ความวิตกกังวลของผู้คนที่นับวันยิ่งสูงขึ้น ด้วยการแข่งขันที่มากมายในสังคมที่แออัด งานที่นำเอาแนวคิดจากหลักธรรมอาทิ "เซน" จึงอาจจะช่วยสร้างความสุขให้มาเยือนจิตใจได้อีกครั้ง
เป็นการจับตลาด "ที่ต้องการแสวงหาความสุขทางใจ" ซึ่งเปิดเผยโดยธนสรร เกษมสุข "สล่า" หรือ "ช่างปั้น" จากล้านนานำแนวคิดทำให้จิตใจ "เงียบสงบ" ดั่งวิถี "เซน" มานำเสนอในงานปั้น "หม้อ" และ "โอ่ง" ของเขา ซึ่งสามารถ "เสพ" หรือ "จับต้อง" ได้
ประธานกลุ่มสล่าหม้อล้านนาผู้นี้ประยุกต์งานตกแต่งด้วยหม้อแบบล้านนาให้ "เพิ่มมูลค่า" ด้วยการเพิ่มบรรยากาศในเรื่องของความสงบ ความมีสมาธิ จากทรงของหม้อ และสายน้ำที่รินไหล
"เราปั้นหม้อแบบหริภูชัยในช่วงเริ่มต้น ต่อมาก็ประยุกต์ให้เป็นเนื้อหินทรายลงดำ ถือว่าเราเป็นคนคิดเป็นเจ้าแรกของโลกก็ว่าได้ โดยสินค้าจะเหมือนหินทราย ซึ่งดินที่ใช้ปั้นจะมีอยู่ในท้องถิ่นซึ่งมีทรายเป็นส่วนผสมเยอะ พอมาทำเป็นเครื่องปั้นดินเผาเนื้อหินทรายแล้วลงสีดำจะดูเหมือนหินทรายมาก"
ซึ่งเขาได้นำเอาแนวแบบ "เซน" มาประยุกต์ใช้ในช่วงนั้นนั่นเอง สินค้าที่ปรากฏจึงเป็นหม้อหินทรายลงดำ "ทรงกลม" อันเป็นสัญลักษณ์ของ "เซน" ( ซึ่งธนสรรบอกว่าหมายถึงการมองความเป็นจริงรอบด้าน เน้นให้มีความสุขแบบเรียบง่ายโดยทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ทรงกลมหมายถึงการอยู่ได้ ปรับตัวได้ง่าย) มาผสมผสานกับลวดลายของล้านนา
"สไตล์การจัดสวนแบบเซน มีลักษณะเป็นน้ำ (ซึ่งไหลมาจากที่อื่น) ไหลเข้าไปในโอ่งปากกว้างๆ ทรงกลม จึงคิดว่าน่าจะมาปรับให้เป็นสินค้าในแนวเซน เป็นชุดเดียวกัน คือไม่ต้องมีน้ำที่ตกหรือไหลมาจากที่อื่น แต่ทำให้น้ำมันไหลเวียนอยู่ตรงนั้น เข้ากับแนวคิดของเซนที่ว่าเป็นการหาความสุขในสิ่งที่เรียบง่าย โดยเริ่มต้นจากภายในตัวของเราเองก่อน ซึ่งก็หมายถึงหม้อหรือโอ่งที่มีน้ำไหลเวียนอยู่ในนั้น"
งานปั้นของกลุ่มสล่าหม้อล้านนา มีขั้นตอนที่แตกต่างจากงานปั้นทั่วไปด้วยตรงที่เมื่อผสมดินในสูตรของตัวเองแล้วจะนำมาขึ้นรูปแล้วก็ปล่อยให้แห้งจึงค่อยนำไปเผา
"เรามีการผสมเนื้อดินแบบรากุของญี่ปุ่น ซึ่งรากุ เป็นดินชนิดหนึ่งจะมีการหดตัวและขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และไม่แตก มีการเผาเพิ่มอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว และทำให้เย็นได้โดยไม่แตก ในดินมีแร่เหล็กและออกไซด์ของเหล็กเยอะมันจะเผาได้สุก เราเอาจุดดีของแบบเดิมและสมัยใหม่มารวมกันและก็เอาจุดบกพร่องของทั้งสองแบบออกไป"
ปัจจุบันสินค้าของกลุ่มนี้มีมากมายหลายแบบ ที่เป็นน้ำพุมีอยู่ประมาณ 20 แบบ ซึ่งมีการออกแบบ เพิ่มใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ซึ่งในปีนี้จะออกแบบเพิ่มอีก 3 แบบ
