่ดีถ้ารู้ตัวว่าชอบเที่ยววางแผนเก็บเงินตั้งแต่ต้นปีไปเลย ก่อนอื่นรู้ที่หมายก่อนจะทำให้วางแผนง่ายขึ้น เป็นต้นว่าปีใหม่นี้จะแบกเป้ไปเที่ยวเกาหลี คะเนจากค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหารการกิน เผื่อเงินไว้ ช้อปด้วย สิริรวมแล้วคาดว่า 5 วัน 4 คืนน่าจะใช้งบประมาณ 40,000 บาท นับถอยหลังไปคุณก็จะรู้ว่ามีเวลาเก็บเงินกี่เดือน เดือนละเท่าไหร่ถึงจะเข้าเป้า

บางคนมีความรู้เรื่องการลงทุน พอออมไปซักพักจะเอาไปต่อยอดให้เงินออกดอกออกผล เผื่อจะได้เงินก้อนใหญ่ขึ้น หรือไปเที่ยวได้เร็วขึ้น อาจจะเอาไปซื้อหุ้นช่วงสั้นๆ แต่ทำแบบนี้ต้องเชี่ยวชาญจริงๆ ถ้าไม่เจนจัดเรื่องลงทุน อย่าดีกว่า เดี๋ยวผิดพลาดขาดทุนแทนที่จะได้ไปสูดอากาศเย็นๆที่เกาหลี อาจจะต้องซื้อซีดีหนังเกาหลีมานั่งดูที่บ้านเพราะเงินที่ออมไว้ขาด ทุนยับเยิน

เอาเป็นว่าลองใช้วิธีสะสมเงินแบบนี้ทุกทริปทุกเที่ยว รับรองว่าคุณได้เดินตามฝันไปเที่ยวเมืองนอกทุกปีแน่นอน
ที่มา สนุก.คอม

วิธีการเก็บเงินออมให้มากขึ้น 22 เคล็ด(ไม่)ลับ[ตอนที่2]

วิธีการเก็บเงินออมให้มากขึ้น 22 เคล็ด(ไม่)ลับ[ตอนที่2]
11.ใช้การเสียภาษีให้เป็นประโยชน์ เรียนรู้เรื่องภาษี ประโยชน์ที่คุณไม่ควรเสียและประโยชน์ที่คุณควรได้ (ลดหย่อน)

12.เข้าโครงการออมเงินที่น่าสนใจ เปิดหูเปิดตาให้กว้าง อาจมีโปรแกรมออมที่นึกไม่ถึง

13.ส้มหล่น อย่าเพิ่งกินหมดในคราวเดียว เงินก้อนใหญ่ไม่มาบ่อยครั้ง เช่น มรดก รางวัลเกมโชว์ ลอตเตอรี่ เงินปันผลกองทุน ฯลฯ เงินก้อนนี้ควรนำไปใช้ในการออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ อย่าลืมปรึกษามืออาชีพด้านภาษีด้วย


14.รัดเข็ดขัดชั่วคราว อยากได้อะไรมากๆ ลองรัดเข็มขัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น 2-3 เดือน เพื่อออมเงินให้มากกว่าปกติ เก็บเงินได้เท่าราคาของแล้วจึงค่อยกลับสู่การดำเนินชีวิตปกติ

15.ฝากเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการเกษียณอายุสัปดาห์ละครั้ง ในต่างประเทศนิยมมาก มีการทำบัญชีฝากสะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียว สำหรับไทยมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งนายจ้างจ่ายสมทบให้

16.ให้นำเงินเดือนส่วนเพิ่มไปฝาก ถ้ารับเงินเป็นรายสัปดาห์หรือราย 2 สัปดาห์ อาจเป็นได้ว่าบางเดือนคุณจะได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ เช่น ถ้าได้รับเงินเป็นรายสัปดาห์ จะมี 4 เดือนที่ได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ หรือถ้าได้รับเงินเป็นราย 2 สัปดาห์ จะมี 3 เดือนที่คุณได้เงินเดือน 3 ครั้ง ครั้งที่เกินมาให้นำไปเข้าบัญชีเงินออม (ทันที)

17.เก็บเงินเบิกรายการต่างๆ ส่วนที่เกินจากรายจ่ายจริงเข้าบัญชีเงินออม ค่าเดินทางหรือรายจ่ายอื่นที่เบิกบริษัทได้ ควรเก็บส่วนเกินจากรายจ่ายจริงไว้ หรือคุณอาจได้ค่าล่วงเวลา ควรเก็บเงินส่วนนี้มาออมเช่นกัน เช่น ได้ค่าล่วงเวลาเดือนละ 2,000 บาท ถึงสิ้นปีจะมีเงินก้อน 2.4 หมื่นบาท สามารถนำมาใช้จ่ายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปถอนเงินออมหลัก

18.ยืมมาออม บางคนประสบความสำเร็จในการกู้เงินธนาคาร แล้วนำกลับไปฝากในบัญชีเงินออมของตนเองอีกทีหนึ่ง วิธีนี้ใช้ได้ผลกับคนที่กำลังมีค่าหักลดหย่อน (เช่น กู้ซื้อบ้าน) และใช้ได้กับช่วงเวลาที่ดอกฝากมากกว่าดอกกู้ (หลังภาษี) เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง

19.นำเงินปันผลและดอกเบี้ยไปต่อเงินโดยอัตโนมัติ เมื่อลงทุนหรือฝากเงินในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด จัดการให้เงินปันผลหรือดอกเบี้ยสามารถนำฝากหรือลงทุนต่อได้อัตโนมัติ ในระยะยาวจะเห็นผลน่าพอใจ

20.ทิ้งเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวันให้น้อยที่สุด มีคนจำนวนมากทิ้งเงินไว้ในกระแสรายวัน (เพราะปลอดดอกเบี้ย) แต่หารู้ไม่ว่ากำลังพลาดโอกาสในการทำเงิน ที่ควรก็คือมีเงินในกระแสรายวันให้พอกับรายจ่ายรายเดือน หากเงินเหลือให้โอนไปยังบัญชีเงินฝากที่มีดอกเบี้ยหรือโอนไปลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินที่มีดอกเบี้ยดีสุดในเวลานั้น

21.ใช้ประโยชน์จาก Float ความหมายของ Float คือระยะช่วงที่ผู้ถือเช็คได้รับเช็คไปจนกระทั่งถึงตอนที่ได้รับเงินสั่งจ่ายตามเช็ค กล่าวคือช่วงที่ยังไม่ได้ถูกตัดบัญชีก็ควรแช่เงินไว้ในบัญชีเงินฝากให้นานเท่าที่จะนานได้ ก่อนจะโอนไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเพื่อตัดจ่ายเช็ค

22.จ่ายหนี้ให้หมด คุณอยากได้ผลตอบแทน 17-21% หรือเปล่า? อย่ามีหนี้บัตรเครดิตสิ เคลียร์หนี้บัตรให้หมด รู้มั้ยว่าถ้ายอดหนี้อยู่ที่ 2.4 หมื่นบาท ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งปีอยู่ที่ 4,000-5,200 บาท รีบเคลียร์หนี้ให้หมด ผลตอบแทนที่คุณจะได้คือไม่ต้องเสียดอกเบี้ยก้อนนี้ การปลอดหนี้บัตรจึงเป็นวิธีออมเงินก้อนใหญ่ แต่ถ้าจำเป็นต้องมีหนี้ (จริงๆ) หาบัตรที่ดอกถูกสุดมาใช้ คิดและลงมือทำ! มัทยา กล่าวว่า ปัจจุบันมีเครื่องมือและผลิตภัณฑ์การเงินมากมายที่จะช่วยนักออม แต่อย่าลืมว่า “เวลา” คือสิ่งที่คุณจะต้องใช้ด้วยสำหรับการออมให้ได้เงินก้อนใหญ่ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น เริ่มต้นด้วยการวางแผนคร่าวๆ ถึงวิธีและขั้นตอนปฏิบัติ บันทึกรายการสิ่งที่ต้องทำ จากนั้นให้ลงมือทันที “การออมเงินขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละคน แต่ต่อให้รายได้น้อยขนาดไหน หากมีจุดเริ่มแล้วจะไปต่อได้แน่ จะมากจะน้อยแต่ก็คือโอกาสที่จะทำให้เจ้าของลุกขึ้นก้าวต่อได้เสมอ คนที่มีเงินออมเยอะอยู่แล้ว ต้องหาความรู้เพื่อบริหารเงินให้คุ้มค่า ส่วนคนมีน้อยอาจต้องประยุกต์นิดหน่อย เช่น ไม่ต้องฝากแบงก์แต่เก็บใส่กระปุกก็ได้ อย่าลืมว่าเงินก้อนนี้มันจะช่วยเราได้จริงๆ” มัทยา กล่าว ส่วนที่ว่าทำไมบางคนถึงไปไม่ถึงจุดหมาย ขณะที่บางคนทำได้สำเร็จ? ตอบไม่ยากเลย จำไว้ว่าความคิดและความเชื่อจะกลายเป็นจริงต่อเมื่อคุณคิดและลงมือทำ!
ี่ที่มา sanook.com

วิธีการเก็บเงินออมให้มากขึ้น 22 เคล็ด(ไม่)ลับ[ตอนที่1]

วิธีการเก็บเงินออมให้มากขึ้น 22 เคล็ด(ไม่)ลับ[ตอนที่1]
เรื่อง วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ท่ามกลางสถานการณ์เงินฝืดดังเอี๊ยด การออมก็ยิ่งยาก โดยเฉพาะกับลูกจ้างกินเงินเดือนประจำ เพียงแค่ให้ผ่านพ้นไปได้แต่ละเดือนก็ยากแล้ว


