วิธีใช้เงินทำงาน จะเศรษฐีหรือไม่..ก็ต้องใช้เงินให้เป็น

วิธีใช้เงินทำงาน จะเศรษฐีหรือไม่..ก็ต้องใช้เงินให้เป็น"ธีรศักดิ์ ประสิทธิ์รัตนพร" จะเศรษฐีหรือไม่..ก็ต้องใช้เงินให้เป็น


"ธีระมงคล อุตสาหกรรม" ถือว่าเป็นบริษัทผู้นำธุรกิจออกแบบ ผลิตและจัดจำหน่าย อุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่าง อุปกรณ์ควบคุม หลอดไฟ และโคมไฟ ภายใต้แบรนด์ "กาต้า" ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยหนึ่งในหัวหอกของบริษัทที่ปั้นธีระมงคลฯ ให้ก้าวขึ้นมาโดดเด่นในอุตสาหกรรมด้านนี้ คือ "ดร.ธีรศักดิ์ ประสิทธิ์รัตนพร"รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทธีระมงคล อุตสาหกรรม หนึ่งในสี่หนุ่มแห่งตระกูลประสิทธิ์รัตนพรที่เป็นแบ็คอัพให้บริษัทในด้านคอมพิวเตอร์ จัดซื้อ และคลังสินค้า

เรื่องธุรกิจค่อนข้างลงตัว ส่วนเรื่องเงินทอง ดร.ธีรศักดิ์ยังเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการให้ลงตัวอยู่ตลอดเวลา โดยทุกวันนี้เมื่อมีเงินเก็บสะสมเขาจะไม่ได้ปล่อยค้างไว้ในแบงก์ทั้งหมด เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะฝากไว้เพื่อกินดอกเบี้ยอัตราน้อยๆ จึงฝากไว้เพียงประมาณ 40-50%

"เดี๋ยวนี้แบงก์อยู่ในห้างหมดแล้ว วันอาทิตย์ผมก็ไปเดินห้าง ดูซิว่าใครให้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ มีเงินฝากพิเศษรึเปล่า แล้วถึงเลือกว่าจะฝากกับใคร แต่ก็ฝากไม่เยอะ เพราะดอกผลน้อย แต่จะไม่ฝากเลยก็ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยนี่คือช่องทางที่มั่นคงกว่าอย่างอื่น "

ส่วนเงินที่เหลือ เขาหาช่องทางลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากแบงก์ ทุกวันนี้กระจายลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และลงทุนในตลาดหุ้น

ดร.ธีรศักดิ์เริ่มจากเล่าถึงการลงทุนในทองคำก่อน ว่าเริ่มลงทุนมาได้ 3 ปีแล้ว ตอนนั้นราคาประมาณบาทละ 18,000 บาท แต่ยังไม่เคยลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์ส เพราะความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลตอบแทนปีละประมาณ 10%กว่า ก็ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้เขายังตัดสินใจลงทุนในทองคำต่อไป

"ไม่รู้ว่าคนอื่นใช้วิธียังไง แต่ผมศึกษาจากราคาทองต่างประเทศ เช็คดูกราฟและค่าเงินด้วย ตัวเลขพวกนี้ทำให้พอคาดการณ์คร่าวๆ ได้ อาจจะมีเพี้ยนบ้างเล็กน้อยแต่ก็ได้ผล ต้องบอกว่าตอนนี้ผมก็ยังพอใจการลงทุนในทองอยู่"

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น เขาบอกว่า เมื่อเริ่มลงทุนก็อาจจะเหมือนกับอีกหลายคน คือเป็นการลงทุนตามคนอื่น ขาดทุนบ้างกำไรบ้าง แต่อย่างน้อยการลงทุนในหุ้นทำให้เขารู้ว่า คิดจะลงทุนในตลาดหุ้นต้องเป็นคนที่มีเวลามากพอ ถ้าไม่มีเวลาเราอาจเป็นแมงเม่าได้