โดยล่าสุด เป็นการผสมผสานรูปแบบของต้นกระบองเพชรที่เป็นต้นทรงกลมและมีหนาม กับลวดลายของศิลปะทางภาคเหนือเข้าด้วยกัน ทำให้ต้นกระบองเพชรมีลักษณะกลมแบบ "ป้อมอ้วน" น่ารักและดูไม่แข็งกระด้าง เพราะศิลปะทางภาคเหนือจะได้รับอิทธิพลมาจากพม่าค่อนข้างมาก ด้วยอาณาจักรล้านนากับพม่าทำสงครามและผลัดเปลี่ยนการเป็นเมืองขึ้นกันมาโดยตลอด ทำให้ช่างของแต่ละเมืองมีโอกาสถ่ายทอดฝีมือกัน
ธนสรรบอกว่าเขากำลังจะผสมผสานรูปแบบของสินค้าเพื่อให้เกิดประโยชน์ในสอยมากขึ้น เช่นทำให้เป็นแจกัน ซึ่งสามารถใส่เทียนก็ได้ หรือจะทำเกิดน้ำล้นขึ้นมาก็ได้ แต่รูปทรงของสินค้าจะเน้นเป็นงานศิลปะให้มากยิ่งขึ้น
สำหรับการแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ปัจจุบันธนสารใช้วิธีออกบูธ แต่จะแยกส่วนของการขายออกไปเพราะสินค้าของเขามีตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้ว
"สินค้าส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็นการส่งออก อีก 20% ขายในประเทศ เริ่มแรกตลาดต่างประเทศของเราอยู่ในเอเซีย แต่ปัจจุบันกระจายไปทั่ว เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าสินค้าของเราเป็นงานตกแต่งแนวใหม่ เมื่อก่อนเราทำเป็นหม้อที่ใช้สำหรับตกแต่งอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้เราขายแนวคิดเข้าไปด้วย"
เพราะสินค้าสำหรับงานตกแต่งก็เหมือนกับงานศิลปะทั่วๆ ไป ที่ต้องขายไอเดียของคนออกแบบ ซึ่งหากมี "แนวคิดดี" ก็ "ขายได้" ถ้าคิด "ไม่ดี" คนไม่ยอมรับก็ "ขายไม่ได้" อย่างไรก็ตามก็ต้องอาศัยความคิดและ "ทดลอง" ทำตามความคิดนั้นด้วย
ส่วนการแข่งขันนั้น ธนสรรว่า มีคน 2 กลุ่มในตลาดนี้คือ คนที่คิดเองและทำเอง ซึ่งเขาว่าคนกลุ่มนี้จะอยู่ในตลาดได้ยาวนาน ส่วนคนกลุ่มที่สองคือ คนที่เลียนแบบ คือไม่คิดเองแต่ไปเอาแบบคนอื่นมาทำ ซึ่งจะไม่สามารถทำตลาดได้ยาวนานนักเนื่องจากคิดเองไม่เป็นจึงจะพบทางตันหาแนวความคิดใหม่เองไม่ได้
"คนที่คิดเองในช่วงเริ่มต้นอาจจะยากแต่เมื่อผลงานได้รับความยอมรับ ก็จะมีแรงบันดาลใจและสามารถพัฒนาให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ"
กลุ่มสล่าหม้อล้านนา มีเป้าหมายที่จะยกระดับฝีมือ และสร้างงาน พร้อมกับสืบสานวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น ไปพร้อมๆ กัน คือให้ชาวบ้านมาฝึกงานฝีมือผลิตชิ้นงานที่สามารถสื่อสารความเป็นวัฒนธรรมล้านนาออกไปทั่วโลก
"คนในกลุ่มของเราส่วนมากจบการศึกษาแค่ประถม 6 มาช่วยกันทำสินค้าส่งออกซึ่งเป็นตลาดใหญ่และจะทำรายได้ให้พวกเรามาก ซึ่งตรงที่จะนำเงินมาพัฒนากลุ่มของเราได้ สินค้าของเรามีราคาขายค่อนข้างสูงเพราะเราจะเน้นขายความคิดฝีมือมากกว่า เราจะฝึกให้เด็กของเราเป็นคนคิดเองทำเองให้ได้ เพราะเขาต้องสามารถเลี้ยงตัวเองได้จนตายโดยไม่ต้องไปเลียนแบบคนอื่น"
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น