ส่วนใหญ่ยังมีภาระหนี้ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และหนี้บัตรเครดิตอีกไม่น้อย อย่างไรก็ตาม หากคิดจะออมเสียแล้ว แม้เงินจะฝืดอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก ต่อไปนี้เป็นแนวคิดและวิถีการออมโลกตะวันตก ลองอ่านดูจะเห็นว่าหลายๆ วิธีก็ใช้ได้กับโลกตะวันออกเหมือนกัน ปฏิบัติการเรื่องเงินๆ ทองๆ อะไรกัน!!! นี่คุณไม่มีเงินเก็บสักบาทเลยรึ!!!! ในภาวะเศรษฐกิจปกติก็ออมไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว แต่ “มัทยา ดีจริงจริง” เจ้าของหนังสือขายดี “ออมน้อยก็รวยได้” จากหนังสือ Saving On A Shoestring ของ Barbara O’Neill, CFP สำนักพิมพ์ซีเอ็ดยูเคชั่น มีเคล็ดลับสำหรับคนอยากออมว่า การเก็บเงินไม่ต่างอะไรกับโปรแกรมลดความอ้วน มันยากตอนเริ่มต้น และยากขึ้นไปอีกเมื่อต้องจูงใจตัวเองให้ทำต่อเนื่อง การออมถือเป็นเรื่องที่ต้องอดทนและมีวินัยอย่างมาก แต่หากคุณทำได้ ผลที่ได้รับนั้นแสนคุ้มค่า สำคัญอยู่ที่การจัดลำดับความสำคัญและทัศนคติ แค่คุณอยากจะหยุดเรื่องแย่ๆ (ไม่มีเงินเก็บสักบาท) ให้ได้นี่ก็ดีแล้ว การเริ่มต้นที่ดีคือการเลือกวิธีออมสักวิธี (หรือหลายวิธี) ที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง ลองพิจารณาดู 22 เคล็ดลับของนักออมที่เขาออมกันได้ผลมาแล้ว 22 เคล็ดลับของนักออมทั่วโลก

1.จ่ายให้ตัวเองก่อนอันดับแรก กันส่วนหนึ่งของเงินเดือนที่ได้รับ จะมากจะน้อยให้นำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารทุกๆ เดือน แล้วอย่าไปยุ่งกับบัญชีนั้นเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องถอนเงินส่วนนี้ ให้ถือว่ากำลังกู้เงิน เวลาคืนต้องคืนทั้งต้นทั้งดอก

2.เก็บเหรียญทั้งหลายลงกระปุก เปิดอีกบัญชีสำหรับเงินหยอดกระปุก อย่าดูถูกการสะสมเงินเล็กเงินน้อย จากก้อนเล็กๆ เติบโตกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคต

3.เก็บเงินคืนที่ได้รับจากเรื่องต่างๆ เข้าบัญชีธนาคาร เงินรับที่เป็นเบี้ยหัวแตก เช่น เงินคืนตามโปรโมชันการซื้อสินค้า เงินคืนเบี้ยประกัน รายได้เบี้ยใบ้รายทางต่างๆ ให้รวมเป็นบัญชีเดียว แล้วทำบัญชีไว้ คุณจะได้รู้ว่า ณ สิ้นปีรายรับที่ได้จากเงินคืนพวกนี้มันมากขนาดไหน รายรับพวกนี้เป็นรายรับไม่ต้องเสียภาษี น่าเสียดายที่จะใช้ทิ้งๆ ขว้างๆ

4.จ่ายเงินค่างวดผ่อนต่างๆ เข้าบัญชีตัวเอง (แม้เมื่อผ่อนค่างวดนั้นหมดแล้ว) คุณกำลังผ่อนค่างวดรถ (หรือจอแบน) อยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ ขอให้คุณผ่อนต่อไปด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม แต่จ่ายเข้าบัญชีเงินออมของคุณเอง วิธีนี้คุณไม่เดือดร้อนเพราะคุณเคยชินกับภาระผ่อนนั้นๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขว่าคุณไม่มีภาระผ่อนอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีก

5.หยุดนิสัยฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย รายจ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ตัดทิ้งให้หมด ทำรายการขึ้นมาว่าต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง หลายคนแปลกใจว่ายิ่งคิดยิ่งตัดได้เรื่อยๆ

6.เพิ่มผลตอบแทนการลงทุน ไม่ควรยอมรับผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำ เงินออมที่มีอยู่ควรไปสร้างเงินต่อด้วยการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลในการรับความเสี่ยงด้วย

7.เป็นสมาชิกสหกรณ์ เป็นวิธีง่ายสุดของการออมเงิน พร้อมทั้งเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอีกต่างหาก

8.ซื้อพันธบัตรรัฐบาล สำหรับประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการออกพันธบัตรประเภทต่างๆ ให้ผู้สนใจ ถ้าสนใจเข้าไปดูที่ www.bot.or.th การจำหน่ายพันธบัตรให้กับประชาชน สิ่งที่ต้องดูคือประเภทพันธบัตร อัตราดอกเบี้ย และวันจ่ายดอกเบี้ย

9.ใช้ประโยชน์จากการโอนเงินบัญชีธนาคาร เมื่อเงินเดือนถูกนำฝากเข้าในบัญชีของคุณแล้ว คุณควรให้มันอยู่ในบัญชีธนาคารให้นานที่สุด (ฮา)

10.เข้าร่วมแผนออมเงินของบริษัท แผนการออมของบริษัทเป็นแผนออมเงินแบบปลอดภาษี และนายจ้างช่วยจ่ายสมทบ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับลูกจ้าง
ที่มา sanook.com

หนทางสู่ความสำเร็จ ถอดรหัสกลไกการทำเงิน

หนทางสู่ความสำเร็จ ถอดรหัสกลไกการทำเงิน PICTO แกะรอยโมเดลธุรกิจ ต่อยอดกำไรไม่รู้จบ แกะรอยหนทางสู่ความสำเร็จ ถอดรหัสกลไกการทำเงินของบริษัทชั้นนำของโลก ด้วย "แผนภาพ PICTO"

เครื่องมือทรงอานุภาพที่จะช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นโครงสร้างของธุรกิจได้อย่างถึงแก่น เข้าใจหนทางทำเงินได้อย่างถ่องแท้ จากรูปแบบโมเดลธุรกิจ เพื่อต่อยอดแผนธุรกิจเดิมหรือคิดหาไอเดียธุรกิจใหม่ ให้กลายเป็นโมเดลธุรกิจที่เก็บเกี่ยวกำไรได้ไม่รู้จบ ผลงานของ "ซาโตรุ อิตาบาชิ" แปลโดย "ประวัติ เพียรเจริญ" จัดพิมพ์โดย "สำนักพิมพ์ ส.ส.ท."


"PICTO แกะรอยโมเดลธุรกิจ ต่อยอดกำไรไม่รู้จบ" เป็นหนังสือที่กล่าวถึงวิธีการมองโมเดลธุรกิจ หรือกลไกในการทำเงินที่สร้างรายได้หรือทำกำไรให้ธุรกิจหรือกิจการ ด้วยแผนภาพ PICTO ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และนำเสนอโมเดลธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก รวมทั้งยังเป็นตัวช่วยในการคิดหาไอเดียใหม่ ๆ หรือต่อยอดไอเดียทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเพิ่มรายได้และกำไรของกิจการ เนื้อหาภายในแบ่งออกเป็น 2 ตอนใหญ่ ๆ ตอนที่ 1 กล่าวถึง กลไกในการทำกำไรหรือที่มาของรายได้ของธุรกิจประเภทต่าง ๆ, ความหมาย วิธีวาด กฎพื้นฐานที่ต้องคำนึงถึง และประโยชน์ของแผนภาพ PICTO รวมถึง โมเดลธุรกิจมาตรฐานทั้ง 8 แบบ ส่วนตอนที่ 2 สอนวิธีคิดหาไอเดียทางธุรกิจเพื่อต่อยอดความคิดอย่างเป็นระบบด้วยวิธีแบบต่าง ๆ และหลักการคิดหาไอเดียทางธุรกิจในการนำไปปฏิบัติจริง, วิธีคิดเชิงไดอะแกรมหรือการปรับเปลี่ยนดัดแปลงโมเดลธุรกิจเดิม, วิธีคิดเชิงอุปมาหรือการเปรียบเทียบโมเดลธุรกิจอื่นกับของตน แล้วนำมาดัดแปลงเพื่อเพิ่มช่องทางหารายได้หรือแก้ไขจุดบอดของธุรกิจ และหลักการคัดกรองไอเดียทางธุรกิจที่เหมาะสม เหมาะสำหรับผู้บริหาร ผู้มีหน้าที่นำเสนอธุรกิจใหม่ ผู้วางแผนธุรกิจ-ผลิตภัณฑ์หรือรับผิดชอบงานขาย รวมถึงผู้ที่สนใจในการทำธุรกิจโดยทั่วไป ซี่งโมเดลธุรกิจที่ท่านคิดได้ อาจปฏิวัติวงการหรือเปิดศักราชใหม่ของการทำธุรกิจเลยทีเดียว.
ที่มา เดลินิวส์

ไขเคล็ดลับความสู่สำเร็จและรำ่ำรวย ด้วย 9 วิธีคิด

“สรกล อดุลยานนท์”
หรือ หนุ่มเมืองจันทร์
ไขเคล็ดลับความสู่สำเร็จและรำ่ำรวย ด้วย 9 วิธีคิด ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีปัจจัยหลายประการ แต่หัวใจหลักอยู่ที่ “วิธีคิด” โดย “สรกล อดุลยานนท์” หรือ หนุ่มเมืองจันทร์ ไขเคล็ดลับจากนักธุรกิจมากประสบการณ์ ผ่านการเจาะลึก 9 วิธีคิดสู่ชัยชนะ


เมื่อไม่นานมานี่ ธนาคารกสิกรไทยได้จัดกิจกรรมบรรยายพิเศษโดย “สรกล อดุลยานนท์” หรือ หนุ่มเมืองจันทร์ เจ้าของคอลัมน์และผู้แต่งหนังสือ “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” ที่ถ่ายทอดหลักคิด มุมมองและประสบการณ์ของนักธุรกิจได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจ

เขาเล่าว่า จากการได้สัมภาษณ์ในเรื่องเคล็ดลับความสำเร็จของนักธุรกิจแต่ละคนมามากมาย สิ่งหนึ่งที่เขาค้นพบคือ“วิธีคิด” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขณะที่ ปัญหาใหญ่ที่สุดของทายาทธุรกิจของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือการทำให้พ่อแม่เชื่อ ซึ่งลูกแต่ละคนมีกลยุทธ์ มีวิธีการ หากมองการขายของ ลูกค้าทั่วไปที่ซื้อของของเราคือลูกค้าของเรา แต่ขณะที่ เราขายความคิด คุณพ่อคุณแม่คือลูกค้าของเรา จะทายใจหรือทำอย่างไรให้เขาเชื่อเราเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับ 9 วิธีคิด ที่จะนำมาสู่ความสำเร็จที่ค้นพบจากการสัมภาษณ์

วิธีที่หนึ่ง คิดแบบละเอียด ยกตัวอย่าง “ดำ น้ำหยด” ซึ่งเป็นเกษตรกรที่จันทบุรี มีความคิดไม่เหมือนกับนักธุรกิจที่เคยสัมภาษณ์มาทั้งหมด เขาบอกว่า นักวิชาการชอบเรียนมากเกินไป เกินธรรมชาติ เมื่อแก้ปัญหาเริ่มต้นจากทฤษฎีที่เรียนมา เขาได้เป็นเกษตรกรตัวอย่าง ปี 2522จากการทำระบบน้ำหยดขายดีจนมีฐานะ สวนที่พาไปสวยมากอยู่ริมเขา เขาเคยเป็นลูกจ้างมาก่อน จนวันหนึ่งเจ้าของบอกขายก็เลยซื้อทำรีสอร์ตที่เกาะช้างชื่อเกาะช้างพาราไดซ์ รีสอร์ต แอนด์ สปา

เขาบอกว่ามีเงินเท่านี้ก็ลงไปก่อน ครั้งแรกลงทุน 21 ล้านบาท จากนั้นพอกำไรจากนี้ลงทุนอีก 21 ล้านบาท แล้วนำกำไรมาลงทุนรีสอร์ต 45 ล้านบาท แบบไม่ได้กู้เงิน ทำอะไรไม่เป็น ทำสวนเป็นก็เริ่มต้นลงระบบสาธารณูปโภค 1 ปี ลงระบบน้ำ ฯลฯ และออกแบบสวนเสร็จก็รื้อต้นไม้ทิ้ง เพราะรู้ว่าไม่มีใครรู้เรื่องต้นไม้มากเท่าเขา และเริ่มเล่าให้ฟังว่า โกสนมี 3 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่สามกินน้ำน้อยที่สุด หลักการทำสวนคือ “น้ำเอาไว้เลี้ยงแขกไม่ใช่เลี้ยงต้นไม้” เพราะน้ำในเกาะช้างหายาก ต้นไม้ที่ปลูกต้องเหมาะกับดินทรายและกินน้ำน้อย และ“สวนต้องมีชีวิต” การปลูกต้นเข็มไว้เพราะผีเสื้อชอบต้นเข็ม

แต่ระบบน้ำเสียที่ทำ ในตอนแรกจ้างนักวิชาการทำ แต่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมมา ก็คิดแบบเกษตรกรด้วยความโมโห คิดว่าน้ำเสียที่มีอยู่ 15,000 ลิตร มีต้นไม้อะไรที่สามารถดูดน้ำได้เยอะ รากยาวๆ ก็พบว่าปาล์มน้ำมันดูดได้วันละ 150 ลิตร ปลูกร้อยต้นก็ได้ 15,000ลิตร น้ำเสียเป็นปุ๋ยที่ดี ต้นปาล์มสวยมากใหญ่มาก บำบัดน้ำเสียได้หมดเกลี้ยง สุดท้ายนักวิชากรกลุ่มนั้นมาขอดูงาน เป็นระบบบำบัดน้ำเสียหมัก ไม่ได้คิดจากทฤษฎี คิดจากรายละเอียดต่างๆ ที่ค้นพบมา

“ดำ น้ำหยด” เป็นตัวอย่างที่ดีมากในการมองปัญหาอย่างละเอียด เริ่มต้นจากธรรมชาติ ที่บอกว่านักวิชาการเรียนเกินคือเรียนเกินธรรมชาติ เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่เราที่เริ่มต้นเรียนจากธรรมชาติ เรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ คิดอย่างละเอียดเป็นเคล็ดลับความสำเร็จข้อหนึ่ง

วิธีที่สอง ใช้เท้าคิด มาจาก “ขรรค์ชัย บุญปาน” ซึ่งตอบคำถามนักข่าวว่าผ่านวิกฤตปี 2540 มาได้ เพราะใช้เท้าทำ คือเพียงแค่เดินมากหน่อยเพื่อไปเยี่ยมแผนกต่างๆ ในบริษัท อย่างกองบรรณาธิการ ฝ่ายผลิต ฯลฯ ช่วยกระตุ้นส่วนต่างๆ ให้ทำงานให้ดีขึ้น “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ที่เคยอยู่ดีแทค แต่ตอนนี้อยู่แมคยีนส์ เอาคำนี้มาใช้ เพราะดีแทคมีเงินทุนไม่มากเท่าเอไอเอส เขาใช้วิธีส่งทีมวิจัยลงเดินทำให้พบว่าลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์แบบเติมเงิน จริงๆ ไม่ใช่เด็กสยาม แต่เป็นชาวบ้านทั่วไป นั่นคือที่มาของการพลิกแบรนด์ครั้งใหญ่ ด้วยวิธีการแบบบ้านๆ ตอนนั้นมีคนถามว่าบุคลิกของดีแทคคืออะไร นึกเท่าไรก็ไม่ออก ไปอ่านหนังสือแพรวเจอรูป “จิระ มะลิกุล” คนที่ทำหนังแฟนฉัน นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัดผมด้วยท่าทางสบายๆ ก็เลยได้คำตอบว่านี่คือลักษณะของแบรนด์ “แฮปปี้” คือสบายๆ ทำให้พลิกแบรนด์ของแฮปปี้มาเป็นแบบบ้านๆ เพราะฉะนั้น พรีเซ็นเตอร์จะราคาถูกมาก

อีกตัวอย่างของดีแทค ครั้งหนึ่งส่งทีมวิจัยไปฝังตัวกับนักศึกษาเชียงใหม่ไปดูพฤติกรรม แล้วก็ค้นพบเรื่องหนึ่งว่า ช่วงครึ่งเดือนหลังที่ใช้โทรศัพท์น้อย นักศึกษาจะเปลี่ยนเมนูใหม่เป็นมาม่า เมื่อพนักงานดีแทคเข้าไปถามว่าจะให้ช่วยอะไร ก็ได้คำตอบว่าก็ให้ยืมสิ นั่นคือที่มาของแคมเปญ “ใจดีให้ยืม” หลายคนคิดว่าคุณธนาเป็นนักการตลาด แต่จริงๆ เป็นนักการเงินมาก่อน งานอดิเรกคือการดูตัวเลข เมื่อได้ข้อมูลคำนวณแล้วก็พบว่าต้นทุนไม่มาก และตอนแรกคิดจะจับกลุ่มนักศึกษาแค่แสนคน แต่คนใช้แคมเปญนี้ล้านกว่าคน สำเร็จมาก เพราะลูกค้าบอกว่าให้ยืมก็ยืม

อีกเรื่องคือแก้วน้ำแฮปปี้ เพราะตอนทำแบรนด์แฮปปี้ใหม่ๆ อยากให้สัญลักษณ์ที่เป็นรอยยิ้มกระจายไปทั่ว ไปที่ไหนก็เจอ วันหนึ่งไปซื้อน้ำเห็นแก้วพิมพ์ลาย ก็เกิดความคิดอยากพิมพ์โลโก้แฮปปี้ ไปข้างเอเจนซี่คิดค่าผลิต ค่ากระจาย กำไร และอื่นๆ รวม 1 ล้านใบ 4 ล้านบาท คือใบละ 4 บาท แต่วันหนึ่งไปเจอแก้วน้ำที่พิมพ์ลายองุ่นก็เกิดความคิดว่าไปคุยกับโรงงานให้พิมพ์ลายแฮปปี้ ทีมงานแฮปปี้มีข้อดีคือ“ลองดูสิ” ไม่ปฎิเสธอะไรใหม่ๆ ก็ไปคุยกับโรงงาน เถ้าแก่ก็คำนวณออกมา 4 หมื่นบาท แต่สัญชาตญาณของเซลส์คือต้องต่อราคาให้มากที่สุด สุดท้ายได้ 1 ล้านใบ 2 หมื่นบาท เถ้าแก่คงคิดว่าอยู่ดีๆ มีหมูมาชนปังตอ เพราะต้องเสียค่าพิมพ์ลายอยู่แล้ว มีคนมาจ่ายให้และได้กำไรอีก ส่วนแฮปปี้ก็ดีใจสุดๆ เพราะประหยัดไปได้ 3 ล้าน 9 แสน 8 หมื่นบาท จากการเดินและทัศนคติแบบลองดูสิ

วิธีที่สาม คิดจากปัญหา เมื่อเกิดปัญหาทุกคนจะกลัว และคิดว่าแย่มากเลย สำหรับ “อนันต์ อัศวโภคิน” ในตอนที่ทำคอนเซ็ปต์ใหม่เรื่อง “บ้านสบาย” ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มาจากปี 2540 ซึ่งบริษัทเป็นหนี้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท พอมีปัญหาบริษัทต่างๆ จะไล่คนออก แต่เมื่อคิดแล้วก็พบว่าต้นทุนธุรกิจขายบ้าน พนักงานเป็นต้นทุนที่น้อยมาก แค่ 10% ไล่คนออกครึ่งหนึ่งก็ลดได้แค่ 5% และเมื่อวิกฤตฟื้นก็หาคนยาก