"บางครั้ง รวมไปรวมมาอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าดอกเบี้ยฝาก ผมคิดว่าหุ้น ถ้าเราเล่นไม่ดี อาจจะได้น้อยกว่า หุ้นต้องนั่งไล่ไปรายวัน ผมไม่มีเวลาไปนั่งมอนิเตอร์ขนาดนี้ บางทีมาร์เก็ตติ้งบอกให้ขาย ผมขายไม่ทัน เพราะประชุมอยู่ เลยได้บทเรียนว่าถ้าคนไม่พร้อมเรื่องเวลา ไม่ควรลงทุน ต่อให้เป็นแวลูอินเวสเตอร์ลงทุนแล้วทิ้งปิดตาไปเลยก็เถอะ การจะเอาชนะตลาดได้ต้องมีเวลาให้กับมัน ต่อให้ลงระยะยาวถ้าเลือกหุ้นผิดตัวก็อาจจะขาดทุนได้ ผมคิดว่าบางทีลงทุนในหุ้นเหมือนมีแฟน ถ้าโทรมาเราไม่รับสาย ไม่มีเวลาให้ ความสัมพันธ์ก็ไม่ดี เราต้องมีเวลาศึกษาถึงจะรู้นิสัยใจคอของหุ้นตัวนี้ว่าเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ประวัติเป็นยังไง แต่ผมคิดว่าถ้าไม่มีเวลามาลงทุนในหุ้น เสี่ยงเกินไป แต่ถ้าใครมีเวลาหุ้นเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีในลำดับต้นๆ เลยทีเดียว "

สำหรับการลงทุนในอสังหาฯ ดร.ธีรศักดิ์บอกว่าหลักการง่ายๆ ที่ใช้ลงทุนคือ "ถ้าเราอยากอยู่..คนอื่นก็อยากอยู่" หมายถึงใช้ความรู้สึกของตัวเองก่อนว่าทำเลแบบนี้ ชุมชนแบบนี้ ถ้าเป็นเราจะซื้อหรือไม่ ถ้าคิดว่าเรายังไม่ซื้อ ก็คงขายต่อยากเพราะคนอื่นก็คงไม่ซื้อเหมือนกัน

"ถ้าจะซื้อไว้เก็งกำไรก็ต้องเลือกทำเลที่อยู่แถวชุมชน ราคาไม่แพงจนเกินไป ต้องเป็นราคาที่คนสามารถซื้อต่อได้ง่าย เช่น 5 ล้านขึ้นไปอาจจะขายยาก แต่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมักจะปล่อยง่ายกว่า แต่ทั้งหมดต้องดูทำเลเป็นหลัก ดูว่าทำเลตรงนี้ถ้าเราอยากอยู่ ก็น่าจะขายง่าย แต่ถ้าเราดูแล้วเราเองยังไม่อยากอยู่ ก็อย่าซื้อเลย แต่ผมก็ดูองค์ประกอบหลายอย่างเช่นว่ามีกี่ห้อง ใต้ตึกมีอะไร หลังจากนี้ใครจะเป็นคนจัดการ มีชุมชนที่โอเคมั้ย ถ้ามีคนอาศัยเยอะ มีชุมชนก็ต้องเป็นชุมชนที่น่าอยู่ และถ้ามีชุมชนเดี๋ยวคนตามมาเอง จากนั้นก็ขายง่ายแล้ว"

ดร.ธีรศักดิ์บอกว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว ถ้ารีวิวดูการลงทุนทุกอย่าง ก็ต้องบอกว่าทั้งหุ้น ทอง อสังหาริมทรัพย์ ถามถึงความชอบ ก็ต้องบอกว่าชอบหุ้นที่สุด แต่ไม่มีเวลาลงทุน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะทองต้องใช้เวลานานในการทำกำไร ส่วนอสังหาริมทรัพย์ก็มีสภาพคล่องน้อย ง่ายสุดเร็วสุดในการทำกำไรก็คงต้องเป็นหุ้น