ระหว่างนั้น จึงให้ลูกน้องแต่ละคนทำวิจัยคนซื้อบ้านแลนด์แอนด์เฮ้าส์ไปดูว่าปัญหามีอะไรบ้าง ก็พบว่าทุกคนที่ซื้อบ้านต้องต่อเติม ครัว ห้องน้ำ ถังขยะ ฯลฯ ก็นำปัญหาทั้งหมดมาคิดใหม่ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากปัญหา ออกมาเป็น “บ้านสบาย” คนซื้อหิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้เลย และบ้านสบายก็คือ “การกำหนดราคา” คือคนที่กำหนดราคาคือลูกค้า ไม่ใช่เจ้าของ เขาสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย เป็นการสร้างเกมใหม่ให้คนอื่นเดินตาม เพราะปี 2540 คนเจอปัญหาสร้างบ้านแล้วไม่ได้บ้าน และก็รู้ว่าถ้าสู้ไปเป็นเกมเดิมคือขายกระดาษ ใครๆ ก็ทำได้ เป็นธุรกิจที่เข้ามาได้ง่าย แต่การสร้างเกมใหม่คือ “บ้านเสร็จก่อนขาย” ผู้ชนะคือผู้กำหนดเกม ซึ่งไม่ใช่ต้องใช้เงินมาก แต่ฐานข้อมูลด้านการขายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัญหาบ้านสร้างเสร็จก่อนขายคือปัญหาสต๊อก แต่เมื่อใช้วิธีสร้างบ้านเมื่อคนมาดูไซต์งาน คนถามราคา ก็บอกว่ายังไม่กำหนดราคา แต่ราคาประมาณ 3.5 ล้าน ลูกค้าไม่จอง เซลส์รู้แล้ว 3.5 ล้านขายไม่ได้ อีกคนมา 3.8 ล้านบาท ขายไม่ได้ รู้แล้ว3.6-3.7 ล้าน เพราะคนซื้อมากำหนดราคา

แคมเปญ“ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊ง” เป็นแคมเปญของชาเขียวโออิชิที่สำเร็จที่สุดโดยใช้เงินไม่มาก สำหรับของรางวัลคือการไปทัวร์ญี่ปุ่น ใครๆ ก็คิดได้ เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่คุณตันพบว่าคนที่ได้รางวัลไม่ใช่คนที่เคยไป พ่อค้าแม่ค้าที่ได้ก็ดีใจที่ได้ แต่เมื่อบริษัทติดต่อไปต้องเสียภาษี ต้องทำพาสปอร์ต ทำวีซ่า การเที่ยวที่แปลกๆ กับคนแปลกหน้าไม่สนุก คุณตันเอาปัญหาทั้งหมดมาแก้ไข ให้คนที่ได้รางวัลชวนคนรู้จักไปได้อีก 3 คน และมีเงินให้ไปช้อปปิ้ง กลายเป็นแคมเปญธรรมดาที่อุดทุกปัญหา แล้วสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา ฝาขวดโออิชิที่ส่งเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ครั้งทำแคมเปญ

วิธีที่สี่ คิดแบบไร้กรอบ เมื่อ “โชค บูลกุล” เข้ามารับธุรกิจปี 2540 วิกฤตเศรษฐกิจ มีนมสดกับฟาร์มโชคชัย คนบอกว่าน่าจะขายฟาร์มโชคชัยทิ้ง เพราะนมสดเป็นธุรกิจทำเงิน แต่ในช่วงวิกฤตของที่จะขายนั้น ขายไม่ได้ ของที่ขายง่ายคือของดี ช่วงที่เป็นหนี้มากๆ เวลามีราคาสูงมาก ดอกเบี้ยไม่สนใจวันหยุด ยิ่งขายไม่ได้ยิ่งเครียด เพราะแก้ปัญหาไม่ได้ สำหรับโชค ตัดสินใจขายธุรกิจนมสดได้เงินมาก้อนหนึ่ง ด้วยวิธีคิดคือ “ธุรกิจอะไรก็ตามที่ทำงานเบาๆ ทำงานน้อยกำไรมาก ธุรกิจนั้นคู่แข่งมาก ธุรกิจอะไรก็ตามที่ทำงานหนัก กำไรน้อยแข่งขันน้อย” ฟาร์มโชคชัยคืออันที่สอง เพราะไม่อยากแข่งกับใครมาก เขาเริ่มต้นทำสิ่งนั้น

เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ธุรกิจที่ลูกรับมาจากพ่อแม่ ต้องเข้าใจว่าลูกก็เป็นลูก สำหรับธุรกิจของครอบครัวบูลกุล แม่เป็นคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และเพราะแม่เป็นนักการเงิน โชคบอกว่าเวลาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ข้อแรกคือเงินต้องไม่มีปัญหา และต้องทำให้แม่ยอมรับให้ได้ว่าทำได้ เพราะฉะนั้น โชคเข้ามาครั้งแรกโดยไม่ใช้เงินกู้เลย เมื่อคุณแม่พอใจเสนออะไรได้มากขึ้นเพราะก้าวแรกไม่พลาด ขณะที่โมเดลธุรกิจเกษตรคือ อาหารสัตว์ เลี้ยงไก่ ไก่สด ไก่ย่าง นี่คือโมเดลของซีพี แต่โชค คิดมุมใหม่คือจากธุรกิจเกษตรไปสู่ธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งการเป็นซีอีโอแบรนดิ้งมีข้อดีคือซีอีโอสามารถดึงดูด ข่าวมากมายที่เห็น แต่ใช้เงินประชาสัมพันธ์แค่ปีละสองสามล้าน

สิ่งที่เขาคิดคือ คนกรุงเทพฯ หิวธรรมชาติมาก ฟาร์มโชคชัยมีแบรนดิ้งอยู่ในใจคนมายาวนานมาก เป็นคาวบอย เป็นป่า ฟาร์มที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด และมีชื่อเสียง เขาพลิกกลยุทธ์มาสู่การท่องเที่ยวและเอาประสบการณ์มาใช้ แต่ดีไซน์ละเอียดมาก ดูพฤติกรรมของคนเดิน คนกรุงชอบเที่ยวแบบสบายๆ ร้อนแล้วต้องรีบเข้าห้องแอร์สลับกันไป และพลิกสู่บูติกรีสอร์ต และที่สำคัญทำให้พนักงานมีกำลังใจมากเกิดความภูมิใจ จากคนรีดนมวัวไม่มีใครเห็นกลายเป็นนักแสดงทุกคนต้องดู เมื่อชื่อเสียงมากคนอยากทำงานด้วยมาก ได้แรงงานฝีมือดีราคาถูกเยอะมาก นั่นคือการเป็นแม่เหล็กดึงทุกอย่าง ขณะที่ วัวของจริงและวัวจินตนาการไม่เหมือนกัน วัวจริงๆ สกปรกมาก แต่ต้องให้วัวที่มาโชว์สะอาดเพื่อตรงกับจินตนาการคนเที่ยว การคิดแบบไร้กรอบคือต้องถามตัวเองบ่อยๆ ว่า ทำไมต้องคิดแบบเดิมๆ

วิธีที่ห้า คิดแง่บวก เมื่อ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ทรูมูฟเป็นหนี้ 9 หมื่นล้าน ช่วงลอยตัวค่าเงินบาทปี 2540 มี 2 วิธีคิดคือ คนทั่วไปคิดขายบริษัท แต่อีกวิธีคือไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว บุกไปข้างหน้าดีกว่า “ทรูมูฟ”พลิกเกมรุกสู้ เป็นหนี้ 9 หมื่นล้าน ใช้อีก 900 ล้านก็แค่ 1% ทำให้ทรูมูฟพลิกขึ้นมาได้

วิธีที่หก คิดเพื่อปฏิเสธ “สตีฟ จ๊อบส์” ตอนที่กลับไปแอ๊ปเปิ้ลอีกครั้งมีสินค้าเยอะมาก เขาใช้วิธีคิดแบบตัดทิ้งมาตลอด ด้วยการใช้คำแค่ 4 คำคือ พกพาตั้งโต๊ะ และดูว่าสินค้าอยู่ตรงไหน เขาเคยพรีเซ้นต์สินค้าด้วยการเอามาวางที่โต๊ะเล็กๆ จากที่มีอยู่ 200 ชิ้น เขาตัดทิ้งเหลือแค่ 20 ชิ้นเท่านั้น เพราะหัวใจสำคัญของความสำเร็จคือคำว่า “ไม่” กล้าปฎิเสธสิ่งที่เสนอมาและเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ไอพอดเป็น mp3 เครื่องแรกของโลกด้วยคิดเริ่มต้นจากคำๆ เดียวคือ 1 พันเพลง คือการโฟกัสอยู่แค่นี้ อย่างอื่นไม่เอา

วิธีที่เจ็ด คิดหาโอกาส “โมริตะ” ผู้ก่อตั้งโซนี่บอกว่า คนเราชอบพูดว่าใครๆ ก็ทำแล้ว เขาบอกว่าธุรกิจเหมือนวงกลม แต่มันมีช่องว่างในรูนั้น เมื่อเราทำมันจะใหญ่ขึ้นมาทันที “อดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์” ทำให้บิวติดริ้งเกิดขึ้นมา เครื่องดื่มสุขภาพที่ขยายตลาดไม่ใช่แค่ในเมืองไทยแต่ยังไปอยู่ในต่างประเทศ จากการมองเห็นโอกาส เช่นเดียวกับ “สุริวิภา กุลตังวัฒนา” ทำสินค้าเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงหลายๆ คนที่มีรูปร่างท้วมให้สวยได้เหมือนกัน เพราะเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ใส่ในหุ้นโชว์ทุกครั้งจะรู้สึกว่าอยู่ในหุ่นมันสวย แต่ทำไมอยู่ที่ตัวเรามันไม่เป็นอย่างนั้น นี่คือการคิดหาโอกาส

วิธีที่แปด คิดแบบไม่ยอมแพ้ มีกรณีศึกษาเรื่องหนึ่งสำหรับสินค้าที่เคยเป็นเจ้าตลาด มีส่วนแบ่งการตลาด 80% แต่ภายในเวลา 3 ปี เบียร์ช้างเอาชนะเบียร์สิงห์ ได้ แต่ตอนนี้เบียร์สิงห์กลับมาชนะแล้ว หลังปี 2540 ไม่นาน “สันติ ภิรมย์ภักดี” เคยให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่แพ้มี 4 ข้อคือ 1.กลยุทธ์เหล้าพ่วงเบียร์ ธุรกิจเหล้าไม่เหมือนธุรกิจเบียร์ ที่คิดว่าเปิดก๊อกน้ำที่จริงมันเป็นเขื่อน เป็นการถล่มอย่างยาวนานไม่หยุด 2.กลยุทธ์ 3 ขวด 100 บาท ทำให้คนอยากกินเบียร์ราคาถูก 3.การเยี่ยมเอเย่นต์น้อยเกินไป ทำให้ห่างเหิน และ4.แอ๊ด คาราบาว ทำให้เบียร์ช้างกลายเป็นเบียร์คนไทย เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชื่อแบรนด์ติดตลาด

เขาพูดคำหนึ่งว่า “ผมยอมรับว่าแพ้ แต่ผมไม่ยอมแพ้” หมายความว่า เราแพ้ได้ แต่เราไม่ยอมแพ้คือ “ใจ” เราไม่ยอมแพ้ การยอมรับว่าแพ้ให้เชื่อไว้เลยว่าเราไม่มีทางกระโดดขึ้นจากอากาศได้ เหมือนเราตกเหวอยู่ การยอมรับการพ่ายแพ้คือยอมรับการอยู่ก้นเหวให้เท้าติดดิน เพื่อที่เราจะกระโดดขึ้นใหม่ได้ แต่การยอมแพ้ เราจะอยู่ในอากาศตลอดเวลาและกระโดดไม่ได้

วิธีที่เก้า คิดแล้วลงมือทำ “โธมัส เอดิสัน” พูดว่า คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า เราตื่นขึ้นมาแล้วเราจะเป็นคนรวย เขาคิดถูกแค่ครึ่งเดียวคือ ตื่นขึ้นมา เพราะหัวใจสำคัญคือความสำเร็จต้องมีส่วนผสมอยู่ 2 อย่างคือ 1.ความคิด และ2.การลงมือทำ ถ้าคิดเฉยๆ ไม่ลงมือทำ ไม่มีทางสำเร็จได้

“โคลัมบัส” หลายคนคิดว่าการพบทวีปอเมริกาเป็นเรื่องบังเอิญ แค่ล่องเรือไปพบทวีปใหม่เท่านั้น ใครๆ ก็ทำได้ วันหนึ่งในงานเลี้ยงกษัตริย์สเปน มีเสนาบดีพูดเรื่องนี้อีก เขาก็หยิบไข่ต้มขึ้นมาหนึ่งใบ แล้วบอกให้ตั้งไม่ให้ล้ม ไม่มีใครตั้งได้ เขาหยิบไข่ขึ้นมาทุบที่ปลายทำให้ไข่ตั้งได้ พวกนั้นบอกว่า“ใครๆ ก็ทำได้” เขาบอกว่า“แล้วทำไมไม่ทำ” หัวใจสำคัญของทุกเรื่องคือเวลาเราทำสิ่งนั้นสำเร็จ แต่หัวใจสำคัญของความสำเร็จของโคลัมบัสคือการตื่นขึ้นมาล่องเรือออกจากแผ่นดิน แล้วคิดว่ามีแผ่นดินใหม่อยู่ข้างหน้า นั่นคือความยิ่งใหญ่ของหัวใจของโคลัมบัส คือความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง การลงมือทำเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ข้อมูลโดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 360 องศา

ธนาคารออมสินมั่นใจปล่อย“ซอฟท์โลน”

ธนาคารออมสินมั่นใจปล่อย“ซอฟท์โลน” “ออมสิน” มั่นใจขานรับนโยบายรัฐ เผยปล่อย “ซอฟท์โลน” แทน ธปท.เท่านั้น นอกนั้นอยู่ในกรอบแบงก์รัฐเป๊ะ


เมื่อวันที่ 8 ก.ย. นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า นโยบายของกระทรวงการคลังที่ออกมานั้น โดยภาพรวมแล้วออมสินไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เนื่องจากธนาคารเข้าสู่ระบบบัญชีมาตรฐานสากลใหม่ไอเอเอส 39 ในปี 54 ตามแผนงานอยู่แล้ว และก่อนหน้านี้ ได้จัดชั้นหนี้สงสัยจะสูญ พร้อมทั้งกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญ (เอ็นพีแอล) ตามที่ ธปท.ให้ความเห็นไว้ ถึง 30,000 ล้านบาท ขณะที่มีเอ็นพีแอลเพียง 15,000 ล้านบาท จากยอดสินเชื่อรวมทั้งพอร์ตที่ 1.25 ล้านล้านบาท หรือ มีเอ็นพีแอลเพียง 1.13% เท่านั้น เท่ากับสำรองไว้ถึง 200% ทีเดียว และมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง 12.5% สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดไว้ 8.5% ดังนั้น ธนาคารที่จะมีปัญหาคงไม่ใช่ออมสินแน่นอน

ส่วนกรณีที่ว่าออมสินหันมาปล่อยสินเชื่อรายใหญ่มากขึ้นนั้น ยังยืนยันว่า อยู่ในกรอบของธนาคารรัฐ โดยสินเชื่อรวมทั้งหมดนั้น เป็นการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ 8% ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีเพียง 80,000 ล้านบาท ขณะที่ปล่อยสินเชื่อรายย่อยถึง 92% และสภาพคล่องที่มีนั้น ใช้นำไปปล่อยสินเชื่อ 80% ส่วนอีก 20% ปล่อยเงินลงทุน อีกทั้ง การที่จะดำเนินการใด ๆ ได้ส่งแผนงานให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติก่อนทุกครั้ง จึงถือว่าทุกนโยบายที่ทำนั้น อยู่ในกรอบแน่นอน

“อย่างไรก็ตาม เมื่อมาดูว่าออมสินทำอะไรในเชิงพาณิชย์ก็พบว่า นั่นคือสิ่งที่เราทำแทน ธปท. กรณีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ให้แก่ผู้ประกอบการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งขณะนี้มีตั๋วเงินดังกล่าวอยู่ 25,000 ล้านบาท แต่เป็นยอดคงค้างเพียง 17,000 ล้านบาท”

นายเลอศักดิ์ กล่าวว่า สิ่งเดียวที่กังวลในการปฏิบัติตามบัญชีมาตรฐานสากล คือ ค่าใช้จ่ายพนักงานบำนาญ เพราะออมสินเป็น 1 ใน 3 ของรัฐวิสาหกิจที่มีระบบบำนาญอยู่ ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมด 12,500 ราย มีพนักงานบำนาญ 7,000 ราย มีค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวม 45,000 ล้านบาท ที่ออมสินได้นำเอาเงินส่วนนี้มาหักเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ 5,400 ล้านบาท

“เราไม่เคยขอเพิ่มทุน เราไม่เคยขอเงินอุดหนุนโครงการรัฐในเชิงสังคม (พีเอสเอ) แม้ว่าเราจะดำเนินนโยบายตามที่รัฐบาลมอบหมายให้มาก็ตาม ดังนั้น เชื่อว่าเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะให้เราทำเหมือนแบงก์พาณิชย์นั้น คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”.
ที่มาเดลินิวส์

วิธีรวยแสนล้านของ ธนินท์ เจ้าสัวซีพี

วิธีรวยแสนล้านของ ธนินท์ เจ้าสัวซีพี วารสารข่าวของ ซีพีกรุ๊ฟ CP E-News ฉบับ 5ก.ย.2554


ได้เขียนถึงเคล็ดลับความสำเร็จของ" ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ไว้ว่า...

จากการเปิดเผยรายชื่อ 40 อันดับ มหาเศรษฐีของไทย (Thailand's top 40 Richest 2011) ประจำปี 2554 ของฟอร์บส์ (Forbes) นิตยสารชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ปรากฏว่า "ธนินท์ เจียรวนนท์" ครองตำแหน่งอันดับ 1 ด้วยสินทรัพย์ 7,400 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 222,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 400 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้นับว่าเป็นการครองแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่สองติดต่อกันจากเมื่อปี 2553

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำทางธุรกิจของ"ธนินท์"เท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่นำพาธุรกิจสู่ความมั่งคั่งรุ่งเรือง

ปัจจุบัน"ธนินท์" มีตำแหน่งเป็น "ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร" เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ที่รู้จักในชื่อ "ซี.พี." ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของไทยที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายในลักษณะที่เรียกว่า Conglomorate มีธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารเป็นธุรกิจหลัก โดยมีการค้าการลงทุนใน 15 ประเทศทั่วโลก และมีบริษัทในเครือประมาณ 200 แห่งทั่วโลก พนักงานราว 280,000 คน ซึ่งความสำเร็จของซี.พี.ทั้งหมด เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์และความสามารถของ ‘ธนินท์ เจียรวนนท์' นั่นเอง

เคล็ดลับการลงทุนสไตล์ ‘ธนินท์'

"ตลาดทั่วโลก วัตถุดิบทั่วโลก คนเก่งทั่วโลก การเงินทั่วโลกล้วนเป็นของซี.พี." นี่คือสิ่งสำคัญที่ ธนินท์ เจียรวนนท์ ตอกย้ำกับผู้บริหารและพนักงานซี.พี.อยู่เสมอ

แสดงให้เห็นชัดเจนถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลซึ่งได้นำพาให้ซี.พี.เติบโตเป็นปึกแผ่น เป็นบริษัทคนไทยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทย

"ผมมองว่าที่ผมทำงานนี่ไม่ได้คิดเลยเรื่องกำไร ไม่ได้คิดว่าทำธุรกิจนี้แล้วจะได้กำไรเท่าไร ผมคิดว่าทำธุรกิจนี้ อันแรกมีโอกาสสำเร็จไหม ถ้ามีแล้วถ้าจะใหญ่นี่ ธุรกิจอันนั้นจะต้องไปเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไปเกี่ยวข้องกับคนส่วนน้อย ธุรกิจอันนี้จะไม่ใหญ่ ถ้าธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับประเทศเดียวธุรกิจก็ไม่ใหญ่ ต้องเกี่ยวข้องกับทั่วโลก สินค้านี้ต้องขายได้ทั่วโลกมันถึงจะมีโอกาสใหญ่ แล้วธุรกิจนี้ต้องลงทุนได้ทั่วโลกธุรกิจนี้ถึงจะมีโอกาสใหญ่ และยิ่งสำคัญกว่าเรื่องอื่นคือธุรกิจที่เราทำเป็นประโยชน์แก่ประชาชนไหม ถ้าไม่ ธุรกิจอันนี้ก็ไม่มีความยิ่งใหญ่" ธนินท์ กล่าว

ทำอะไรอย่าคิดแต่ความสำเร็จอย่างเดียว!