"แต่ไม่ว่าจะลงทุนอะไร ผมจำกัดเงินไว้เลย ว่าถ้าจะลงทุนจะมีเงินได้เท่านี้ ต่อให้มีจังหวะดีแค่ไหนผมไม่ลง ถ้าผมควบคุมตัวเองแบบนี้ได้ ก็บาดเจ็บไม่เยอะ อาจจะได้กำไรไม่เยอะ แต่ได้ผลตอบแทนตามที่เราคาดหวัง และคุ้มค่าความเสี่ยง ส่วนวิธีที่จะเอาชนะตลาดได้ ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวก็ช่วยได้ แต่สำคัญคือต้องรู้ว่าหน้าตักมีเท่าไหร่ และควรลงทุนเสี่ยงได้เท่าไหร่ รู้ว่าเรากำลังใช้เงินอย่างไร อย่างของผมจะแบ่งไว้เลยว่าไม่เสี่ยงกับเสี่ยงได้ครึ่งๆ หมายถึงว่ากรณีที่เสี่ยงเกิดพลาดท่าขาดทุน ผมยังเหลืออีก 50% ที่มีอยู่ในหน้าตัก ซึ่งทั้งหมดนี้ผมก็คิดว่าได้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 10% ก็โอเคแล้ว จริงๆ แล้ว เป็นคนกลางๆ ผมไม่อยากเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองมากเกิน ถึงแม้จะเสี่ยงได้ก็ตาม"

ทุกวันนี้ หลักการก่อนลงทุนทุกครั้ง เขาจะถามตัวเองว่าถ้าขาดทุนแล้ว รับได้มั้ย ถ้าได้ก็ลง แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่ลง คนที่เล่นหุ้นแล้วมีปัญหาคือไม่เคยถามตัวเองเลยว่ายอมรับการผิดพลาดหรือขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน สมมติตอนแรกเศรษฐกิจดีแต่เกิดเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้หุ้นเหลือ 20% รับได้มั้ย ถ้ารับได้ลุย ซึ่งเขายอมรับว่าบางทีก็รับได้บางทีก็รับไม่ได้

ส่วนในโหมดของการใช้จ่าย ดร.ธีรศักดิ์บอกว่าปกติครอบครัวเขาไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาแต่ไหนแต่ไร เพราะตั้งแต่เด็กพ่อแม่ก็สอนว่าจะต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง ยิ่งเดี๋ยวนี้ของแพงแม่ยังสอนอยู่ว่าใช้จ่ายอย่างประหยัด คนเราชีวิตไม่แน่นอน ต้องเตรียมเงินไว้รับมือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

"แม่เขาอยากให้ผมเก็บมากกว่า เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าวันหนึ่งมีอะไรเกิดขึ้นอาจเกิดปัญหา เราต้องเตรียมเงินไว้ ทุกวันนี้เมื่อมีรายได้มาก็เลยเน้นเก็บออม ผมจะจัดสรรวงเงินใช้จ่าย เดือนหนึ่งให้แม่ 30%ที่เหลือ 70% แบ่งเป็นเงินเก็บเข้าธนาคาร 25% เหลือ 40% ใช้จ่ายประจำเดือน ถ้าใช้เกิน ก็เลือกได้ว่าวันนี้จะกินในห้างหรือกินบะหมี่ข้างทาง ทุกอย่างจัดการได้ "

ดร.ธีรศักดิ์บอกว่าทุกวันนี้ยังคงเรียนรู้เรื่องเงินกันต่อไป และเมื่อมีโอกาสวันหนึ่งอาจจะไปลงทุนในสิ่งที่ยังไม่เคยลงทุน เช่นพวกสต็อก ฟิวเจอร์ส เพราะตอนนี้มีความสนใจ แต่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างดีพอ ส่วนเป้าหมายในอนาคตถึงจะเป็นเศรษฐีหรือไม่ก็ตาม แต่จะใช้เงินและลงทุนตามแนวทางนี้ต่อไป

"มีใครบ้างไม่อยากเป็นมหาเศรษฐี แต่ท้ายสุดจะเป็นเศรษฐีหรือไม่ ก็ต้องรู้จักใช้เงินให้เป็น ไม่ใช่มีแล้วใช้ลูกเดียว แต่ผมเชื่อว่าใครก็อยากเป็นเศรษฐีกันทั้งนั้น และผมก็เชื่ออีกว่า ถ้ามีความพยายามซะอย่างเป็นเศรษฐีกันได้ทุกคน" นั่นเป็นมุมมองของผู้บริหารหนุ่มแห่งธีระมงคล อุตสาหกรรม
ที่มา http://money.impaqmsn.com/





ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์