แม้ซี.พี.จะเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจจนเป็นที่ยอมรับทั่วไป ซึ่งสร้างความภูมิใจแก่ทุกคนในองค์กร แต่"ธนินท์" ในฐานะผู้นำไม่เคยกระหยิ่มยิ้มย่อง กลับคิดว่า"เราทำอะไรอย่าไปคิดในทางสำเร็จอย่างเดียว ต้องคิดว่ามีปัญหาอะไรตามมาอีก มีหวานต้องมีขม ได้อย่างต้องเสียอย่าง ถ้างานยิ่งใหญ่ ปัญหายิ่งมีมาก" ทั้งยังกล่าวกับผู้บริหารและพนักงานเป็นประจำว่า"เมื่อได้รับความสำเร็จ ผมดีใจแค่วันเดียว เพราะยิ่งรับงานใหญ่ ภาระของเราก็ยิ่งมากขึ้น"
ด้วยคิดเช่นนี้ ธุรกิจของซี.พี.ภายใต้การบริหารของ ธนินท์ จึงปรับตัวเร็ว และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

เน้นสร้าง"คน"รองรับการเติบโต

กุญแจสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของซี.พี.ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ "คน" ..."ธนินท์"ให้ความสำคัญกับการสร้างคน และมีนโยบายให้ผู้นำกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในเครือซี.พี.เร่งดำเนินการสร้างและพัฒนาคนเก่งเพื่อรองรับการเติบโตบนเวทีการค้าโลก เพราะถ้าไม่มีคนเก่ง ซี.พี.ก็ไม่สามารถชนะในตลาดโลกได้

"ธนินท์" กล่าวว่า การที่จะก้าวสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูงของซี.พี.นั้น จะต้องรู้จักใช้กลยุทธ์ในการสร้างคน โดยหนึ่งในวัฒนธรรมของซี.พี.ที่สำคัญก็คือต้องโปรโมทผู้ใต้บังคับบัญชาโดยเฉพาะการสร้างคนที่เก่งกว่าตัวเองขึ้นมา อย่างเช่นที่ตนเองเคยได้รับโอกาสนั้นจากพี่ชายทั้งสอง คือ จรัญ และ มนตรี เจียรวนนท์

ในการสร้างคนนั้น"ธนินท์" ให้ข้อคิดว่า อย่าไปแบ่งว่าใครเป็นคนของใคร ผู้บริหารที่ดีจะต้องสร้างตัวแทนขึ้นมาให้ได้ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง ต้องรู้จักแสวงหาคนเก่งมาทดแทน ต้องเปิดโอกาสให้คนเก่งได้แสดงความสามารถ

"ผู้บริหารทุกท่าน ต้องสร้างตัวแทน ผมจะยกย่องและนับถือคนที่สามารถสร้างตัวแทนขึ้นมาได้ คนที่รู้จักใช้คนเก่ง คือคนที่เก่งยิ่งกว่า ผมชอบคนเก่ง และอดที่จะเคารพนับถือคนเก่งไม่ได้" ธนินท์ กล่าว

"ธนินท์" กล่าวกับ ผู้บริหารระดับสูงในเครือซี.พี. อยู่เสมอว่า"ถ้าคุณสามารถสร้างคนเก่งได้ คุณคือคนที่เก่งที่สุด"

ในการนี้"ธนินท์" ได้บอกถึงเคล็ดลับ 3 ประการในการสร้างคนเก่ง คือ 1.อำนาจ เพราะคนเก่งต้องมีเวทีมีอำนาจสำหรับใช้ในการแสดงความสามารถ 2.เกียรติ เพราะนอกจากการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่แล้ว คนเก่งต้องการได้รับการยอมรับ และ 3.เงิน ก็คือผลตอบแทนที่จูงใจ

จะเห็นได้ว่า เงิน ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญประการแรกในการสร้างคนตามสไตล์ของ"ธนินท์" ทั้งนี้เพราะ"ธนินท์"คิดว่า สำหรับคนเก่งนั้นเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด อำนาจ และเกียรติต้องมาก่อน ด้วยเหตุนี้ซี.พี.จึงมีบริษัทในเครือฯมากมายถึง 200 กว่าแห่งทั่วโลก เพื่อเป็นเวทีสำหรับคนเก่ง

นอกจากนี้"ธนินท์" ยังกล่าวว่า ผมมองคนอื่นว่าเก่งกว่าผมเสมอ ผมไม่เคยมองใครว่าเก่งสู้ผมไม่ได้ สำหรับคนที่ทำงานกับเรา ผมยึดหลักว่าเราจะต้องเปิดโอกาส ให้โอกาสเขาได้แสดงความสามารถ เมื่อใครแสดงความสามารถออกมา เราจะต้องส่งเสริมสนับสนุนเขาให้มีตำแหน่งสูง ๆ ขึ้นไป เราจะต้องพยายามรักษาเขาให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เราจะต้องสร้างคนที่มีความสามารถให้เกิดขึ้นให้มาก ๆ

ในการประชุมคณะกรรมการบริหารของซี.พี.ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำเดือนละ 1 ครั้ง "ธนินท์" ได้เปิดโอกาสให้พนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ร่วมประชุมด้วย และเรียกกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้ว่า Young Talent ซึ่งพนักงานคนรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมประชุม จะได้รับโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ แก่ซี.พี. ซึ่งมีหลายครั้งที่ ธนินท์ นำข้อเสนอแนะไปใช้ในการดำเนินธุรกิจของซี.พี.

"รักษาคู่แข่ง ไม่เอาเปรียบลูกค้า ดูแลสังคม"

ในโลกแห่งการแข่งขันทางการค้าและการทำธุรกิจ "ธนินท์" มีนโยบายให้รักษาคู่แข่ง และไม่เอาเปรียบลูกค้า "ธนินท์" กล่าวว่า นักธุรกิจที่แท้จริง จะพยายามแข่งขันกันอยู่ในขอบเขต จะไม่แข่งจนตายไปฝ่ายเดียว หรือพังไปข้างหนึ่ง ถ้าเรามีความสามารถ เราก็ไปหาธุรกิจที่อื่น ทำไมต้องมาเจาะจงมาแย่งข้าวชามเดียวกัน สุดท้ายสองคน สามคนไม่อิ่มสักคน แล้วก็ไม่มีประสิทธิภาพ

"สมมติว่าเราสองคนต่อยกัน ต่อยกันจนคนหนึ่งตายไป นึกว่าอีกคนไม่เจ็บหรือ ก็เจ็บ...เพราะฉะนั้นวิธีการของ ซี.พี.คือ การถอนแล้วเราก็ไปหาตลาดใหม่ ผมไม่เคยทำให้คู่แข่งผมล้มละลาย"

"ธนินท์" มักจะกล่าวกับผู้บริหารและพนักงานว่าซี.พี.มีนโยบายรักษาคู่แข่ง เราจะไม่ทำลายคู่แข่ง และยังต้องแบ่งตลาดให้ เพื่อให้คู่แข่งสามารถอยู่รอดในตลาดได้ ทั้งนี้เพราะถ้าเราทำลายคู่แข่งไป ก็อาจมีคู่แข่งใหม่เข้ามาซึ่งอาจจะแข็งแกร่งกว่า

นอกจากนี้ ยังให้มองถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก รวมไปถึงคู่ค้าและ Suppliers ด้วย ต้องให้พวกเขาเหล่านั้นอยู่ได้ ต้องไม่เอาเปรียบลูกค้า และยังต้องดูแลสังคม ทั้งนี้เพราะเราเป็นส่วนหนี่งของสังคม ถ้าสังคมอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้

ขายคุณภาพบวกความซื่อสัตย์

คุณภาพ และความซื่อสัตย์ เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจของซี.พี. ซึ่งยึดถือมาตั้งแต่ทำเจียไต๋ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของธุรกิจเครือซี.พี. (เจียไต๋ คือ ร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผักฯลฯ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2464 เป็นต้นกำเนิดของธุรกิจต่าง ๆ ในเครือซี.พี. ปัจจุบันเจียไต๋เป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์อันดับต้น ๆ ของเอเซีย)

"ธนินท์" เคยเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อผมมีหัวเรื่องเทคโนโลยี ท่านมีพรสวรรค์เรื่อง พันธุ์พืช พ่อผมไปพัฒนาเมล็ดพันธุ์ผักซัวเถาจากโซนร้อน ซึ่งในประเทศโซนร้อนปลูกทุกครั้ง เก็บอีกทีไม่โตแล้ว ซึ่งแปลกมาก คุณพ่อมาเปิดร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่เมืองไทยชื่อร้านเจียไต๋ ซึ่งคุณพ่อได้สร้างพันธุ์ คัดพันธุ์ที่มีผลผลิตสูง รักษาคุณภาพใส่ในซองที่พิมพ์วันที่ เพราะเมล็ดพันธุ์พอถึงเวลาหนึ่งจะไม่งอก คุณพ่อบอกว่าถ้าใครซื้อเมล็ดพันธุ์ถ้าเลยวันที่กำหนดแล้วให้เอามาคืน จึงเป็นมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อแล้วที่ต้องรักษาคุณภาพ

"คุณพ่อท่านบอกว่า ถ้าเราจะทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ถ้าลูกค้าอยู่ไม่ได้เราก็อยู่ไม่ได้ ถ้าลูกค้าร่ำรวย ธุรกิจเจียไต๋ที่คุณพ่อทำ ลูกค้าปลูกเอาไปขาย ไม่ใช่ปลูกเล่นดูสวยงามถ้าลูกค้าปลูกแล้วขายไม่ได้ไม่มีราคา ขาดทุน เที่ยวหน้าเขาก็ไม่มาซื้อ เหมือนเลี้ยงไก่เพื่อต้องการขายไข่ได้กำไร ถ้าเราไม่มีวิธีการไปช่วยเขา ไม่ได้ช่วยเขาควบคุมเรื่องคุณภาพ เขาอยู่ไม่ได้"

ยึดหลัก"3 ประโยชน์"

นักธุรกิจที่จะทำธุรกิจใหญ่ ต้องเข้าใจด้วยว่า เราอยู่ด้วยตัวเราคนเดียวไม่ได้ ถ้าสังคมอยู่ไม่ได้เราจะอยู่ได้อย่างไร ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม และตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

"เครือเจริญโภคภัณฑ์ จะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงว่า ประเทศชาติต้องได้ประโยชน์ ประชาชนต้องได้ประโยชน์ และบริษัทก็ต้องได้ประโยชน์ด้วย" ธนินท์ กล่าว "นโยบาย 3 ประโยชน์" ซึ่งเป็นปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของเครือซี.พี.

"ผมถือว่า ธุรกิจที่ผมทำเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต่อสังคม ผมคิดว่าถ้าเรามีโอกาสสร้างคน สร้างงาน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ตลอดเวลาผมถือแบบนี้ เข็มมันจะแหลมไปทั้ง 2 ข้างไม่ได้ ต้องทู่ข้างหนึ่ง แต่สำคัญว่า ธุรกิจต้องเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็จะเท่ากับเป็นการช่วยสังคม เราสร้างสรรค์ สร้างงาน สร้างอาชีพ ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรคือการกระจายรายได้ คนมักเข้าใจว่าต้องกระจายแต่ไม่รู้ว่าการ กระจายจริง ๆ เป็นอย่างไร วิธีที่ถูกต้องคือการสร้างงาน"

"ธนินท์"กล่าวว่า ซี.พี.ก้าวหน้าและเติบโตมาจนถึงปัจจุบันจะก้าวสู่ปีที่ 90 ในปี 2554 ด้วยเพราะได้ดำเนินธุรกิจอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงต้อง"ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"อันได้แก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ธุรกิจกิจการของซี.พี.จึงราบรื่น เติบโตอย่างมั่นคงและเป็นปึกแผ่นได้ในประเทศไทย และสามารถขยายกิจการไปยังต่างประเทศได้อย่างไม่หยุดยั้ง

ในมุมมองของการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินของ"ธนินท์" ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจนั้น คิดว่าการทุ่มเทการทำงานเพื่อสร้างธุรกิจให้เจริญก้าวหน้า การได้สร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่คนมากมาย สร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ การเสียภาษีให้กับรัฐบาล การมีความรับผิดชอบต่อสังคม การสร้างคนเก่ง สร้างคนไทยให้ไปแข่งขันทางธุรกิจกับทั่วโลก เป็นการพัฒนาคนให้ได้เหรียญทองทางธุรกิจ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติเช่นเดียวกับการที่นักกีฬาได้รับเหรียญทองโอลิมปิก


ทั้งหมดคือปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้"ธนินท์ เจียรวนนท์" เป็นผู้บริหารที่โดดเด่นบนเวทีโลก
ที่ news.sanook.com




กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ตอบโจทย์ทิศทางประเทศไทย

รู้จักกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ตอบโจทย์ทิศทางประเทศไทย
โดย : ธิติ สุวรรณทัต วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2554


พลันที่นักการเมืองจุดพลุดึง "ทุนสำรอง" ตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ นี่คือข้อมูลที่จะทำให้รู้จักและรู้ทันความคิดฝ่ายการเมือง

แนวคิดที่จะจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF ) ของประเทศไทยเริ่มก่อตัวเป็นรูปธรรมเมื่อสักประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว คือช่วงปี 2549-2550 ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ก่อนที่วิกฤติซับไพรม์จะปะทุขึ้นที่สหรัฐในปี 2551 ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หรือ SWFs จากประเทศต่างๆ กำลังผงาดขึ้นมาเป็นตัวละครที่สำคัญและมีบทบาทมากในระบบเศรษฐกิจการเงินโลก

แต่ภายหลังจากที่วิกฤตการณ์ซับไพรม์ในสหรัฐลุกลามไปเป็นวิกฤติการเงินโลก ความเคลื่อนไหวของบรรดา SWFs ทั้งหลายก็เงียบไประยะหนึ่ง เพราะความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก อันเนื่องมาจากวิกฤติการเงินโลกที่อุบัติขึ้นในตอนนั้น

ในวันที่ 3 มี.ค.2552 คณะรัฐมนตรี (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้มีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่องการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า “บรรษัทบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย" หรือ Thailand Investment Corporation (TIC) เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย

ในเบื้องต้น สภาที่ปรึกษาฯเสนอว่า รัฐบาลจะต้องจัดสรรเงินทุนประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินทุนประมาณร้อยละ 10 ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (ในช่วงเดือน ม.ค.2552 ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองอยู่ที่ประมาณ 1.10 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ณ ปัจจุบัน เดือน ก.ค.2554 มีประมาณ 1.87 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และในอนาคตถ้าหากประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งออกก็สามารถนำเอารายได้ส่วนเกินตรงนั้นเข้ามาสมทบในกองทุนเพิ่มเติมก็ได้

นอกจากนั้น สภาที่ปรึกษาฯยังได้เสนอรูปแบบของการบริหารองค์กร TIC หรือ บรรษัทบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกำกับดูแล TIC ที่ต้องได้รับการสรรหาอย่างโปร่งใสตามมาตรฐานสากลและปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง พร้อมกับให้มี "คณะกรรมการนโยบายการลงทุน" และ "คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง" เพื่อจัดทำนโยบายการลงทุนและนโยบายการบริหารความเสี่ยงเสนอให้คณะกรรมการกำกับการดูแล TIC พิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อดำเนินงานต่อไป

ส่วนคณะผู้บริหาร TIC นั้น สภาที่ปรึกษาฯ เพียงเสนอแนะไว้กว้างๆ ว่า "คณะผู้บริหารจะต้องเป็นทีมงานมืออาชีพที่มีความสามารถและประสบการณ์การบริหารกองทุนและการบริหารความเสี่ยงดีเยี่ยม"

สำหรับการบริหารเงินทุนนั้น สภาที่ปรึกษาฯ เสนอว่าควรเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Investment) ในต่างประเทศเท่านั้น และผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากการบริหารจัดการลงทุนนอกจากเก็บเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มเติมแล้ว ก็อาจนำไปใช้พัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ได้เป็นบางส่วนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งสภาที่ปรึกษาฯ เสนอให้มีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อรองรับการทำงานของบรรษัทบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย พร้อมกับต้องมีการบัญญัติบทลงโทษคณะกรรมการ ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานต่างๆ ของ TIC ให้ชัดเจนเพื่อสามารถนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาได้ในกรณีที่มีการบริหารกองทุนอันไม่โปร่งใส นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ผิดพลาด ขาดทุน หรือทำให้กองทุนเสียผลประโยชน์

โดยหลักการเบื้องต้น ความเห็นและข้อเสนอของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับการการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทยถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะ SWF เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการบริหารสินทรัพย์ภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดผลตอบแทนต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางและระยะยาวได้

แต่ทั้งนี้มีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องศึกษาถึงความพร้อมในการจัดตั้ง TIC ในประเด็นต่างๆ ให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะประเด็นที่จะใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นแหล่งเงินทุนเริ่มต้นในการจัดตั้ง TIC เนื่องจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ดังนั้นจึงควรศึกษาให้รอบคอบว่าเงินทุนสำรองที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันเป็นเพราะการเพิ่มขึ้นในความมั่งคั่งของประเทศจริงหรือไม่ และปริมาณเงินทุนสำรองที่มีอยู่ดังกล่าว ณ ปัจจุบัน อยู่ในระดับสูงจนเกินความจำเป็นจริงหรือไม่

ในปัจจุบันมีกว่า 50 SWFs ในกว่า 40 ประเทศที่ใช้ SWF เป็นเครื่องมือในการบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนเกิน โดยในบางประเทศมี SWF มากกว่าหนึ่งกองทุน เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน สิงคโปร์ เป็นต้น

คูเวต เป็นประเทศแรกที่ได้มีการจัดตั้งกองทุนประเภทนี้ขึ้นในปี ค.ศ.1953 คือ องค์การการลงทุนคูเวต หรือ Kuwait Investment Authority (KIA) เนื่องจากคูเวตเป็นประเทศที่มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมติดต่อกันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีปริมาณเงินสำรอง "ส่วนเกิน" เป็นจำนวนมาก ซึ่งมาจากรายได้ในการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ดังนั้นรัฐบาลคูเวตจึงตั้ง SWF ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการเงินทุนสำรองส่วนเกินดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วไป ที่เน้นการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและการดูแลสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ

วัตถุประสงค์ในการตั้ง SWF ของประเทศคูเวตในตอนนั้นก็เพื่อต้องการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เป็นส่วนเกินอันได้จากผลกำไรในการจำหน่ายน้ำมันดิบมาสร้างผลตอบแทนและกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยนำมาลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนของโลก ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นเพียงการลงทุนในระยะสั้นๆ เท่านั้น

ต่อมารูปแบบการลงทุนของ SWF ได้เริ่มมีการพัฒนาและก้าวหน้าขึ้นตามลำดับควบคู่กับพัฒนาการระเบียบเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของโลกาภิวัฒน์ทางการเงิน (Financial Globalization) ที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นๆ อันเป็นผลจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร และการเกิดขึ้นของนวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation) ในรูปแบบต่างๆ

สิงคโปร์ ถือเป็นประเทศที่ริเริ่มบุกเบิกการลงทุนในรูปแบบของ SWF อย่างแท้จริง ในปี ค.ศ.1981 รัฐบาลสิงคโปร์ได้ตั้งบรรษัทเพื่อการลงทุนของรัฐ (Government of Singapore Investment Corporation - GIC) โดยการนำเอาทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนเกินที่ได้กำไรจากการส่งออกสินค้าและการค้าอัตราแลกเปลี่ยนมาลงทุน

โดยก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ.1974 นายลี กวน ยู ผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์และนายกรัฐมนตรีคนแรก (1965-1990) ก็ได้ตั้ง "เทมาเส็กโฮลดิ้ง" (Temasek Holdings) อันเป็นบรรษัทที่จัดตั้งโดยรัฐบาลสิงคโปร์ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของในนามรัฐบาล วัตถุประสงค์ในเวลานั้นก็เพื่อต้องการให้ "เทมาเส็กโฮลดิ้ง" เข้ามาบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจต่างๆ แทนรัฐบาล ปัจจุบันการลงทุนของกองทุนเทมาเส็กได้กระจายไปเกือบทุกภาคเศรษฐกิจ ตั้งแต่การสื่อสาร โทรคมนาคม ภาคการเงิน การขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ยา วิทยาศาสตร์ชีวภาพ

ต่อมารัฐบาลในหลายๆ ประเทศก็เริ่มมีการตั้งบรรษัทเพื่อการลงทุนของรัฐในลักษณะดังกล่าวบ้าง เช่น องค์การการลงทุนอาบูดาบี (Abu Dhabi Investment Authority - ADIA) ของประเทศสหรัฐอาหรับอามิเรสต์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1976 โดยในปัจจุบันกองทุน ADIA ถือเป็น SWF ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีเงินทุนรวมประมาณ 6.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากนั้น SWFs ในประเทศต่าง ๆ ก็ได้มีความเจริญเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามลำดับ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ.2005 (พ.ศ.2548) ประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเป็นส่วนเกินจำนวนมากก็ได้มีการจัดตั้ง SWFs ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารเงินทุนสำรองส่วนเกิน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ร่ำรวยหรือมีเงินทุนสำรองส่วนเกินเพิ่มขึ้นมาจากการค้าน้ำมันหรือการส่งออก
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2011q3/2011_August_22p6.htm

ติดหนี้อยู่ แล้วจะออมเงินได้หรือไม่

ติดหนี้อยู่ แล้วจะออมเงินได้หรือไม่ หลายคนคงเคยมีความคิดว่า หากต้องการสร้างความมั่นคง


ให้กับชีวิตในอนาคต ก็ควรต้องมีเงินเก็บให้ได้สัก 10 ล้าน แล้วนำไปลงทุนเพื่อสร้างให้เงินงอกเงย ขณะที่คนที่มีหนี้ก็คงต้องชำระหนี้สินต่อไป ซึ่งเป็นอุปสรรคในการออมเงินอย่างมาก การออมเงินสำหรับคนเป็นหนี้จึงไม่สามารถทำได้ ความคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะโดยทั่วไปแล้ว คนเราจะมีภาระผ่อนชำระหนี้สินที่ค่อนข้างคงที่ ซึ่งคิดเป็นเพียงสัดส่วน ๆ หนึ่งของรายได้ต่อเดือน เนื่องจากสถาบันการเงินจะยอมให้ผู้กู้ กู้เงินได้โดยจะต้องมีภาระผ่อนชำระต่อเดือนที่ไม่เกิน 40% ของรายได้ นั่นหมายความว่าผู้กู้จะมีเงินบางส่วนเหลือไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว รวมถึงการออม
หากพิจารณาในด้านหนี้สินนั้น จะมีทั้งหนี้ที่ดี และหนี้ที่ไม่ดี หนี้ที่ดีนั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับเรา รวมถึงมูลค่าของสินทรัพย์ที่เกิดจาการกู้หนี้ดังกล่าวจะไม่ลดลงไปตามกาลเวลา ยกตัวอย่างเช่น ภาระหนี้จากการซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับปล่อยเช่า ถ้าค่าเช่าที่สูงกว่าภาระผ่อนเงินกู้ต่อเดือนก็จะสร้างรายได้ให้เรา และหากในอนาคตราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น เราก็สามารถขายทำกำไรได้ ขณะที่หนี้ที่ไม่ดีนั้น ได้แก่ หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากมีภาระดอกเบี้ยสูง และเป็นหนี้ที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค จึงไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามมา

การมีหนี้ผ่อนอสังหาริมทรัพย์ข้างต้น อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ที่ไม่เคยมีเงินออม ตั้งใจเก็บเงินอย่างจริงจังก็ได้ เพราะเมื่อได้ทำสัญญาเงินกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้ว จะเป็นการบังคับให้ผู้ทำสัญญาต้องส่งเงินทุกเดือนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาเงินกู้ ดังนั้นการผ่อนชำระหนี้สินดังกล่าวในแต่ละเดือน จึงเหมือนเป็นการออมในอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามคุณไม่ควรมีหนี้สินดังกล่าวมากนัก เพราะอาจส่งผลต่อสถานะการใช้จ่ายด้านอื่นๆ ที่กระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคุณ

สำหรับผู้ที่มีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวนมาก เช่น ภาระหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น คุณควรชำระหนี้ระยะสั้นให้หมดโดยเร็ว เนื่องจากหนี้ประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยที่สูง และจะเริ่มนับคำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่คุณได้ใช้เงิน ถ้ามีหนี้หลายประเภท แนะนำให้รีบชำระหนี้ระยะสั้นก่อน เพราะดอกเบี้ยจะแพงกว่าหนี้ประเภทอื่น
ที่มา https://www.k-weplan.com/HowTo/Pages/Howto_013.aspx

ข้อมูลแหล่งความรู้เพื่อการลงทุนที่น่าสนใจ

ข้อมูลแหล่งความรู้เพื่อการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุนในครั้งแรก


อาจไม่ทราบว่าควรเริ่มศึกษาข้อมูลการลงทุนจากที่ใด เนื่องจากมีข้อมูลให้ศึกษาค้นคว้าอยู่มากมาย ทั้งในแง่ของข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน รวมถึงขั้นตอนต่างๆสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มหัดลงทุนแล้ว การมีจุดเริ่มต้นดีๆ ในการศึกษาหาข้อมูลจะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการเริ่มต้นลงทุนได้ โดยศึกษาได้จากข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น
TSI (Thailand Securities Institute) สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดเงิน และตลาดทุน ที่ได้รวมรวมความรู้เพื่อการลงทุนไว้ที่ www.tsi-thailand.org โดยมีหัวข้อน่าสนใจได้แก่ เส้นทางลงทุน เส้นทางวิชาชีพ หลักสูตร บทความน่าสนใจ รวมถึงการจัดอบรม และสัมมนาทางการเงินที่สถาบันจัดทำขึ้น
Settrade นักลงทุนสามารถติดตามราคาหลักทรัพย์ได้ที่ www.settrade.com ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมราคาสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่หุ้น ทองคำ น้ำมัน หน่วยลงทุน อัตราแลกเปลี่ยน สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฯลฯ
SET (Stock Exchange of Thailand) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากคุณต้องการทราบข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีตลาด สถิติ ราคาหลักทรัพย์ วิธีการ และระบบที่ใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ สามารถดูได้จากเวปไซด์ www.set.or.th ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล
SEC (Securities Exchange Commission) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีเวปไซด์ www.sec.or.th ที่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ หลักการ ข้อปฏิบัติ รวมถึงรายชื่อบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจตามพรบ.หลักทรัพย์ฯ รายชื่อผู้ติดต่อผู้ลงทุน
AIMC (Assosiation of Investment Management Company) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน รวบรวมข้อมูลรายอุตสาหกรรมของกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล ไว้ที่เวปไซด์ www.aimc.or.th
Thaimutualfund.com กองทุนรวมซึ่งได้รวบรวมเรื่องน่ารู้ และเกร็ดทั่วไป ข้อมูลโดยสังเขปของกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ ไว้ที่ www.thaimutualfund.com
หลังจากที่ท่านเสาะหาแหล่งข้อมูลแล้ว หากมีปัญหาทางการเงินสามารถปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ที่ตอบปัญหาด้านการออมและการลงทุน ภาษีเงินได้ และสินเชื่อผ่านทาง k-weplan@kasikornbank.com และเวปบอร์ด K-WePlan ซึ่งจัดทำขึ้นผ่านทางเวปไซด์ www.k-weplan.com เพื่อช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่ตรงประเด็น รวดเร็ว และมีความเป็นกันเอง ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่มีปัญหาการเงิน และต้องการสอบถามข้อมูลอย่างมาก
ที่มา https://www.k-weplan.com/HowTo/Pages/Howto_020.aspx

คลังบทความของบล็อก

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์